“นี่เป็นตัวอย่างแรกที่ชั้นบรรยากาศหลุดออกไปดาวเคราะห์แล้วมีผลต่อพื้นผิวของดวงจันทร์ของมัน” Grundy กล่าว “มันเหมือนกับว่าดาวพลูโตเป็นศิลปินผู้สเปรย์สีลงบนผิวของแครอนด้วยบรรยากาศที่กำลังหนีหลุดออกไปจากมัน ทำให้เกิดจุดสีแดงขนาดใหญ่ สิ่งนี้อาจจะเป็นเรื่องปกติสำหรับดาวเคราะห์คู่ เพียงแต่เราไม่เคยพบเห็นมาก่อน”
ดาวพลูโตมีขนาดค่อนข้างเล็กมีแรงโน้มถ่วงไม่มากจึงไม่สามารถรักษาชั้นบรรยากาศซึ่งมีก๊าซมีเทนเป็นส่วนประกอบไว้ได้ทั้งหมด มีบางส่วนสามารถหลุดออกไปได้ในทุกทิศทาง ขณะที่แครอนมีแรงโน้มถ่วงมากพอที่จะจับบรรยากาศที่หลุดออกมาไว้ได้
ฤดูหนาวบนแครอนเย็นจัด ที่ขั้วดาวมีอุณหภูมิสูงกว่าศูนย์องศาสมบูรณ์ (-273.15 องศาเซลเซียส) เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และฤดูหนาวก็ยาวนานมาก กว่า 100 ปีบนโลก ดังนั้นบรรยากาศที่จับมาได้จึงสามารถแข็งตัวติดอยู่กับผิวดาว แต่แครอนเองก็เล็กเกินไปที่จะรักษาบรรยากาศที่เป็นก๊าซไว้ได้นาน เมื่อหมดฤดูหนาวบรรยากาศก็จะระเหยออกไปจากดาว
“พื้นผิวของแครอนส่วนใหญ่จะร้อนเกินกว่าที่มีเทนจะติดแน่นอยู่ได้ แต่ฤดูหนาวที่ขั้วดาวเย็นมากพอที่ทำให้มีเทนติดอยู่ที่ผิวดาวได้ มีเทนจะสะสมอยู่ที่นั่น จนกว่าจะหมดฤดูหนาว” Grundy กล่าว
ระหว่างฤดูหนาวที่ยาวนานรังสีจากดวงอาทิตย์และกาแล็กซี่ต่างๆ ค่อยๆเปลี่ยนมีเทนที่สะสมอยู่ที่ขั้วดาวให้กลายเป็น tholin จึงทำให้เกิดจุดสีแดงที่ขั้วดาว Grundy คาดว่ามี tholin ที่ขั้วเหนือของแครอนหนาราว 30 เซ็นติเมตร หลังจากการสะสมมานานนับพันล้านปี
สำหรับขั้วใต้ของแครอนในช่วงที่ยานนิวฮอไรซันส์บินผ่านอยู่ในด้านมืดจึงไม่สามารถเห็นได้ แต่นักวิจัยคาดว่าน่าจะมีลักษณะแบบเดียวกับขั้วเหนือ
ข้อมูลและภาพจาก iflscience, redorbit