นักศึกษากฏหมายผู้กลายเป็นศิลปิน
เดอกา เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1834 พ่อเป็นนายธนาคาร ส่วนแม่เป็นชาวครีโอลจากเมืองนิวออร์ลีนส์ รัฐหลุยเซียนาซึ่งมีบรรพบุรุษเป็นชาวฝรั่งเศส ถึงแม้เดอกาจะชอบเขียนภาพและฝึกฝีมือมาตั้งแต่เด็ก แต่พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายเขาจึงจำใจต้องเข้าเรียนคณะนิติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยปารีสในปี 1853 แต่ก็มิได้ใส่ใจกับการศึกษาวิชากฎหมาย สองปีต่อมาจึงย้ายไปเรียนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts ได้เรียนการเขียนภาพตามสไตล์ของ Jean-Auguste-Dominique Ingres ศิลปินที่เขาชื่นชอบซึ่งเคยแนะนำเขาตอนพบกันก่อนเขาจะเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะว่าให้เขาหมั่นฝึกเขียนลายเส้นให้จงหนักแล้วจะเป็นศิลปินที่ดี เขาไม่เคยลืมและทำตามคำแนะนำอย่างจริงจัง
ปี 1856 เดอกาเดินทางไปอิตาลีศึกษาและคัดลอกภาพเขียนของศิลปินชั้นครูยุคเรอเนสซองส์หลายคนรวมทั้ง Michelangelo, Raphael และ Titian เขาฝึกฝีมืออยู่ที่อิตาลีถึง 3 ปีและยังคัดลอกภาพในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกหลายปี ทำให้เขามีฝีมือการเขียนลายเส้นที่สวยงามที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในอิตาลีเขาได้เริ่มต้นศึกษาการสร้างภาพเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกคือภาพ Portrait of the Bellelli Family และลงมือทำทันทีเมื่อกลับมาปารีสในปี 1859 โดยตั้งใจจะนำไปแสดงในนิทรรศการศิลปะ Salon แต่กว่าภาพนี้จะเสร็จจริงๆก็ปาเข้าไปถึงปี 1867 ขณะเดียวกันเขาได้สร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์อยู่หลายปี และเป็นผลงานในแนวนี้ที่ทำให้เขาได้เข้าร่วมใน Salon ปี 1865 ด้วยภาพ Battle Scene from the Middle Age แต่หลังจากนั้นเขาไม่เคยส่งภาพเขียนแนวประวัติศาสตร์เข้าร่วมใน Salon อีกเลย
สไตล์การเขียนภาพของเดอกาเริ่มเปลี่ยนไปตั้งแต่ได้พบกับ Édouard Manet เมื่อปี 1864 ขณะที่ทั้งคู่กำลังคัดลอกภาพเดียวกันในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ เขาหันมาเขียนภาพชีวิตประจำวันของผู้คนร่วมสมัยมากขึ้น ภาพการขับขี่ม้าของจ๊อกกี้และบรรยากาศในสนามแข่งม้าเป็นฉากที่เดอกาชอบเขียนมาก รวมทั้งภาพของผู้หญิงในร้านขายหมวกและในร้านซักรีด ในปี 1868 เขาได้เขียนภาพ Portrait of Mlle Fiocre in the Ballet อันเป็นผลงานสำคัญชิ้นแรกที่เขาเสนอภาพของนักเต้นซึ่งต่อมาได้กลายเป็นองค์ประกอบหลักในภาพเขียนที่เป็นเอกลักษณ์ประจำตัวและสร้างชื่อเสียงให้กับเขาอย่างมาก
ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ผู้แตกต่าง
ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียระหว่างปี 1870 – 1871 เดอกาถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร ระหว่างการฝึกยิงปืนเขาพบว่าสายตาเริ่มมีปัญหาและปัญหาเกี่ยวกับสายตานี้ได้สร้างความกังวลให้เขาไปจนตลอดชีวิต หลังสงครามเขาไปพักอยู่กับน้องชาย René และญาติฝ่ายแม่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ ที่นั่นเขาได้สร้างผลงานภาพเขียนจำนวนหนึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพสมาชิกในครอบครัว หนึ่งในนั้นเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาได้แก่ภาพ A Cotton Office in New Orleans ปี 1873 เดอกากลับปารีส ปีถัดมาพ่อของเขาเสียชีวิต ตามมาด้วยการได้รู้ว่า René มีหนี้สินจากธุรกิจจำนวนมหาศาลซึ่งเขาจำเป็นต้องขายบ้านและชิ้นงานศิลปะที่ได้รับมรดกมาเอาเงินไปเคลียร์หนี้ให้น้องชาย หลังจากนั้นจึงเป็นช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองของเขานานนับทศวรรษเริ่มตั้งแต่ปี 1874
ปลายปี 1873 เดอกา, Monet, Renoir, Pissarro และศิลปินรุ่นใหม่อีกหลายคนได้ร่วมกันตั้งกลุ่มศิลปินใหม่เพื่อจัดแสดงผลงานโดยอิสระไม่ต้องอาศัยนิทรรศการศิลปะ Salon ที่ยึดติดอยู่กับศิลปะแบบเก่าและมักปฏิเสธไม่ให้ผลงานแนวใหม่ได้ร่วมแสดง ต่อมาศิลปินกลุ่มนี้ถูกเรียกว่าศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ เดอกาเป็นคนเดียวในกลุ่มที่ไม่ชอบและไม่ยอมรับชื่อนี้ เขาไม่เคยเรียกตัวเองเป็นศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ทั้งๆที่เป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง เขาอยากให้เรียกว่าเป็นพวกสัจนิยมมากกว่า
เดอกามีความแตกต่างจากศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์คนอื่นๆค่อนข้างมาก ศิลปินกลุ่มนี้มักเขียนภาพกลางแจ้ง พวกเขานำเสนอธรรมชาติรอบตัวโดยใช้สีสันสดใสแพรวพราว โดยเน้นไปที่ผลกระทบของแสงเป็นหลักและแสดงสิ่งที่เขาพบเห็นและรู้สึกในชั่วขณะนั้น แต่เดอกาไม่ใช่เลย เขาชอบเขียนภาพในสตูดิโอและออกจะดูแคลนการเขียนภาพกลางแจ้งด้วยซ้ำ ขณะที่ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ส่วนมากเสนอภาพทิวทัศน์และธรรมชาติ เดอกากลับเสนอภาพวิถีชีวิตชาวปารีสในหลากหลายสถานที่และบรรยากาศในแบบฉบับของตัวเอง
จิตรกรของนักเต้นลีลาพริ้วไหว
เดอกาเริ่มเขียนภาพนักบัลเลต์ในราวปี 1871 ด้วยฝีมือการเขียนลายเส้นที่ยอดเยี่ยมสุดยอดเขาจึงสามารถเขียนภาพนักบัลเลต์ที่มีท่วงท่าและลีลาในการแสดงอันงดงามอ่อนช้อยและมีการเคลื่อนไหวที่แผ่วพริ้วออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวา เดอกาเป็นเพื่อนและเข้ากันได้ดีกับ Jules Perrot อดีตนักเต้นและนักออกแบบท่าเต้นที่ผันตัวเองมาเป็นครูสอนบัลเลต์ในวัยเกษียณ เขาจึงนำภาพบรรยากาศของการฝึกซ้อมและการแสดงของบรรดาลูกศิษย์นักบัลเลต์ของอาจารย์ใหญ่ผู้นี้มาถ่ายทอดลงบนผืนผ้าใบในหลากหลายมุมมอง ทั้งการแสดงหน้าเวที การฝึกซ้อม ในห้องแต่งตัว หรือระหว่างพักรอ
เดอกานำภาพนักบัลเลต์เข้าร่วมแสดงในนิทรรศการของศิลปินกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสต์ครั้งแรกในปี 1874 และอีกหลายครั้งถัดมา ภาพเขียนนักบัลเลต์ในลีลาอันพริ้วไหวราวมีชีวิตนี้ไม่เพียงสร้างชื่อเสียงกับเขาอย่างมากเท่านั้น ยังเป็นภาพเขียนที่ขายดีทำเงินให้กับเขาจนสามารถฟื้นคืนจากสภาพแทบล้มละลายด้วยปัญหาหนี้สินของน้องชายมาได้ ผลงานชิ้นเยี่ยมในบรรดาภาพเหล่านี้ได้แก่ภาพ The Ballet Class, Ballet Rehearsal, The Dance Class และ The Star ผลงานของเขากว่าครึ่งหนึ่งของทั้งหมดเป็นภาพนักเต้น
นอกจากภาพนักเต้นแล้วเดอกายังชอบเขียนภาพบรรยากาศในคาเฟ่อีกด้วย เขามีผลงานชั้นยอดที่มีทั้งภาพนักร้องในคาเฟ่และผู้ที่มาดื่มกินจำนวนมาก ภาพผู้ชายและผู้หญิงที่นั่งกันอยู่อย่างอ้างว้างและเซื่องซึมในภาพ In a Café (The Absinthe Drinker) กลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เดอกามีผลงานการเขียนภาพเหมือนบุคคลที่ยอดเยี่ยมมาตั้งแต่สมัยเริ่มต้นและยังคงเขียนภาพบุคคลอย่างต่อเนื่องโดยตลอด ผลงานที่โดดเด่นในแนวนี้นอกจากภาพ Portrait of the Bellelli Family ที่เป็นผลงานในยุคแรกยังมีภาพ Achille De Gas in the Uniform of a Cadet, A Woman Seated beside a Vase of Flowers รวมทั้งภาพเหมือนตัวเขาเองด้วย
อีกอย่างที่เดอกาชื่นชอบคือการเขียนภาพนู้ดผู้หญิงซึ่งส่วนใหญ่เป็นภาพผู้หญิงอาบน้ำ เช็ดตัว เช็ดผม หวีผม ฯลฯ ขณะอยู่ในห้องน้ำ โดยเดอกานำเทคนิคการใช้สีพาสเทลมาใช้สร้างร่างกายและผิวพรรณอันงดงามของผู้หญิงได้อย่างยอดเยี่ยมและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว นอกจากนี้เขายังมีผลงานประติมากรรมอีกด้วย แม้จะมีจำนวนไม่มากแต่รูปปั้น Little Dancer Aged Fourteen ได้รับการชื่นชมอยู่ไม่น้อย
เพื่อนรักคู่หูหรือศิลปินหญิงคู่ใจ?
เดอกาคบหาเป็นเพื่อนและทำงานร่วมกันอย่างยาวนานกับ Mary Cassatt จิตรกรหญิงชาวอเมริกันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เดอกาและ Cassatt มีอะไรที่เหมือนๆกันหลายอย่าง เรียนศิลปะจากอิตาลีเหมือนกัน ยังมีรสนิยมในศิลปะและวรรณกรรมเหมือนกันอีก ทั้งคู่มีสตูดิโอเขียนภาพอยู่ใกล้ๆกันใช้เวลาเดินไม่ถึง 5 นาที เดอกาจะไปขลุกอยู่ที่สตูดิโอของ Cassatt เป็นประจำ ช่วยแนะนำหลายอย่าง เช่น เทคนิคการใช้สีพาสเทลและการทำภาพพิมพ์ รวมทั้งช่วยหานางแบบให้ ส่วน Cassatt ก็สามารถช่วยโปรโมทชื่อเสียงและขายภาพของเดอกาทางฝั่งสหรัฐอเมริกาได้เป็นอย่างดี
ทั้งเดอกา และ Cassatt ไม่เคยแต่งงาน ทั้งสองคนไปมาหาสู่และทำงานร่วมกันแบบใกล้ชิดอย่างยาวนานทำให้หลายคนสงสัยในความสัมพันธ์ที่แท้จริง ตอนแรกคนเข้าใจว่า Cassatt เป็นลูกศิษย์ของเดอกาแต่ที่จริงไม่ใช่ ทั้งคู่ให้ความเคารพซึ่งกันและกันในฐานะจิตรกร หลายคนสงสัยว่าสองคนนี้อาจเป็นชู้รักกัน แม้ไม่อาจพิสูจน์ได้ว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งถึงระดับนั้นหรือไม่ แต่มีหลักฐานบางอย่างบ่งชี้ว่าไม่น่าเป็นไปได้ เดอกาเขียนภาพเหมือนของ Cassatt ไว้หลายภาพ สำหรับภาพชื่อ Mary Cassatt Seated, Holding Cards ซึ่งภายหลังเธอไม่ชอบเอามากๆขนาดบอกดีลเลอร์ว่าอย่าให้ใครรู้ว่าเธอนั่งเป็นนางแบบให้ แม้ตอนหลังทั้งคู่จะมีความขัดแย้งทางความคิดในบางประเด็นแต่ก็ยังไปเยี่ยมเยียนกันมิได้ขาดไปตลอดชีวิต
ศิลปินหัวรั้นผู้เชื่อมั่นในความคิดตัวเอง
เดอกาเป็นคนที่ชัดเจนในมุมมองของตัวเองและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา หัวรั้นและเชื่อในความคิดตัวเองไม่เคยยอมใคร เขาเป็นคนเริ่มสร้างความร้าวฉานจนนำไปสู่การล่มสลายของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ ปี 1880 เดอกายืนยันที่จะเชิญ Jean-François Raffaëlli, Ludovic Lepic และคนอื่นๆซึ่งเป็นศิลปินสัจนิยมซึ่งไม่ได้นำเสนอแนวทางแบบอิมเพรสชั่นนิสม์เข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการของกลุ่มโดยไม่ยอมฟังคำทัดทานของ Monet จน Monet ต้องถอนตัวออกไปไม่ร่วมแสดงผลงานในปีนั้น และในที่สุดศิลปินกลุ่มนี้มีอันต้องสลายตัวกันไปหลังจากจัดนิทรรศการครั้งสุดท้ายในปี 1886
เมื่อเกิดเหตุการณ์ Dreyfus Affair ซึ่งเป็นวิกฤตการณ์ทางการเมืองและสังคมในฝรั่งเศสที่เริ่มจากการที่นายทหารเชื้อสายยิว Alfred Dreyfus ถูกลงโทษแบบมีเงื่อนงำอันนำไปสู่ความแตกแยกทางสังคม เดอกาต่อต้านยิวอย่างรุนแรง การโต้เถียงกันในเรื่อง Dreyfus Affair ทำให้เขาตัดขาดความสัมพันธ์กับเพื่อนทุกคนที่เป็นชาวยิว รวมถึงเพื่อนที่คิดไม่เหมือนกับเขา เพื่อนศิลปินหนีหน้าเขาไปทีละคนสองคนจนหมด ประกอบกับที่เขามีความเชื่อว่าศิลปินจะต้องอยู่ตัวคนเดียวและไม่ให้ใครรู้เรื่องส่วนตัว ยิ่งนานวันเขาก็ยิ่งไม่มีใครคบหากลายเป็นศิลปินผู้โดดเดี่ยว เดอกาใช้เวลาหลายปีในช่วงสุดท้ายของชีวิตในสภาพตาเกือบจะบอดเดินเร่ร่อนไปตามถนนต่างๆในกรุงปารีส เขาเสียชีวิตในปี 1917 มีอายุ 83 ปี
ผลงานยิ่งใหญ่ของศิลปินผู้โดดเดี่ยว
ถึงเป็นคนหัวรั้นจนต้องกลายเป็นศิลปินโดดเดี่ยวในช่วงบั้นปลายชีวิต แต่ผลงานของเดอกานั้นโดดเด่นมาก เขาใช้ความประณีตงดงามแบบคลาสสิกผสมผสานกับอารมณ์โรแมนติกสร้างสรรค์เป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมในหลากแนวหลายแขนง แม้ช่วงหลังเขาค่อนข้างประสบปัญหาด้านสายตาและหันไปสนใจในงานด้านอื่นอย่างเช่นการถ่ายภาพ แต่ด้วยพรสวรรค์และฝีมือที่เป็นเลิศบวกกับระยะเวลาในการสร้างผลงานอันยาวนานหลายสิบปีเดอกาจึงมีผลงานชั้นยอดจำนวนมาก โดยเฉพาะที่โดดเด่นที่สุดคือผลงานภาพเขียน และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานที่ยอดเยี่ยมของเขา
Dancers Paintings
Genres Paintings
Portraits and Self Portraits
Nude Paintings
Horses Paintings
Other Paintings & Sculptures
เดอกาได้รับการยกย่องเป็นศิลปินผู้โดดเด่นในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรคลาสสิกแต่วาดภาพสมัยใหม่ เดอกาเป็นศิลปินที่ผลงานหลากหลายทั้งการเขียนภาพลายเส้น ภาพสีน้ำมัน ภาพสีพาสเทล ภาพพิมพ์ ไปจนถึงงานประติมากรรม เดอกาไม่เคยแต่งงานเขาทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด ผู้คนทั่วโลกต่างยกย่องชื่นชมและลุ่มหลงในผลงานอันยอดเยี่ยมของศิลปินหัวรั้นผู้โดดเดี่ยวคนนี้ตลอดมาไม่เคยเสื่อมคลาย
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, edgar-degas.net, britannica