ฉายแววโดดเด่นตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น
ฟรานเชสโก เฮซ์ เป็นชาวอิตาลี เกิดเมื่อปี 1791 ที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี พ่อเป็นชาวฝรั่งเศสส่วนแม่เป็นชาวเมืองเวนิสฐานะของครอบครัวค่อนข้างยากจน เฮซ์มีพี่น้องห้าคนเขาเป็นคนสุดท้องถูกส่งไปอยู่กับพี่สาวของแม่ที่แต่งงานกับพ่อค้างานศิลปะฐานะดี เขาจึงได้คลุกคลีซึมซับและชื่นชอบงานศิลปะมาตั้งแต่เด็ก เฮซ์ชอบวาดรูปคัดลอกตามภาพเขียนของศิลปินดังที่ลุงเก็บสะสมเอาไว้ ลุงสังเกตเห็นพรสวรรค์ของเขาจึงให้การสนับสนุนและหวังจะให้เขาเป็นช่างบูรณะงานศิลปะในอนาคต เฮซ์ในวัยแค่ 7 ปีถูกส่งไปเรียนการเขียนภาพกับจิตรกรมีชื่อคนหนึ่งของเมืองเวนิสอยู่หลายปี จากนั้นในปี 1806 จึงไปเรียนต่อในสถาบันวิจิตรศิลป์ New Academy of Fine Arts ในเมืองเวนิส และเป็นที่นี่เองที่เขาได้ฉายแววความโดดเด่นออกมาอย่างชัดเจน
ปี 1809 เฮซ์เข้าแข่งขันชิงทุนการศึกษาของสถาบันศิลปะแห่งเวนิสและเขาชนะการแข่งขันได้ทุนไปเรียนที่สถาบันศิลปินอาชีพ Academy of Saint Luke ในกรุงโรม ฝีมือของเฮซ์ได้รับการชื่นชมจาก Antonio Canova ศิลปินใหญ่ชาวเมืองเวนิสเหมือนกันซึ่งในขณะนั้นได้รับการยอมรับว่าเป็นประติมากรอันดับหนึ่งในยุโรป Canova เชื่อว่าศิลปินหนุ่มน้อยคนนี้จะเป็นจิตรกรคนสำคัญแห่งเมืองเวนิสคนต่อไปและได้แนะนำเขาให้รู้จักกับศิลปะโบราณและภาพเขียนของ Raphael ซึ่งจะช่วยเปิดประตูสู่อนาคตที่ยิ่งใหญ่ให้กับเขา เฮซ์ได้ทุนเรียนที่กรุงโรมเป็นเวลา 1 ปีแต่เขาอยู่ต่อยาวจนถึงปี 1814 ระหว่างอยู่ที่กรุงโรมเขาได้สร้างผลงานสำคัญหลายชิ้นอย่างเช่นภาพ Laocoon ที่ชนะการแข่งขันเขียนภาพของสถาบัน Brera Academy ในเมืองมิลาน รวมทั้งภาพ Rinaldo and Armida และ Aristide เป็นต้น ออกจากกรุงโรมเฮซ์ไปทำงานเขียนภาพที่เมืองเนเปิลส์ระยะหนึ่งมีผลงานสำคัญได้แก่ภาพ Ulysses at the court of Alcinous และในปี 1822 เขาได้ย้ายไปทำงานที่เมืองมิลาน
ปักหลักสร้างชื่อเสียงอยู่ที่เมืองมิลาน
ช่วงเวลาที่เฮซ์เริ่มเป็นจิตรกรมืออาชีพนั้นศิลปะในสไตล์นีโอคลาสสิกยังคงได้รับความนิยมเป็นกระแสหลักของวงการอยู่ ผลงานในช่วงแรกของเฮซ์ก็เป็นสไตล์คลาสสิกและต่อมาเขาได้ปรับเปลี่ยนเป็นสไตล์โรแมนติกหรือศิลปะจินตนิยมที่เน้นไปที่การแสดงอารมณ์ความรู้สึกที่อ่อนไหวซึ่งเข้ามามีบทบาทแทนที่สไตล์นีโอคลาสสิกที่เริ่มจะโรยรา สำหรับเรื่องราวที่นำเสนอมักเป็นภาพประวัติศาสตร์และเรื่องในตำนานหรือพระคัมภีร์ ผลงานเด่นในช่วงแรกของการมาสร้างชื่อเสียงอยู่ที่เมืองมิลานได้แก่ภาพ Venus Playing with Two Doves, The Refugees of Parga, Bathsheba และ Mary Magdalene as a Hermit เป็นต้น
เฮซ์เป็นจิตรกรที่เขียนภาพบุคคลได้ยอดเยี่ยมมากดังนั้นภาพบุคคลจึงกลายเป็นงานหลักอีกอย่างหนึ่งของเขาและมีผลงานที่โดดเด่นมากมายรวมทั้งภาพ Malinconia, Levite Ephraim และ Portrait of Princess di Sant’ Antimo หลังจากที่เฮซ์ได้แสดงฝีมือการเขียนภาพที่ยอดเยี่ยมได้เพียงไม่นานเขาก็กลายเป็นจิตรกรชั้นนำแห่งเมืองมิลานและปักหลักอย่างมั่นคงอยู่ที่นี่ไปตลอดชีวิต นอกจากรับเขียนภาพแล้วเฮซ์ยังมีงานหลักเป็นครูสอนศิลปะที่สถาบัน Brera Academy อีกด้วย เขาเริ่มสอนที่นี่ตั้งแต่ปีแรกที่มาอยู่ที่มิลานและสอนต่อเนื่องไปจนมีอายุเกือบ 90 ปี ในปี 1850 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน ถือว่าเฮซ์ประสบความสำเร็จกับงานสอนศิลปะอย่างมาก แต่นั่นไม่ได้ทำให้ความกระตือรือร้นในการเขียนภาพของเขาลดทอนลงเลย
The Kiss จูบที่ดูดดื่มและเร่าร้อนที่สุด
เฮซ์เขียนภาพ The Kiss ผลงานชิ้นเอกที่โด่งดังที่สุดของเขาในปี 1859 ภาพแสดงหนุ่มสาวคู่หนึ่งกำลังกอดและจูบกันอยู่ในห้องๆหนึ่ง หญิงสาวเอนกายไปด้านหลังขณะที่ชายหนุ่มงอขาซ้ายเพื่อประคองตัวเธอพร้อมกันวางเท้าบนบันไดเหมือนจะสื่อว่าคู่รักหนุ่มสาวกำลังจูบลาครั้งสุดท้ายเนื่องจากฝ่ายชายกำลังจะไปปฏิบัติภารกิจสำคัญ ด้านซ้ายมือของภาพมีเงาคนซ่อนตรงมุมห้องเพิ่มความลึกลับและอันตราย เฮซ์เขียนภาพหนุ่มสาวและเครื่องแต่งกายของทั้งคู่ได้งดงามมาก ประกอบกับการให้สีพื้นและผนังห้องพร้อมกับการให้แสงเงาที่พอเหมาะช่วยขับเน้นภาพคู่รักตรงกลางให้โดดเด่นมากยิ่งขึ้น ภาพ The Kiss ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพการจูบที่เร่าร้อนและดูดดื่มลึกซึ้งที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก
แต่ภาพนี้มิได้แสดงแค่เพียงการจูบของคู่รักหนุ่มสาวธรรมดาแต่ได้ซ่อนความหมายถึงการรักชาติและการเมืองระหว่างชาติไว้ด้วย ขณะที่เฮซ์เขียนภาพนี้เป็นช่วงเวลาที่ประเทศอิตาลีกำลังพยายามต่อสู้เพื่อความเป็นอิสระจากการปกครองของจักรวรรดิออสเตรียโดยความช่วยเหลือของพันธมิตรสำคัญอย่างฝรั่งเศส ชายหนุ่มสื่อถึงชาวอิตาเลียนผู้รักชาติ ส่วนหญิงสาวสื่อถึงชาวฝรั่งเศสผู้เป็นพันธมิตร เสื้อผ้าของหนุ่มสาวประกอบด้วยสีแดง น้ำเงิน และขาวซึ่งเป็นสีของธงชาติฝรั่งเศส ดังนั้นภาพ The Kiss จึงไม่เพียงเป็นตัวแทนของศิลปะจินตนิยมในอิตาลีแต่ยังแสดงถึงจิตวิญญาณการรวมชาติของอิตาลีอีกด้วย และต่อมาในศตวรรษที่ 20 ภาพ The Kiss ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของความรักที่รุนแรงและความหลงใหลในวัยเยาว์ของชาวอิตาลี
ยอดจิตรกรจินตนิยมที่เก่งหลายสาขา
หลังจากที่ภาพ The Kiss ได้ผ่านสายตาของสาธารณชนชื่อเสียงของเฮซ์ก็พุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด เขากลายเป็นสุดยอดจิตรกรสไตล์จินตนิยมแห่งยุคของอิตาลี อีกทั้งเขายังเป็นจิตรกรที่เขียนภาพได้ดีในเกือบทุกแนวทั้งภาพประวัติศาสตร์ เรื่องจากตำนาน ภาพเกี่ยวกับศาสนา รวมถึงภาพบุคคล นอกจากนี้การเขียนภาพผู้หญิงในแนวโป๊แต่ไม่เปลือยเขาก็ทำได้ยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์มากชนิดหาคนเทียบได้ยาก ถือเป็นความโดดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่ถูกสอดแทรกอยู่ในผลงานของเขาตลอดมา อย่างเช่น ภาพ Ruth, Reclining Odalisque, Meditation on the History of Italy และ Odalisque เป็นต้น
เฮซ์เป็นคนอายุยืนและยังคงมีผลงานออกมาโดยตลอดแม้จะมีอายุมากแล้ว เขาเขียนภาพเหมือนตัวเองในวัยชราได้อย่างยอดเยี่ยมทั้งภาพ Self-Portrait (1861) และภาพ Self-Portrait at Age 88 เฮซ์เขียนภาพขนาดใหญ่ชิ้นสุดท้ายตอนอายุเกือบ 80 ปีคือภาพ The Destruction of the Temple of Jerusalem ส่วนผลงานชิ้นสุดท้ายในชีวิตเขียนตอนอายุ 90 ปีได้แก่ภาพ Flowers at the Window of the Harem เขาเสียชีวิตในปี 1882 มีอายุ 91 ปี
ผลงานเปี่ยมเสน่ห์ของศิลปินโรแมนติก
ตลอดระยะเวลาเกือบ 70 ปีของการทำงานเขียนภาพเฮซ์ได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมามากมายในหลากหลายแนว เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยสไตล์นีโอคลาสสิกแล้วพัฒนาปรับเปลี่ยนจนมาโด่งดังสุดขีดด้วยสไตล์โรแมนติกหรือจินตนิยมกลายเป็นศิลปินชั้นแนวหน้าของอิตาลี และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานเปี่ยมเสน่ห์ของศิลปินโรแมนติกคนนี้
Early Works (1807 – 1822)
Established Period (1822 – 1845)
Flourish Period (1845 – 1860)
Later Years (1860 – 1878)
ในยุคนีโอคลาสสิกความโดดเด่นของศิลปินชาวอิตาลีลดทอนลงไปมากไม่เหมือนยุคก่อนหน้าที่เคยครองความยิ่งใหญ่มานานหลายร้อยปี แต่ผลงานของฟรานเชสโก เฮซ์กลับมีความโดดเด่นไม่น้อยหน้าศิลปินชาติอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผลงานภาพ The Kiss ที่เปรียบเสมือนตัวแทนของศิลปะจินตนิยมในอิตาลี เฮซ์จึงไม่เพียงเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดอีกคนหนึ่งในยุคของเขา แต่ยังเป็นฮีโรของศิลปินอิตาลีที่ช่วยธำรงศิลปะอิตาลีให้อยู่ในระดับแนวหน้าของยุโรปต่อไป
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, mutualart, peoplepill