จิตรกรหนุ่มรักอิสระไม่ยึดติดกับขนบเดิม
กุสตาฟว์ กูร์แบ เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อปี 1819 ที่เมือง Ornans ทางด้านตะวันออกของประเทศฝรั่งเศส เขาเป็นพี่ชายคนโตของน้องสาว 3 คนในครอบครัวซึ่งมีธุรกิจเกษตรกรรมที่รุ่งเรืองฐานะดี กูร์แบชอบเขียนภาพตั้งแต่เด็ก น้องสาวทั้งสามเป็นนางแบบรุ่นแรกของเขา ช่วงวัยรุ่นเขาได้เรียนศิลปะและการเขียนภาพแบบนีโอคลาสสิกที่โรงเรียนศิลปะในเมือง Besançon ที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองบ้านเกิด ปี 1839 กูร์แบเดินทางไปกรุงปารีสด้วยความมุ่งหมายแรกเพื่อเรียนด้านกฎหมายตามความประสงค์ของพ่อ แต่เอาเข้าจริงเรียนได้ไม่นานก็ออกไปทำงานในสตูโอเขียนภาพเพราะใจมันรักทางด้านนี้ อยู่ที่สตูดิโอได้ไม่เท่าไรเขาก็พบว่านั่นไม่ใช่ทางของเขาผู้ซึ่งมีจิตวิญญาณเป็นอิสระไม่ยึดติดกับขนบเดิมและไม่ต้องการเดินตามรอยใครจึงออกจากงานที่สตูดิโอไปหาทางพัฒนาสไตล์ของตัวเอง
ด้วยครอบครัวมีฐานะมั่งคั่งกูร์แบจึงไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินสามารถทุ่มเทให้กับการศึกษาศิลปะด้วยตัวเองอย่างเต็มที่ เขาเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพคัดลอกผลงานของศิลปินชั้นครูในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ทั้งศิลปินชาวอิตาลี สเปน เฟลมิช และชาวฝรั่งเศส อย่างเช่น Titian, Caravaggio และ Diego Velazquez เป็นต้น สำหรับศิลปินชาวฝรั่งเศสเขาชื่นชอบ Eugène Delacroix เป็นพิเศษ ผลงานแรกๆเขาได้แรงบันดาลใจจากบทประพันธ์ของนักเขียนชื่อดังอย่าง Victor Hugo แต่ไม่นานเขาก็หันไปเขียนเฉพาะภาพที่เขามองเห็นจริงเท่านั้น เขาไม่สนใจเขียนภาพจากตำนานแบบนีโอคลาสสิกและปฏิเสธการเขียนภาพจากจินตนาการแบบโรแมนติก ผลงานในช่วงนี้ส่วนใหญ่เป็นภาพเหมือนโดยเฉพาะภาพเหมือนตัวเองในหลากหลายอิริยาบถซึ่งหลายภาพเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมอย่างเช่นภาพ The Desperate Man และ The Wounded Man รวมทั้งภาพ Self-Portrait with a Black Dog ซึ่งได้รับการคัดเลือกให้จัดแสดงในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon ประจำปี 1844
ยืนหยัดมุ่งมั่นพัฒนาศิลปะใหม่ที่ใจชอบ
กูร์แบเสนอผลงานของเขาต่อคณะกรรมการพิจารณาภาพเขียนของ Paris Salon เป็นประจำ แต่ถูกปฏิเสธเกือบทั้งหมดเป็นเวลาต่อเนื่องหลายปีเนื่องจากผลงานของเขามีสไตล์ที่แปลกใหม่แหวกแนวจากความนิยมในยุคนั้น แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดมุ่งมั่นสร้างผลงานตามแนวทางของเขาต่อไป ปี 1846 – 1847 กูร์แบในวัยเพิ่งเลยเบญจเพสไม่นานได้เดินทางไปท่องเที่ยวที่เบลเยียมและเนเธอร์แลนด์ได้ชมผลงานของศิลปินชาวดัตช์หลายคนรวมทั้ง Johannes Vermeer, Rembrandt, Frans Hals และศิลปินท่านอื่นที่เสนอเรื่องราวในชีวิตประจำวันของผู้คนทำให้เขายิ่งมั่นใจว่าศิลปินควรเขียนภาพเหตุการณ์ในชีวิตจริงที่เกิดขึ้นรอบตัว
กลับมาจากท่องเที่ยวคราวนั้นไอเดีียในการเขียนภาพในสไตล์ใหม่ที่ใจชอบก่อเกิดขึ้นมากมาย และพอกูร์แบกลับไปเยี่ยมบ้านที่เมือง Ornans เพื่อหาแรงบันดาลใจในการเขียนภาพที่เขามักทำเป็นประจำอยู่แล้วผลงานชิ้นสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตของเขาก็บังเกิดขึ้น ปลายปี 1848 กูร์แบเขียนภาพ After Dinner at Ornans ถ่ายทอดบรรยากาศหลังอาหารเย็นของผู้ชายหลายคนที่นั่งล้อมโต๊ะอาหารในชนบท แต่ละคนจมอยู่ในภวังค์ของตัวเองขณะที่ดื่มด่ำกับเสียงดนตรี ภาพนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลเหรียญทองในนิทรรศการ Paris Salon ปี 1849 ซึ่งทำให้เขาสามารถส่งผลงานแสดงใน Salon ได้โดยไม่ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการจนถึงปี 1857 และผลงานชิ้นนี้ก็ถูกซื้อไปโดยรัฐบาลกลายเป็นสมบัติของชาติ
ผลงานชิ้นเอกที่เปลี่ยนความคิดของผู้คน
ปี 1849 กูร์แบได้สร้างผลงานชิ้นเอกที่แสดงชีวิตจริงของชนชั้นผู้ใช้แรงงานได้อย่างโดดเด่นด้วยสไตล์ที่เขาพัฒนาขึ้นเองนั่นคือภาพ The Stone Breakers ในภาพเป็นชายสองคนในชุดเก่าขาดชำรุดกำลังทุบก้อนหินอยู่ข้างถนน คนหนึ่งดูแก่เกินไปส่วนอีกคนก็ดูยังเด็กเกินไปสำหรับงานหนักแบบนี้ ภาพได้แสดงชีวิตจริงของคนจนที่จำต้องดำเนินชีวิตด้วยความยากลำบาก กูร์แบเขียนภาพนี้จากสิ่งที่ได้พบเจอจริงๆบนเส้นทางแถวเมือง Ornans ด้วยการเลือกใช้สีที่เหมาะเจาะพร้อมเทคนิคการลงเส้นและฝีแปรงที่หยาบหนาไม่เรียบเนียนตามสไตล์นีโอคลาสสิกทำให้ภาพนี้สวยงามสมจริงจนได้รับการยกย่องอย่างมากและมีส่วนทำให้ความเคลื่อนไหวของศิลปะสัจนิยม (Realism) โดดเด่นขึ้นมาในวงการศิลปะ
ถัดมาอีกปีเดียวกูร์แบก็สร้างผลงานชิ้นเอกที่ต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือภาพ A Burial At Ornans ภาพสีน้ำมันขนาดใหญ่มากกว้าง 6.60 เมตร สูง 3.15 เมตรเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์งานฝังศพลุงของกูร์แบที่เมือง Ornans ซึ่งเขาได้ไปร่วมงานด้วย นายแบบนางแบบของภาพคือชาวเมือง Ornans ทั้งหมดที่มาร่วมงานในวันนั้น แม้จะเป็นภาพงานฝังศพธรรมดาๆของชาวบ้านในชนบทแต่มันคือหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญของศิลปะฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ด้วยในอดีตที่ผ่านมาภาพเขียนขนาดใหญ่ถูกสงวนไว้สำหรับชนชั้นสูงหรือฉากประวัติศาสตร์ทางศาสนาเท่านั้นมิเคยมีภาพเขียนขนาดใหญ่ของสามัญชนคนธรรมดามาก่อน เมื่อภาพนี้ถูกเสนอต่อสาธารณะใน Paris Salon ปี 1850 ก็ได้รับทั้งคำชมมากมายและการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือด แต่ในที่สุดผู้คนก็หันมาสนใจในแนวทางสัจนิยมมากขึ้นขณะที่แนวจินตนาการเพ้อฝันก็เสื่อมโทรมลงไป และกูร์แบก็ได้กลายเป็นศิลปินชั้นนำแห่งยุคไปแล้ว
กูร์แบยังคงตอกย้ำความสำเร็จในการเขียนภาพแนวสัจนิยมของเขาตลอดช่วงทศวรรษนี้ ผลงานภาพ The Meeting ในปี 1854 ถือเป็นอีกหนึ่งผลงานชิ้นเอกของเขาที่เป็นเสมือนสัญลักษณ์ของศิลปะสัจนิยม ถัดมาอีกปีเดียวกูร์แบก็สร้างความตื่นตะลึงแก่วงการอีกครั้งด้วยภาพ The Painter’s Studio ที่แสดงบรรยากาศในสตูดิโอเขียนภาพของเขาเอง ตรงกลางภาพเป็นตัวกูร์แบกำลังเขียนภาพทิวทัศน์โดยมีนางแบบเปลือยยืนชื่นชมผลงานอยู่ข้างๆ ฝั่งซ้ายขวาของภาพรายล้อมด้วยบรรดาเพื่อนฝูงและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเขาอีกจำนวนมาก ภาพนี้ได้รับการยกย่องจากศิลปินชื่อดังแห่งยุคหลายคนรวมทั้ง Eugène Delacroix ว่านี่คือผลงานชิ้นเอก และช่วงทศวรรษนี้ยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมของกูร์แบอีกจำนวนมาก เช่น ภาพ The Wheat Sifters, The Village Maidens และ The Sleeping Spinner เป็นต้น
เมื่อเปลี่ยนแนวภาพความอื้อฉาวก็ตามมา
ผลงานของกูร์แบในรอบเกือบทศวรรษที่ผ่านมาส่วนใหญ่เป็นฉากในชนบทแทบทั้งสิ้น แต่ในปี 1857 เขาได้เขียนภาพ Young Ladies by the River Seine สะท้อนชีวิตประจำวันอีกมุมหนึ่งชาวกรุงปารีสแต่แฝงความเซ็กซี่เย้ายวนของหญิงสาวในชุดชั้นในสีขาวซึ่งก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อยู่ไม่น้อย จากนั้นดูเหมือนกูร์แบจะเขียนภาพนู้ดผู้หญิงที่เพิ่มความโป๊เปลือยหวาดเสียวมากขึ้นเป็นลำดับจากภาพ Nude Woman with a Dog ในปี 1862 ถึงภาพ Woman with White Stockings ในอีกสองปีต่อมา และมาพีคสุดขีดในปี 1866 ที่เขามีผลงานภาพนู้ดผู้หญิงออกมาจำนวนมากที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่ภาพ Woman with a Parrot ภาพผู้หญิงนอนเปลือยกายสยายผมที่งดงามยิ่งจนได้รับเลือกให้จัดแสดงใน Salon และ The Sleepers ภาพเลสเบียนสาวสองคนนอนกอดก่ายบนเตียงที่ถูกห้ามแสดงในที่สาธารณะ รวมทั้งผลงานเด็ดอีกภาพหนึ่งที่สร้างความตื่นตะลึงอื้อฉาวไปทั้งวงการ
ภาพนั้นคือ The Origin of the World อันถือเป็นที่สุดของภาพเขียนนู้ดผู้หญิงที่ไม่ต้องการคำบรรยายใดเพิ่มเติม ผู้คนในยุคนั้นที่ได้เห็นภาพนี้เป็นครั้งแรกต่างช็อคอึ้งไปตามกัน ตามมาด้วยเสียงวิจารณ์ที่เผ็ดร้อนรุนแรงเพราะมันขัดต่อจารีตประเพณีของสังคมยุคนั้นอย่างมาก และภาพนี้ถูกสั่งห้ามจัดแสดงต่อสาธารณะอย่างเด็ดขาดนานกว่า 100 ปี แต่มีหรือที่ศิลปินใจทะนงอย่างกูร์แบจะแยแสในคำวิจารณ์ เขายืนยันว่าเขาไม่เคยโกหกภาพเขียนของเขามีแต่ของจริง หลังจากภาพนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางมาตรฐานทางศีลธรรมและข้อห้ามเกี่ยวกับการแสดงภาพเปลือยทางศิลปะก็เริ่มเปลี่ยนไป ความสนใจอีกอย่างในภาพนี้คือนางแบบคนไหนกันแน่ที่นอนโพสท่าเย้ายวนให้กูร์แบบเขียนภาพ ส่วนใหญ่เชื่อว่าน่าจะเป็น Joanna Hiffernan ชู้รักคนหนึ่งของเขาผู้เป็นแบบให้กูร์แบหลายภาพรวมทั้งภาพ Jo, the Beautiful Irish Girl แต่เนื่องจากผมของ Hiffernan มีสีแดงเพลิงไม่เหมือนกับสีเข้มในภาพนั้น หลายคนจึงคิดว่าน่าเป็นนางแบบอีกคนที่เป็นแบบร่วมกับ Hiffernan ในภาพ The Sleepers มากกว่า
ผ่านพ้นเรื่องผู้คนมุ่งถ่ายทอดภาพทิวทัศน์
กูร์แบมิเพียงเปลี่ยนแนวการเขียนภาพจากเรื่องราววิถีชีวิตประจำวันของผู้คนซึ่งได้สร้างความสำเร็จสูงสุดให้กับเขาไปเขียนภาพนู้ดผู้หญิงเท่านั้น ผลงานส่วนใหญ่ของเขาในช่วงทศวรรษต่อมากลับเป็นภาพวิวทิวทัศน์และชีวิตในธรรมชาติ โดยแรกๆเขามักเขียนภาพเกี่ยวกับชีวิตสัตว์ป่าและการล่าสัตว์ มีผลงานที่น่าสนใจเช่นภาพ Fox In The Snow และ Killing a Deer เป็นต้น ต่อมาก็เขียนภาพทิวทัศน์ ต้นไม้ ป่าไม้ ภูเขา หน้าผา และภูมิประเทศลักษณะต่างๆมากมาย แต่ภาพทิวทัศน์ที่เขาเขียนมากที่สุดและผลงานโดดเด่นที่สุดเห็นจะได้แก่ภาพคลื่นในทะเล ดูเหมือนกูร์แบจะหลงใหลการเขียนภาพคลื่นในทะเลเอามากๆเพราะผลงานของเขาที่ชื่อ The Wave และ Stormy Sea มีอยู่หลายเวอร์ชั่นมาก หลังจากผ่านอายุ 50 ปีไปแล้วกูร์แบก็แทบไม่ได้เขียนภาพที่เป็นเรื่องราวของผู้คนอีกเลย กระทั่งภาพเหมือนก็แทบไม่ปรากฏคงมีแต่ภาพทิวทัศน์และภาพหุ่นนิ่ง (Still Life) เท่านั้น
ร่วมขบวนปฏิวัติต่อต้านรัฐบาลเผด็จการ
สงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียในช่วงปี 1870 – 1871 ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ต่อเยอรมันและนำไปสู่การล่มสลายของจักรวรรดิฝรั่งเศสที่สองซึ่งปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียนที่ 3 ผู้เป็นพระราชนัดดาในจักรพรรดินโปเลียนที่ 1 ในระหว่างสงครามกูร์แบผู้ซึ่งรักในเสรีภาพได้เข้าร่วมกับฝ่ายสังคมนิยมหัวรุนแรง Paris Commune ที่ส่วนใหญ่มาจากชนชั้นแรงงานในการมีบทบาททางการเมืองและต่อต้านรัฐบาลฝรั่งเศส เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกระดับปานกลางของคอมมูนและเป็นศิลปินที่มีบทบาทมากที่สุดในคอนมูน กูร์แบเป็นต้นคิดเรียกร้องให้มีการทำลาย Vendôme Column อนุสรณ์แห่งชัยชนะในสงครามที่จักรพรรดินโปเลียนที่ 1 เป็นผู้สร้างไว้ และเมื่อฝ่าย Paris Commune ได้เป็นผู้ปกครองปารีส Vendôme Column ก็ถูกทำลายไปตามข้อเสนอของเขา
ฝ่าย Paris Commune ปกครองปารีสอยู่ได้ไม่นานก็ถูกกองทัพฝ่ายรัฐบาลปราบปรามสำเร็จ กูร์แบถูกจับกุมและถูกตัดสินลงโทษจำคุกเป็นเวลา 6 เดือน เขาพ้นโทษออกมาในปี 1872 แต่ปัญหาจากการเข้าร่วม Paris Commune ก็ยังตามหลอกหลอนเขาอย่างหนักเมื่อฝ่ายรัฐบาลจองเวรเอาคืนเขาอย่างเจ็บแสบ รัฐบาลฝรั่งเศสได้สร้าง Vendôme Column ขึ้นใหม่และให้กูร์แบเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดในฐานะต้นคิดการทำลายเป็นเงิน 323,091 ฟรังก์โดยให้เขาจ่ายปีละ 10,000 ฟรังก์เป็นเวลา 33 ปี กูร์แบจึงหนีไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ในปี 1877 และเสียชีวิตที่นั่นในปีเดียวกันด้วยวัยเพียง 58 ปีก่อนถึงกำหนดจ่ายค่าก่อสร้าง Vendôme Column งวดแรกเพียงวันเดียว
ผลงานอันยิ่งใหญ่ของศิลปินผู้รักเสรีภาพ
กูร์แบเป็นอัจริยะศิลปินที่สามารถสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยมิได้มีครูที่เป็นศิลปินใหญ่เลื่องชื่อสอนให้เลย เขาศึกษาและพัฒนาสไตล์ของตัวเองจนกลายเป็นศิลปะใหม่แบบสัจนิยม ผลงานของเขามีหลากหลายแนวตามความคิดความชอบในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตแต่ทั้งหมดล้วนเป็นผลงานชั้นยอดทั้งสิ้น และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันยิ่งใหญ่ของศิลปินผู้รักเสรีภาพท่านนี้
Early Works (1841 – 1848)
Mature Period (1848 – 1855)
Flourish Period (1855 – 1868)
Later Years (1868 – 1877)
กุสตาฟว์ กูร์แบเป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งที่มีผลงานยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพัฒนาสไตล์เป็นศิลปะสัจนิยมอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นถือว่าโดดเด่นมาก อีกทั้งผลงานและสไตล์การเขียนภาพของกูร์แบยังได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังในการพัฒนาสู่ศิลปะสมัยใหม่โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับลัทธิประทับใจและลัทธิคิวบิสม์ ศิลปินที่มีกูร์แบเป็นต้นแบบมีมากมายรวมทั้งศิลปินดังยุคหลังอย่าง Édouard Manet และ Paul Cézanne แต่ด้วยเป็นความเป็นผู้รักเสรีภาพจึงเข้าร่วมในขบวนการทางการเมืองจนสุดท้ายต้องไปเสียชีวิตที่ต่างแดนก่อนวัยอันควร กูร์แบได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในศิลปินผู้โดดเด่นที่สุดในช่วงกลางศตวรรษที่ 19
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, gustavecourbet.org, britannica