10 สุดยอดศิลปินเอก/จิตรกรเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิกกับ 10 ผลงานชิ้นเอก

ยุคนีโอคลาสสิก (Neo-Classic) เริ่มตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 18 จนถึงปลายศตวรรษที่ 19 ช่วงปลายยุคบาโรคแนวทางของศิลปะในทวีปยุโรปเริ่มมีการเปลี่ยนแปลง ศิลปินหันเหออกจากศิลปะโรโกโก (Rococo) ที่กำลังได้รับความนิยมมาสู่ศิลปะแบบนีโอคลาสสิกซึ่งได้แรงบันดาลใจจากศิลปะยุคกรีกและโรมัน ปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศสส่งผลให้การรวมศูนย์อำนาจของกษัตริย์เริ่มเสื่อมคลาย ประชาชนเรียกร้องสิทธิเสรีภาพกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงนี้แผ่อิทธิพลไปทั่วยุโรป ศิลปินมีอิสระในการสร้างสรรค์งานอย่างเต็มที่ไม่ยึดติดกับขนบประเพณีดั้งเดิม เกิดเป็นศิลปะแนวใหม่เพิ่มขึ้นได้แก่ศิลปะแบบโรแมนติก (Romanticism) และศิลปะสัจนิยม (Realism) ซึ่งเป็นพัฒนาการไปสู่ศิลปะสมัยใหม่ ศูนย์กลางแห่งศิลปะของยุโรปเริ่มย้ายจากอิตาลีไปสู่ฝรั่งเศส ในช่วงเวลานี้มีศิลปินชั้นนำมากมายร่วมกันสร้างผลงานศิลปะชั้นยอดในหลากหลายสไตล์ซึ่งล้วนงดงามน่าหลงใหลอย่างยิ่ง

และต่อไปนี้คือ 10 ศิลปินเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกับ 10 ผลงานชิ้นเอกของพวกเขา

1. ฌัก-หลุยส์ ดาวีด (Jacques-Louis David)jacques-louis-david-00

ฌัก-หลุยส์ ดาวีด เป็นจิตรกรชั้นนำผู้โดดเด่นแห่งยุคนีโอคลาสสิกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ดาวีดเกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1748 พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุเพียง 9 ปี เขาจึงไปอยู่กับลุงที่เป็นสถาปนิกผู้มั่งคั่ง ด้วยความชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจเขาจึงมุ่งหน้าเรียนการเขียนภาพเพื่อเป็นจิตรกรแทนการเป็นสถาปนิกอย่างที่แม่กับลุงต้องการ ดาวีดได้เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะชั้นนำ Royal Academy ที่กรุงปารีส ปี 1774 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้รับทุนไปเรียนศิลปะที่กรุงโรมซึ่งเขาได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นนำมากมาย รวมทั้งได้เที่ยวชมซากปรักหักพังของเมืองปอมเปอีที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่ และได้ศึกษาผลงานของ Raphael ซึ่งทำให้เขาประทับใจในศิลปะแบบคลาสสิกอย่างไม่รู้ลืม

ปี 1780 ดาวีดกลับมาอยู่ที่ปารีสเริ่มสร้างผลงานและชื่อเสียงพร้อมกับสอนลูกศิษย์จำนวนมาก ผลงานชั้นยอดชิ้นแรกเป็นภาพ Oath of the Horatii ตามมาด้วยภาพ Death of Socrates ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เทียบเท่ากับภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีนของ Michelangelo และภาพในห้องราฟาเอลที่พระราชวังวาติกันของ Raphael ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เริ่มต้นในปี 1789 ดาวีดเข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติและได้เขียนภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การลอบสังหาร Marat นักคิดนักเขียนและหัวหอกสำคัญของฝ่ายปฏิวัติขณะอยู่ในอ่างอาบน้ำในชื่อภาพ The Death of Marat ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา นอกจากนี้ดาวีดยังเขียนภาพเหมือนบุคคลที่เป็นผลงานชั้นยอดมากมาย อย่างเช่นภาพ Portrait of Madame Récamier และภาพ Portrait of Émilie Sériziat and Her Son

หลังการปฏิวัตินโปเลียน โบนาปาร์ตได้เป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระองค์ชื่นชอบผลงานของดาวีดและให้เขาเป็นจิตรกรแห่งราชสำนัก ดาวีดจึงมีผลงานชิ้นเยี่ยมที่เป็นภาพของนโปเลียนหลายภาพอย่างเช่นภาพ Napoleon Crossing the Alps และภาพ The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries รวมทั้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา The Coronation of Napoleon ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดยาวเกือบ 10 เมตร สูงกว่า 6 เมตร ซึ่งดาวีดใช้เวลาเขียนภาพนี้นานกว่า 3 ปี หลังจากนโปเลียนหมดอำนาจเขาจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และเสียชีวิตที่นั่นในปี 1825 ดาวีดไม่เพียงมีผลงานภาพเขียนชั้นยอดมากมายเท่านั้น เขายังมีลูกศิษย์ที่ต่อมากลายเป็นศิลปินชั้นนำแห่งยุคอีกหลายคน รวมทั้ง Jean-Auguste-Dominique Ingres และ François Gérard

10 ผลงานชิ้นเอกของฌัก-หลุยส์ ดาวีด

jacques-louis-david-01The Coronation of Napoleon

 

jacques-louis-david-02

The Death of Marat

jacques-louis-david-03

The Death of Socrates

jacques-louis-david-04

Oath of the Horatii

jacques-louis-david-05

Portrait of Madame Récamier

jacques-louis-david-06

Napoleon Crossing the Alps

jacques-louis-david-07

The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries

jacques-louis-david-08

Portrait of Émilie Sériziat and Her Son

jacques-louis-david-09

The Intervention of the Sabine Women

jacques-louis-david-10

The Lictors Bring to Brutus the Bodies of His Sons

 

2. ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ (Jean-Auguste-Dominique Ingres)jean-auguste-dominique-ingres-00

ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคนีโอคลาสสิกผู้ได้รับการยกย่องว่าเขียนภาพเปลือยผู้หญิงได้สวยที่สุด แอ็งกร์เกิดเมื่อปี 1780 ที่เมือง Montauban ประเทศฝรั่งเศส เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะที่เมือง Toulouse ซึ่งครอบครัวย้ายมาอยู่เมื่อปี 1791 พออายุ 17 ปีเขาไปศึกษาศิลปะต่อในสตูดิโอของ Jacques-Louis David ที่กรุงปารีส แอ็งกร์เป็นลูกศิษย์ David นาน 4 ปี จนปี 1801 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้ทุนไปศึกษาต่อที่กรุงโรม แต่สถาบันมีปัญหาด้านการเงินทำให้เขาต้องรอนานหลายปี ระหว่างที่รอเขาได้รับงานเขียนภาพพร้อมกับพัฒนาฝีมือโดยนำเอาเทคนิคที่ศึกษาจากภาพเขียนยุคเรอเนสซองส์ผสมผสานกับสิ่งที่เรียนรู้จาก David กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวซึ่งปรากฏในผลงานชั้นยอดชิ้นแรกๆคือภาพ Napoleon I on his Imperial Throne ก่อนที่เขาจะไปกรุงโรมในปี 1806

ระหว่างศึกษาที่สถาบัน Académie de France ในกรุงโรมแอ็งกร์ส่งภาพเขียนกลับมายังปารีสเพื่อประเมินความก้าวหน้าตามข้อกำหนดของนักเรียนทุน หลายภาพที่เขาส่งมาเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่กลายเป็นภาพดังในเวลาต่อมา ซึ่งรวมทั้งภาพ The Valpinçon Bather และภาพ Jupiter and Thetis หลังจบการศึกษาในปี 1811 แอ็งกร์ยังทำงานเขียนภาพที่โรมต่ออีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปเมืองเนเปิลส์เพื่อเขียนภาพให้กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ในปี 1814 ซึ่งเขาเขียนให้หลายภาพรวมทั้งภาพสำคัญหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือภาพ Grande Odalisque ปี 1820 แอ็งกร์ย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์และสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์มีหลายภาพที่โดดเด่น ภาพ The Vow of Louis XIII ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์งานศิลปะอย่างมาก

หลังจากกลับมาอยู่ที่ปารีสแอ็งกร์ได้สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมอีกมากมาย อย่างเช่นภาพ The Apotheosis of Home และภาพ Portrait of Monsieur Bertin ปี 1834 แอ็งกร์กลับไปอยู่ที่โรมอีกครั้งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Académie de France นาน 6 ปี ก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่สถาบัน Ecole des Beaux-Arts ในปารีส พร้อมกับสร้างภาพเขียนชั้นยอดของเขาต่อไป แม้ขณะที่อายุมากกว่า 70 ปีแล้วแอ็งกร์ยังเขียนภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ปี 1856 เขาเขียนภาพ The Source ซึ่งเขาทำค้างไว้ตั้งแต่ปี 1820 จนเสร็จสมบูรณ์และกลายเป็นหนึ่งในภาพผู้หญิงเปลือยที่สวยที่สุด หลังจากนั้นอีกหลายปีเขายังได้เขียนภาพ The Turkish Bath ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกภาพหนึ่ง แอ็งกร์เสียชีวิตเมื่อปี 1867 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานชั้นยอดเอาไว้มากมาย แม้ตัวแอ็งกร์เองคิดว่าเขาเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าภาพเหมือนบุคคลคือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา

10 ผลงานชิ้นเอกของฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์

jean-auguste-dominique-ingres-01Grande Odalisque

 

jean-auguste-dominique-ingres-02

The Valpinçon Bather

jean-auguste-dominique-ingres-03

Napoleon I on his Imperial Throne

jean-auguste-dominique-ingres-04

Portrait of Monsieur Bertin

jean-auguste-dominique-ingres-05

The Vow of Louis XIII

jean-auguste-dominique-ingres-06

The Apotheosis of Homer

jean-auguste-dominique-ingres-07

Jupiter and Thetis

jean-auguste-dominique-ingres-08

The Source

jean-auguste-dominique-ingres-09

The Turkish Bath

jean-auguste-dominique-ingres-10

Madame Moitessier

 

3. ฟรันซิสโก โกยา (Francisco Goya)francisco-goya-00

ฟรันซิสโก โกยา เป็นจิตรกรแนวโรแมนติกและช่างภาพพิมพ์ผู้ได้รับการยกย่องเป็นศิลปินชาวสเปนคนสำคัญที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 และต้นศตวรรษที่ 19 โกยาเกิดเมื่อปี 1746 ที่เมือง Fuendetodos ประเทศสเปน เขาเรียนศิลปะตอนอายุ 14 ปีกับจิตรกรที่เมือง Zaragoza นาน 4 ปี จากนั้นจึงไปศึกษาต่อที่กรุงมาดริดกับศิลปินดัง Anton Raphael Mengs แต่เข้ากันไม่ค่อยได้ และหลังจากพลาดหวังจากการสอบชิงทุนเข้าศึกษาในสถาบัน Real Academia de Bellas Artes de San Fernando เขาจึงเดินทางไปศึกษาผลงานของศิลปินยุคก่อนที่กรุงโรม ก่อนจะมาเริ่มทำงานที่มาดริดด้วยการเขียนภาพชุดบนพรมแขวนผนังจำนวนกว่า 40 ภาพ หนึ่งในนั้นเป็นภาพที่โดดเด่นมากได้แก่ภาพ The Parasol จากนั้นจึงเริ่มทำงานแกะสลักภาพพิมพ์ที่ต่อมาเขากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายรวมทั้งภาพ The Sleep of Reason Produces Monsters

ปี 1783 โกยารับงานเขียนภาพเหมือนให้บุคคลสำคัญของสเปน Count of Floridablanca ทำให้เขามีโอกาสเขียนภาพให้กับบุคคลในราชวงศ์สเปนอีกหลายคน จนถึงปี 1786 เขาได้เป็นจิตรกรส่วนพระองค์ของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 และได้เป็นจิตรกรเอกแห่งราชสำนักสเปนในสมัยพระเจ้าชาลส์ที่ 4 ในช่วงนี้โกยามีผลงานยอดเยี่ยมมากมายรวมทั้งภาพ Charles IV of Spain and His Family และภาพ The White Duchess ในช่วงเวลาเดียวกันโกยาได้เขียนภาพคู่ที่เลื่องชื่อที่สุดของเขาให้กับ Manuel Godoy นายกรัฐมนตรีสเปน เป็นภาพหญิงสาวในอิริยาบถเดียวกันภาพหนึ่งเธอสวมเสื้อผ้า (The Clothed Maja) ส่วนอีกภาพหนึ่งเธอไร้อาภรณ์ (The Nude Maja) โชคร้ายที่เขาเกิดป่วยและทำให้เขาหูหนวกอย่างถาวรซึ่งมีส่วนทำให้แนวทางและสไตล์การเขียนภาพของเขาเปลี่ยนไปจากเดิม

กองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียนเข้ามารุกรานสเปนในปี 1808 ระหว่างสงครามโกยาเขียนภาพ The Colossus ที่แสดงยักษ์อสุรกายกำลังเดินผ่านไปขณะที่ผู้คนแผ่นหนีกระเจิดกระเจิง หลังสงครามเขาเขียนภาพจากความทรงจำในความโหดร้ายของสงครามชื่อภาพ The Third of May 1808 ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ในช่วงบั้นปลายชีวิตโกยาในวัย 75 ปีที่อยู่อย่างเดียวดายในสภาพที่สิ้นหวังทั้งร่างกายและจิตใจได้เขียนภาพ 14 ภาพในชุดที่เรียกว่า Black Paintings ซึ่งเขาใช้เทคนิคที่แตกต่างออกไป หนึ่งในนั้นเป็นภาพที่โด่งดังมากคือภาพ Saturn Devouring His Son เขาเสียชีวิตในปี 1828 ด้วยวัย 82 ปี จากผลงานที่ยอดเยี่ยมในหลากหลายสไตล์ทั้งแบบสมัยเก่าและแบบแหวกแนวล้ำยุค โกยาจึงมักถูกเรียกเป็นทั้ง Old Masters คนสุดท้ายและเป็นจิตรกรสมัยใหม่คนแรก

10 ผลงานชิ้นเอกของฟรันซิสโก โกยา

francisco-goya-01The Third of May 1808

 

francisco-goya-02

The Nude Maja

francisco-goya-04

Charles IV of Spain and His Family

francisco-goya-10

Manuel Osorio Manrique de Zúñiga

francisco-goya-03

The Clothed Maja

francisco-goya-09

The Parasol

francisco-goya-08

The White Duchess

francisco-goya-05

Saturn Devouring His Son

francisco-goya-06

The Sleep of Reason Produces Monsters

francisco-goya-07

The Colossus

 

4. เออแฌน เดอลาครัว (Eugène Delacroix)eugene-delacroix-00

เออแฌน เดอลาครัว เป็นศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของศิลปะแบบโรแมนติก เขาเกิดเมื่อปี 1798 ที่เมืองเล็กๆใกล้กรุงปารีสและเติบโตที่นั่น ปี 1815 เดอลาครัวเรียนการเขียนภาพกับ Pierre-Narcisse Guérin จิตรกรชาวปารีสในสไตล์นีโอคลาสสิกของ Jacques-Louis David แต่เขากลับได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องการใช้สีกับการเคลื่อนไหวจาก Peter Paul Rubens และศิลปินชาวเวนิสในยุคเรอเนสซองส์ และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนศิลปินแนวโรแมนติกของเขาหลายคน รวมทั้งนักเปียนโน Frédéric Chopin และนักเขียน George Sand ปี 1822 เดอลาครัวมีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือภาพ The Barque of Dante ซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงลักษณะการเล่าเรื่องจากแบบนีโอคลาสสิกมาเป็นแบบโรแมนติก

อีกสองปีต่อมาเดอลาครัวคลอดผลงานชิ้นเอกคือภาพ The Massacre at Chios ที่เขาเสนอภาพความน่ากลัวของการทำลายล้างของสงครามในเหตุการณ์สังหารหมู่บนเกาะ Chios ได้อย่างยอดเยี่ยม ตามมาด้วยภาพ Greece on the Ruins of Missolongh ในเหตุการณ์เดียวกันซึ่งสะท้อนความรู้สึกของชาวกรีซที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ปี 1827 เดอลาครัวมีผลงานชั้นยอดออกมาอีกคราวนี้เป็นเรื่องราวจากบทละครในชื่อภาพ The Death of Sardanapalus ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ศิลปะอย่างมาก เขาใช้เวลาเพียง 5 ปีสร้างชื่อจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นจิตรกรชื่อดังชั้นแนวหน้าของประเทศ ปี 1830 ฝรั่งเศสเกิดเหตุการณ์ July Revolution การปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 เดอลาครัวเขียนภาพ Liberty Leading the People เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเขาเสนอภาพของเทพีแห่งเสรีภาพนำหน้าผู้คนข้ามอุปสรรคและคนที่ล้มลง ในมือของเธอถือธง 3 สีซึ่งต่อมากลายเป็นธงชาติฝรั่งเศส และภาพนี้ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา

ปี 1832 เดอลาครัวเดินทางไปยังสเปนและประเทศในทวีปแอฟริกาเหนือในภารกิจทางการทูตที่โมร็อคโคหลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองอัลจีเรีย ตัวเขาเองก็ต้องการหนีจากความศิวิไลซ์ของปารีสไปสัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมในประเทศเหล่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้เดอลาครัวได้เขียนภาพวิถีชีวิตของคนแถบแอฟริกาเหนือกว่า 100 ภาพ หลายภาพเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาอย่างเช่นภาพ Women of Algiers in their Apartment และภาพ Entry of the Crusaders in Constantinople ต่อมาเดอลาครัวหันไปรับงานเขียนภาพฝาผนังในอาคารสาธารณะ รวมทั้งเขียนภาพปูนเปียกที่โบสถ์ด้วย พออายุมากขึ้นเดอลาครัวซึ่งมีปัญหาการติดเชื้อในลำคอมักจะออกไปพักผ่อนในกระท่อมของเขาที่ Champrosay นอกกรุงปารีส เขาเสียชีวิตในปี 1863 ในวัย 65 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของเออแฌน เดอลาครัว

eugene-delacroix-01Liberty Leading the People

 

eugene-delacroix-02

The Death of Sardanapalus

eugene-delacroix-03

The Massacre at Chios

eugene-delacroix-04

The Barque of Dante

eugene-delacroix-05

Greece on the Ruins of Missolonghi

eugene-delacroix-06

Women of Algiers in their Apartment

eugene-delacroix-07

Entry of the Crusaders in Constantinople

eugene-delacroix-08

Orphan Girl at the Cemetery

eugene-delacroix-09

The fanatics of Tangiers

eugene-delacroix-10

A Young Tiger Playing with Its Mother

 

5. อันโตนิโอ คาโนวา (Antonio Canova)antonio-canova-00

อันโตนิโอ คาโนวา เป็นประติมากรชาวอิตาลีหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนีโอคลาสสิกผู้มีผลงานประติมากรรมหินอ่อนที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง คาโนวาเกิดเมื่อปี 1757 ที่เมือง Possagno สาธารณรัฐเวนิส เขาเติบโตในเหมืองหินของคุณปู่ซึ่งเป็นทั้งช่างตัดหินและประติมากรจึงสามารถแกะสลักหินอ่อนเป็นตั้งแต่ยังมีอายุไม่ถึง 10 ปี พออายุได้ 13 ปีเขาไปเป็นลูกศิษย์ของประติมากรมีชื่อเสียง Giuseppe Bernardi ที่เมืองเวนิสอยู่ 2 ปี จากนั้นเริ่มรับงานเองผลงานแรกเป็นรูปแกะสลักหินอ่อน 2 ชิ้น Orpheus และ Eurydice เสร็จในปี 1777 ซึ่ง Orpheus ได้รับการยกย่องมากและคาโนวาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองเวนิส อีก 2 ปีต่อมาเขาสร้างผลงาน Daedalus and Icarus ซึ่งได้รับการชื่นชอบมากเช่นกัน ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่เวทีใหญ่ที่กรุงโรมในปี 1780

ที่โรมคาโนวาใช้เวลาในการศึกษาผลงานของ Michelangelo และยังไปดูเมืองโบราณอีกหลายแห่ง ระหว่างปี 1783 -1787 เขาออกแบบและสร้างอนุสาวรีย์หลุมฝังศพพระสันตปาปา Clement XIV ต่อด้วยของพระสันตปาปา Clement XIII ซึ่งเสร็จในปี 1792 จากนั้นได้สร้างรูปแกะสลักหินอ่อน Psyche Revived by Cupid’s Kiss ซึ่งไม่เพียงได้รับการยกย่องเป็นประติมากรรมชิ้นเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิก ยังถือเป็นพัฒนาการแห่งศิลปะแบบโรแมนติกอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นานคาโนวาก็กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของยุโรป มีลูกค้าเป็นบุคคลสำคัญและสมาชิกในราชวงศ์ต่างๆทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนที่คาโนวาสร้างรูปปั้นชั้นยอดให้หลายชิ้น เช่น Venus Victrix และ Napoleon as Mars the Peacemaker

คาโนวาเดินทางไปอังกฤษหลายครั้งได้เยี่ยมชมประติมากรรมหินอ่อนเอลกิน (Elgin Marbles) รวมทั้งไปดูแลการติดตั้งผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งคือ The Three Graces ก่อนจะกลับอิตาลีทำงานแกะสลักรูปปั้น Venus Italica ที่สร้างขึ้นทดแทนรูปปั้น Venus de’ Medici ซึ่งถูกนโปเลียนยึดครองไป ความโด่งดังของคาโนวาไปไกลถึงสหรัฐอเมริกาที่ได้จ้างเขาทำรูปปั้นของ George Washington ซึ่งถูกส่งถึงรัฐนอร์ทแคโรไลนาในปี 1821 แต่น่าเสียดายที่มันถูกทำลายจากไฟไหม้หลังจากจัดแสดงได้เพียง 10 ปี คาโนวาทุ่มเทเวลาให้กับการแกะสลักรูปปั้นแทบไม่หยุดหย่อน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตยังได้สร้างผลงานชิ้นเยี่ยมให้กับราชวงศ์อังกฤษคือรูปปั้น Mars and Venus คาโนวาเสียชีวิตในปี 1822 ด้วยวัย 64 ปี เขาเป็นศิลปินที่สร้างงานศิลปะมาตลอดชีวิตและไม่เคยแต่งงาน

10 ผลงานชิ้นเอกของอันโตนิโอ คาโนวา

antonio-canova-01Psyche Revived by Cupid’s Kiss

 

antonio-canova-02

The Three Graces

antonio-canova-03

Venus Victrix

antonio-canova-04

Napoleon as Mars the Peacemaker

antonio-canova-05

Venus Italica

antonio-canova-06

Cupid and Psyche

antonio-canova-07

Daedalus and Icarus

antonio-canova-08

Mars and Venus

antonio-canova-09

Theseus and the Minotaur

antonio-canova-10

Orpheus

 

6. วิลเลี่ยม-อดอล์ฟ บูเกอโร (William-Adolphe Bouguereau)william-adolphe-bouguereau-00

วิลเลี่ยม-อดอล์ฟ บูเกอโร เป็นจิตรกรในสไตล์ผสมผสานระหว่างแบบนีโอคลาสสิกและแบบโรแมนติกชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 เขาเกิดเมื่อปี 1825 ที่เมือง La Rochelle ประเทศฝรั่งเศส บูเกอโรเริ่มเรียนการเขียนภาพตอนอายุ 12 ปีที่โรงเรียนในเมือง Pons และเมือง Bordeaux ก่อนจะไปเรียนต่อที่สถาบันศิลปะ École des Beaux-Arts ที่กรุงปารีสในปี 1846 รวมทั้งได้เข้าศึกษาในสตูดิโอของจิตรกร François-Édouard Picot ด้วย ช่วงนี้เขามีผลงานชิ้นเยี่ยมคือภาพ Dante And Virgil บูเกอโรชนะการแข่งขันได้รับทุน Prix de Rome ไปเรียนศิลปะที่อิตาลีตอนอายุ 26 ปีซึ่งทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นยอดหลายยุค หลังจบการศึกษาที่อิตาลีในปี 1854 บูเกอโรก็เริ่มสร้างผลงานชั้นยอดออกมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน ภาพเขียนของเขาถูกแสดงในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon เป็นประจำนานหลายทศวรรษจนมีชื่อเสียงโด่งดังทั่วยุโรปและดังไกลไปถึงสหรัฐอเมริกา

บูเกอโรเขียนภาพได้ยอดเยี่ยมในเกือบทุกแนว โดยเฉพาะภาพวิถีชีวิตประจำวันถือว่าโดดเด่นมากแทบทุกภาพสวยงามมีเอกลักษณ์ที่น่าประทับใจ อย่างเช่นภาพ The Shepherdess, Breton Brother and Sister และภาพ Rest at harvest ผลงานภาพจากเรื่องในตำนานของเขาก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ภาพ The Birth of Venus และ Nymphs and Satyr เป็นส่วนหนึ่งในผลงานชั้นยอดของแนวนี้ ภาพเขียนแนวศาสนาอย่างเช่นภาพ The Madonna of the Lilies เขาก็ทำได้ดีเยี่ยมไม่แพ้ในแนวอื่นๆ และอีกแนวหนึ่งซึ่งเขาได้รับการยกย่องและเป็นที่ชื่นชอบมากเช่นกันคือภาพนู้ดที่เขาได้แสดงสรีระผิวพรรณของหญิงสาวได้งดงามน่าหลงใหลมาก รวมทั้งได้ซ่อนความหมายในเชิงสัญลักษณ์และการเปรียบเทียบได้อย่างน่าสนใจยิ่ง ภาพ The Wave ได้รับการยกย่องอย่างมากจนเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์ของเขา ภาพอื่นๆก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน เช่น ภาพ Evening Mood เป็นต้น

ตั้งแต่ปี 1875 บูเกอโรได้สอนนักเรียนศิลปะที่สถาบัน Académie Julian ซึ่งเป็นโรงเรียนศิลปะเอกชนที่ไม่เพียงเตรียมตัวนักเรียนสำหรับการสอบเข้าสถาบัน École des Beaux-Arts ยังให้โอกาสในการเรียนศิลปะแก่นักเรียนผู้หญิงซึ่งสถาบันหลักไม่รับเข้าเรียนและนักเรียนจากต่างชาติที่มีปัญหาด้านภาษาฝรั่งเศสที่ต้องใช้ในการสอบเข้าสถาบันหลัก เขาสอนที่นี่เป็นเวลานานหลายสิบปีมีลูกศิษย์ทั้งผู้ชายและผู้หญิงจากทั่วโลกเป็นพันคนซึ่งพวกเขาเหล่านั้นจำนวนมากได้ไปสร้างผลงานและชื่อเสียงในประเทศตัวเอง ตัวเขาก็ได้รับรางวัลเกียรติยศและการยกย่องจากสถาบันเป็นอย่างสูง บูเกอโรรักการเขียนภาพเป็นชีวิตจิตใจ เขาเขียนภาพตั้งแต่เช้าตรู่จนมืดค่ำ 6 วันต่อสัปดาห์ ตลอดชีวิตเขามีผลงานภาพเขียนมากกว่า 800 ภาพ บูเกอโรเสียชีวิตเมื่อปี 1905 ในวัย 79 ปีที่เมือง La Rochelle บ้านเกิดของเขาซึ่งเขาและครอบครัวมาพักและทำงานเขียนภาพเป็นประจำสลับกับที่บ้านในกรุงปารีส

10 ผลงานชิ้นเอกของวิลเลี่ยม-อดอล์ฟ บูเกอโร

william-adolphe-bouguereau-01The Wave

 

william-adolphe-bouguereau-02

The Shepherdess

william-adolphe-bouguereau-03

Breton Brother and Sister

william-adolphe-bouguereau-04

Rest at Harvest

william-adolphe-bouguereau-05

Dante and Virgil

william-adolphe-bouguereau-06

The Madonna of the Lilies

william-adolphe-bouguereau-07

A Young Girl Defending Herself against Eros

william-adolphe-bouguereau-08

The Birth of Venus

william-adolphe-bouguereau-09

Nymphs and Satyr

william-adolphe-bouguereau-10

Evening Mood

 

7. กุสตาฟว์ กูร์แบ (Gustave Courbet)gustave-courbet-00

กุสตาฟว์ กูร์แบ เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสผู้นำของศิลปะแบบสัจนิยม เขาเป็นหนึ่งในศิลปินผู้โดดเด่นที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 กูร์แบเกิดเมื่อปี 1819 ที่เมือง Ornans ประเทศฝรั่งเศส หลังจากจบการเรียนที่โรงเรียนศิลปะที่เมือง Besançon เขาย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสเพื่อศึกษาการเขียนภาพต่อในปี 1839 กูร์แบทำงานในสตูดิโอเขียนภาพช่วงสั้นๆก่อนจะออกมาพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเองโดยการศึกษาและเขียนภาพตามอย่างผลงานของศิลปินชั้นครูในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ผลงานแรกๆเขาได้แรงบันดาลใจจากบทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังอย่าง Victor Hugo แต่ไม่นานเขาก็หันไปเขียนเฉพาะภาพที่เขามองเห็นจริงเท่านั้น เขาไม่สนใจเขียนภาพจากตำนานแบบนีโอคลาสสิกและปฏิเสธการเขียนภาพจากจินตนาการแบบโรแมนติก ผลงานในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นภาพเหมือนโดยเฉพาะภาพเหมือนตัวเองในหลากหลายอิริยาบถซึ่งหลายภาพเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมรวมทั้งภาพ The Desperate Man

ปี 1846 กูร์แบเดินทางไปท่องเที่ยวที่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ได้ชมผลงานของศิลปินชาวดัตช์หลายคนรวมทั้ง Rembrandt ทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าศิลปินควรเขียนภาพเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่เกิดขึ้นรอบตัว ปี 1849 หลังจากกลับจากไปเยี่ยมบ้านเกิดที่ Ornans เพื่อพักผ่อนและหาแรงบันดาลใจในการเขียนภาพซึ่งเขามักทำอยู่บ่อยๆ กูร์แบเริ่มสร้างผลงานชิ้นเอกภาพแรก The Stone Breakers ที่ได้รับการชื่นชมอย่างมากถือเป็นสัญลักษณ์หนึ่งของชนชั้นเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน ตามมาด้วยภาพ A Burial At Ornans ที่ต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ถัดจากนั้นไม่กี่ปีกูร์แบได้เขียนภาพ The Painter’s Studio ที่ได้รับการยกย่องจากศิลปินชื่อดังแห่งยุคหลายคนรวมทั้ง Eugène Delacroix ว่านี่คือผลงานชิ้นเอก นอกจากภาพวิถีชีวิตประจำวันที่กูร์แบสร้างผลงานชั้นยอดออกมามากมายแล้วเขายังเขียนภาพนู้ดผู้หญิงได้อย่างยอดเยี่ยมอย่างเช่นภาพ Woman with a Parrot, ภาพ Nude Woman with a Dog รวมทั้งภาพ The Origin of the World ที่สร้างความตื่นตะลึงทั้งวงการ

ภาพทิวทัศน์ก็เป็นอีกแนวหนึ่งที่กูร์แบชอบเขียนและทำได้ดี เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ทะเลมากโดยเฉพาะภาพคลื่นซึ่งเขาชอบมากเป็นพิเศษ เขาเขียนภาพ The Wave ไว้หลายเวอร์ชั่นมาก นอกจากกูร์แบจะเสนอภาพชีวิตชนชั้นกรรมาชีพผ่านทางภาพเขียนมาโดยตลอดแล้ว ในปี 1871 เขายังได้เข้าร่วมเป็นผู้นำในกลุ่ม Paris Commune ที่ต่อต้านรัฐบาลฝรั่งเศสและมีส่วนในการรื้อทำลาย Vendôme Column อนุสรณ์แห่งสงครามที่นโปเลียนเป็นผู้สร้างไว้ เมื่อรัฐบาลปราบปราบสำเร็จเขาจึงถูกจำคุกนาน 6 เดือน ต่อมาในปี 1877 รัฐบาลฝรั่งเศสได้สร้าง Vendôme Column ขึ้นใหม่และให้กูร์แบเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดโดยให้เขาจ่ายปีละ 10,000 ฟรังก์เป็นเวลา 33 ปี เขาจึงหนีไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์และเสียชีวิตที่นั่นในปีเดียวกันก่อนถึงกำหนดจ่ายค่าก่อสร้าง Vendôme Column งวดแรกเพียงวันเดียว ผลงานและสไตล์การเขียนภาพของกูร์แบได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังในการพัฒนาสู่ศิลปะสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลัทธิประทับใจและลัทธิคิวบิสม์

10 ผลงานชิ้นเอกของกุสตาฟว์ กูร์แบ

gustave-courbet-01A Burial At Ornans

 

gustave-courbet-02

The Origin of the World

gustave-courbet-03

The Stone Breakers

gustave-courbet-04

The Meeting

gustave-courbet-05

The Desperate Man

gustave-courbet-06

The Painter’s Studio

gustave-courbet-07

Young Ladies by the River Seine

gustave-courbet-08

Woman with a Parrot

gustave-courbet-09

The Wave

gustave-courbet-10

Nude Woman with a Dog

 

8. ฟร็องซัว เจอร์ราร์ด (François Gérard)

francois-gerard-00

ฟร็องซัว เจอร์ราร์ด เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคจักรวรรดินโปเลียนและช่วงฟื้นฟูราชวงศ์ฝรั่งเศส เจอร์ราร์ดเป็นชาวฝรั่งเศสแต่เกิดที่กรุงโรมเมื่อปี 1770 เพราะพ่อของเขาทำงานในสถานทูตฝรั่งเศสที่นั่นและแม่เป็นชาวอิตาลี เขาเริ่มเรียนศิลปะกับประติมากรมีชื่อคนหนึ่งในกรุงปารีสก่อนจะมาเป็นลูกศิษย์ของจิตรกรชื่อดังแห่งยุค Jacques-Louis David ปี 1789 เจอร์ราร์ดแข่งขันชิงทุนการศึกษาศิลปะ Prix de Rome แต่แพ้เพื่อนของเขาเองซึ่งเป็นลูกศิษย์อีกคนหนึ่งของ David ปีถัดมาพ่อของเขาเสียชีวิตเขาจึงกลับไปอยู่กับแม่ที่โรม เจอร์ราร์ดกลับปารีสในปี 1791 เริ่มทำงานเขียนภาพซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพเหมือนบุคคลและเริ่มมีชื่อเสียงเป็นลำดับ จนถึงปี 1798 เขาเขียนภาพ Cupid and Psyche ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาจัดแสดงในงานนิทรรศการศิลปะ Paris Salon ส่งผลให้เขากลายเป็นหนึ่งในจิตรกรเขียนภาพเหมือนชั้นแนวหน้าแห่งยุค

พอชื่อเสียงโด่งดังก็มีงานรุม บุคคลชั้นนำและผู้มีชื่อเสียงต่างทยอยมาเป็นแบบให้เจอร์ราร์ดเขียนภาพของตัวเองเป็นจำนวนมาก แน่นอนว่าต้องรวมถึงบุคคลระดับสูงสุดอย่างจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 และจักรพรรดินีโฌเซฟีน ผลงานชั้นยอดจึงทยอยตามออกมามากมาย อย่างเช่นภาพ Madame Récamier, Portrait of Napoleon Bonaparte และภาพ Portrait of the Empress Josephine ภาพเหมือนบุคคลของเจอร์ราร์ดได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างมาก บางคนถึงกับบอกว่าภาพเหมือนของเขาสละสลวยยิ่งกว่าผลงานของอาจารย์ของเขาอีก เจอร์ราร์ดได้พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้เก่งเฉพาะการเขียนภาพเหมือนเท่านั้น ผลงานการเขียนภาพประวัติศาสตร์ในภาพ The Battle of Austerlitz, 2nd December 1805 และภาพ Entrée d’Henri IV à Paris, 22 Mars 1594 ก็เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน

หลังจากนโปเลียนหมดอำนาจเป็นช่วงเวลาฟื้นฟูราชวงศ์บูร์บงของฝรั่งเศส เจอร์ราร์ดได้ทำงานเป็นจิตรกรเอกของราชสำนักและได้รับบรรดาศักด์เป็น Baron ในปี 1819 ดังนั้นเขาจึงมักถูกเรียกเป็นบารอน เจอร์ราร์ด เขายังคงสร้างผลงานภาพเขียนชั้นยอดของเขาต่อไปโดยเฉพาะภาพเหมือนที่ใครเห็นเป็นต้องประทับใจอย่างเช่นภาพ Portrait of Louise Antoinette Scholastique Guéhéneuc with her Children ในระยะหลังเจอร์ราร์ดยังมีผลงานชิ้นเยี่ยมในแนวอื่นอีกนอกเหนือจากภาพเหมือนได้แก่ภาพ Corinne at Cape Misenum ที่เขียนจากนิยาย และภาพแนวศาสนาในภาพ Teresa of Ávila เป็นต้น แต่ภายหลังเหตุการณ์การปฏิวัติโค่นล้มราชวงศ์ฝรั่งเศสในปี 1830 เขาเกิดความเศร้าใจท้อแท้และวิตกกังวล เขาป่วยและเสียชีวิตในปี 1837 ด้วยวัย 66 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของฟร็องซัว เจอร์ราร์ด

francois-gerard-01Cupid and Psyche

 

francois-gerard-02

Madame Récamier

francois-gerard-03

Corinne at Cape Misenum

francois-gerard-04

Portrait of the Empress Josephine

francois-gerard-05

Portrait of Napoleon Bonaparte

francois-gerard-06

Entrée d’Henri IV à Paris, 22 Mars 1594

francois-gerard-07

Josephine in Coronation Costume

francois-gerard-08

Portrait of Louise Antoinette Scholastique Guéhéneuc with her Children

francois-gerard-09

The Battle of Austerlitz, 2nd December 1805

francois-gerard-10

Teresa of Ávila

 

9. เอลีซาแบ็ต หลุยส์ วีเฌ เลอเบริง (Élisabeth Louise Vigée Le Brun)elisabeth-louise-igee-le-Brun-00

เอลีซาแบ็ต หลุยส์ วีเฌ เลอเบริง เป็นจิตรกรผู้หญิงชาวฝรั่งเศสที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่18 โดยเฉพาะผลงานภาพเหมือนของผู้หญิงมีความโดดเด่นมาก วีเฌ เลอเบริงเกิดที่กรุงปารีสในปี 1755 พ่อเป็นจิตรกรเขียนภาพบนพัดและเป็นครูคนแรกของเธอ เธอยังได้รับการแนะนำจากจิตรกรมีชื่อของปารีสอีกหลายคน วีเฌ เลอเบริงกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญการเขียนภาพเหมือนตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น ปี 1781 เธอไปศึกษาผลงานศิลปินเฟลมิชที่เนเธอร์แลนด์ซึ่งได้สร้างแรงบันดาลใจกับเธอมาก โดยเฉพาะผลงานของ Peter Paul Rubens และนั่นทำให้เธอสร้างผลงานชิ้นเอก Self-portrait in a Straw Hat ในปี 1782 ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเธอ

ปีต่อมาโอกาสสำคัญของเธอก็มาถึงเมื่อ Marie Antoinette พระราชินีแห่งฝรั่งเศสได้เรียกเธอไปเขียนภาพเหมือนให้ ผลงานของเธอสร้างความพอใจแก่พระราชินีจนมอบหมายให้วีเฌ เลอเบริงเขียนภาพของเธอและครอบครัวเป็นเวลานานหลายปีจำนวนกว่า 30 ภาพ หลายภาพเป็นผลงานชั้นยอดอย่างเช่นภาพ Marie Antoinette and her Children และภาพ Marie-Antoinette with the Rose รวมทั้งได้เขียนภาพให้สมาชิกในราชวงศ์และบุคคลชั้นสูงมากมาย ภาพ Madame Grand และ Comtesse de la Châtre เป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่ยอดเยี่ยมจำนวนมากที่เธอเขียนในช่วงนี้ ปี 1783 วีเฌ เลอเบริงได้เข้าเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะ French Academy of Painting and Sculpture ซึ่งเป็นเรื่องพิเศษมากสำหรับศิลปินผู้หญิง

ปี 1789 เมื่อเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศสโค่นล้มระบบกษัตริย์วีเฌ เลอเบริงหนีไปอยู่ต่างประเทศนานถึง 12 ปี เธอทำงานเขียนภาพที่อิตาลี ออสเตรีย รัสเซีย และเยอรมัน ผลงานที่ยอดเยี่ยมช่วงนี้ก็มีมากมาย เช่น ภาพ Portrait of Anna Pitt as Hebe และภาพ Portrait of a Young Woman เป็นต้น เธอกลับปารีสในปี 1802 แต่ไม่ชอบชีวิตความเป็นอยู่ภายใต้การปกครองของนโปเลียนจึงไปทำงานเขียนภาพที่อังกฤษและสวิตเซอร์แลนด์อีกหลายปี ก่อนจะกลับมาอยู่ที่ปารีสอย่างถาวร เธอซื้อบ้านที่ Louveciennes ชานเมืองปารีสและใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ที่นั่นทำงานเขียนภาพทั้งภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ และฉากในตำนาน วีเฌ เลอเบริงเสียชีวิตในปี 1842 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานภาพเหมือนกว่า 660 ภาพและภาพทิวทัศน์อีกกว่า 200 ภาพ

10 ผลงานชิ้นเอกของเอลีซาแบ็ต-หลุยส์ วีเฌ-เลอเบริง

elisabeth-louise-igee-le-Brun-01Self-portrait in a Straw Hat

 

elisabeth-louise-igee-le-Brun-02

Marie-Antoinette with the Rose

elisabeth-louise-igee-le-Brun-03

Marie Antoinette and her Children

elisabeth-louise-igee-le-Brun-04

Madame Grand

elisabeth-louise-igee-le-Brun-05

Portrait of Anna Pitt as Hebe

elisabeth-louise-igee-le-Brun-06

Comtesse de la Châtre

elisabeth-louise-igee-le-Brun-07

Madame d’Aguesseau de Fresnes

elisabeth-louise-igee-le-Brun-08

The Marquise de Pezay, and the Marquise de Rougé with Her Sons Alexis and Adrien

elisabeth-louise-igee-le-Brun-09

Portrait of Marie Gabrielle de Gramont

elisabeth-louise-igee-le-Brun-10

Portrait of a Young Woman

 

10. ฟรานเชสโก เฮซ์ (Francesco Hayez)francesco-hayez-00

ฟรานเชสโก เฮซ์ เป็นจิตรกรแนวโรแมนติกชั้นแนวหน้าของอิตาลีในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 เขาเกิดเมื่อปี 1791 ที่เมืองเวนิสในครอบครัวที่ยากจน แต่เขาเติบโตท่ามกลางงานศิลปะเพราะได้อาศัยอยู่กับลุงที่เป็นนักสะสมงานศิลปะ เฮซ์ชอบการเขียนภาพตั้งแต่เด็กและได้รับการสนับสนุนจากลุงที่หวังจะให้เขาเป็นช่างบูรณะงานศิลปะ เฮซ์เรียนการเขียนภาพกับ Francesco Maggiotto จิตรกรมีชื่อของเวนิสอยู่ 3 ปี จากนั้นในปี 1806 จึงเข้าเรียนศิลปะที่สถาบัน New Academy of Fine Arts ในเมืองมิลาน สามปีต่อมาเขาชนะการแข่งขันได้ทุนไปเรียนศิลปะที่กรุงโรม 1 ปี แต่เขาอยู่ที่โรมยาวถึงปี 1814 แล้วจึงไปทำงานเขียนภาพที่เมืองเนเปิลส์ระยะหนึ่งก่อนจะไปปักหลักอยู่ที่เมืองมิลานสร้างชื่อเสียงจนโด่งดัง

เฮซ์เริ่มสร้างชื่อจากการเขียนภาพเหมือนบุคคล เขามีผลงานภาพเหมือนจำนวนมากทั้งภาพเหมือนตัวเองและของคนอื่น ภาพ Malinconia, ภาพ Portrait of Antonietta Negroni Prati Morosini as Child และภาพ Levite Ephraim เป็นส่วนหนึ่งในผลงานที่ยอดเยี่ยม รวมไปถึงภาพ Self-Portrait ที่เขาเขียนไว้หลายเวอร์ชั่นในหลากหลายอิริยาบถ เฮซ์เขียนภาพประวัติศาสตร์หรือฉากในเรื่องจากตำนานหรือพระคัมภีร์ได้ดีเยี่ยมเช่นกัน อย่างเช่นภาพ The Refugees of Parga เป็นต้น

แต่ผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขาเป็นภาพในแนวโรแมนติกโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพ The Kiss ที่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพการจูบที่เร่าร้อนและดูดดื่มลึกซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก นอกจากนี้ภาพผู้หญิงในแนวโป๊แต่ไม่เปลือยเขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์มากชนิดหาคนเทียบได้ยาก อย่างเช่นภาพ Meditation on the History of Italy, ภาพ Reclining Odalisque และภาพ Ruth เฮซ์อาศัยอยู่ที่เมืองมิลานจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1882 มีอายุยืนถึง 91 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของฟรานเชสโก เฮซ์

francesco-hayez-01The Kiss

 

francesco-hayez-02

Malinconia

francesco-hayez-03

Reclining Odalisque

francesco-hayez-04

Portrait of Antonietta Negroni Prati Morosini as Child

francesco-hayez-05

Self-Portrait

francesco-hayez-06

Levite Ephraim

francesco-hayez-07

The Refugees of Parga

francesco-hayez-08

Meditation on the History of Italy

francesco-hayez-09

Venus Playing with Two Doves

francesco-hayez-10

Ruth

 

ข้อมูลและภาพจาก  ranker, timeout, wikipedia, britannica

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *