Starlink จะใช้ดาวเทียมขนาดเล็กซึ่งจะทำให้มีต้นทุนต่ำกว่าดาวเทียมที่ใช้งานในปัจจุบันหลายเท่า เครือข่ายดาวเทียมของ Starlink แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรกจำนวน 4,425 ดวงจะถูกส่งขึ้นไปอยู่ที่วงโคจรระดับสูงที่ระดับ 1,100 – 1,300 กิโลเมตรเหนือผิวโลก อีกกลุ่มหนึ่ง 7,518 ดวงจะอยู่ที่วงโคจรระดับต่ำราว 300 กิโลเมตรเหนือผิวโลก
อย่างไรก็ดี SpaceX มีแผนจะปรับเปลี่ยนแบ่งเอาดาวเทียมจำนวน 1,584 ดวงจากกลุ่มที่อยู่ในวงโคจรระดับสูงให้มาโคจรที่ระดับราว 550 กิโลเมตรเหนือผิวโลก ด้วยเหตุผลต้องการลดปัญหาขยะอวกาศหลังหมดอายุใช้งาน ที่วงโคจรระดับต่ำดาวเทียมจะเสื่อมสลายไปได้เองในเวลาไม่นาน ต่างจากวงโคจรระดับสูงที่ดาวเทียมเลิกใช้งานแล้วแต่ยังคงอยู่เป็นขยะอวกาศไปได้อีกนาน และนี่อาจเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้ Tintin A and Tintin B ดาวเทียมสองดวงแรกของโครงการที่ถูกส่งขึ้นไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2018 ยังคงอยู่ที่วงโคจรราว 500 กิโลเมตรเหนือผิวโลกไม่ขยับไปวงโคจรระดับสูงอย่างที่ตั้งใจไว้แต่แรก
ในวันเดียวกัน FCC ได้อนุมัติการส่งดาวเทียมให้กับบริษัทอื่นอีก 3 บริษัทได้แก่ Telesat, LeoSat, และ Kepler Communications ด้วยจำนวนดาวเทียม 117, 78, และ 140 ดวงตามลำดับ แต่เมื่อเทียบกับจำนวนเกือบ 12,000 ดวงของ SpaceX ถือว่าจิ๊บจ๊อยมาก
สิ่งที่หลายคนเป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้แก่ปัญหาการจราจรของดาวเทียมที่มากเกินไปจนอาจเกิดเหตุการณ์ชนกันได้ ปัจจุบันมีดาวเทียมที่ใช้งานอยู่ 1,419 ดวง และดาวเทียมที่เลิกใช้งานไปแล้วล่องลอยอยู่ในอวกาศอีกราว 2,600 ดวง และหากมีเพิ่มอีก 12,000 ดวงมันก็เป็นสิ่งที่น่ากังวลอยู่ไม่น้อย แต่คงต้องดูกันต่อไปว่าพวกเขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร
ข้อมูลและภาพจาก techcrunch, bloomberg