จิตรกรสาวน้อยผู้มีความคิดอิสระ
จอร์เจีย โอคีฟ เป็นชาวอเมริกัน เกิดเมื่อปี 1887 ที่เมือง Sun Prairie ในวิสคอนซิน ประเทศสหรัฐอเมริกา โอคีฟใฝ่ฝันเป็นจิตรกรอาชีพและเรียนศิลปะมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก หลังเรียนจบชั้นมัธยมในปี 1905 โอคีฟยิ่งตั้งใจแน่วแน่ที่จะก้าวไปสู่การเป็นศิลปินอาชีพเธอจึงเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะ Art Institute of Chicago และกลายเป็นดาวเด่นของชั้นเรียน แต่โชคไม่ดีเธอเป็นไข้ไทฟอยด์ต้องหยุดเรียนไปปีหนึ่ง หลังจากหายดีแล้วในปี 1907 เธอไปเข้าเรียนที่สถาบัน Art Students League ในกรุงนิวยอร์ก ปีต่อมาเธอก็เริ่มฉายแววโดดเด่นเมื่อชนะจากการแข่งขันเขียนภาพหุ่นนิ่ง (Still life) ด้วยภาพ Dead Rabbit with Copper Pot ได้รับรางวัลเป็นทุนการศึกษาไปเรียนศิลปะภาคฤดูร้อนกลางแจ้งที่เมือง Lake George ซึ่งเป็นสถานที่แห่งความทรงจำของเธอมากมายในอนาคต
การเรียนในสถาบันศิลปะที่ผ่านมาทั้งสองแห่งล้วนเป็นการเรียนรู้เทคนิคการเขียนภาพแบบดั้งเดิม แต่โอคีฟเป็นพวกหัวก้าวหน้ามีความคิดอิสระและไม่สนใจที่จะเป็นศิลปินในแนวทางแบบเก่า เธอเริ่มลังเลกับเส้นทางชีวิตของตัวเองประกอบกับในปี 1908 ครอบครัวประสบปัญหาด้านการเงินจนเธอต้องหยุดเรียนอีกครั้ง โอคีฟย้ายตามครอบครัวไปอยู่ที่รัฐเวอร์จิเนียและทำงานสอนศิลปะอยู่ที่นั่นว่างเว้นการเขียนภาพอยู่หลายปี จนถึงปี 1912 เธอกลับมาเรียนศิลปะภาคฤดูร้อนที่มหาวิทยาลัยเวอร์จิเนีย และเป็นที่นี่เองที่เธอได้เรียนรู้แนวคิดแปลกใหม่ในการสร้างงานศิลปะของจิตรกรชาวอเมริกัน Arthur Wesley Dow ซึ่งได้รับอิทธิพลจากหลักการออกแบบและจัดองค์ประกอบศิลป์ของญี่ปุ่น แนวคิดและวิธีการของเขามีอิทธิพลต่อเธออย่างมาก ช่วยปลุกให้ไฟความคิดเป็นจิตรกรอาชีพของเธอกลับมาลุกโชนอีกครั้ง โอคีฟเริ่มทดลองเขียนภาพตามแนวคิดของ Dow และพัฒนาเรื่อยมาจนกลายเป็นสไตล์ของตัวเอง
รักโรแมนติกของสองศิลปินต่างวัย
ปี 1915 โอคีฟไปสอนศิลปะที่สถาบัน Columbia College ในรัฐเซาท์แคโรไลนา ระหว่างนั้นเธอได้เขียนภาพลายเส้นด้วยถ่านชาร์โคลชุดหนึ่ง เป็นภาพนามธรรม (Abstract) ในสไตล์ที่เธอได้พัฒนาขึ้นใหม่ อย่างเช่นภาพ Drawing XII และ Drawing XIII เธอส่งภาพชุดนี้ไปให้เพื่อนคนหนึ่งที่กรุงนิวยอร์ก เพื่อนของเธอนำภาพเหล่านั้นไปให้ Alfred Stieglitz ช่างภาพและเจ้าของแกลเลอรี่ 291 ในกรุงนิวยอร์กดู ปรากฏว่าเขาชื่นชอบผลงานชุดนี้มากและจัดการแสดงภาพวาดลายเส้น 10 ภาพของโอคีฟที่แกลเลอรี่ของเขาในอีกสามเดือนต่อมา ปีถัดมา Stieglitz จัดแสดงผลงานเดี่ยวครั้งแรกของโอคีฟ ปี 1918 เขาชวนเธอไปทำงานเขียนภาพที่กรุงนิวยอร์กภายใต้การสนับสนุนของเขา และนั่นไม่เพียงเป็นจุดเริ่มต้นการเป็นจิตรกรอาชีพแบบเต็มตัวของโอคีฟ แต่ยังเป็นจุดเริ่มต้นความรักสุดแสนโรแมนติกของสองศิลปินต่างวัย
โอคีฟกับ Stieglitz เขียนจดหมายติดต่อกันก่อนจะได้พบกันครั้งแรกในปี 1916 ตอนนั้นเขามีอายุ 52 ปีเป็นช่างภาพรุ่นใหญ่ผู้คร่ำหวอดในวงการได้รับการยกย่องระดับนานาชาติ ขณะที่เธอมีอายุ 28 ปีเป็นศิลปินหน้าใหม่ ยังไม่มีใครรู้จัก นอกจากเขียนภาพแล้วโอคีฟยังเป็นนางแบบคนสำคัญของ Stieglitz อีกด้วย เขาถ่ายภาพของเธอจำนวนมากทั้งแบบมีและไม่มีเสื้อผ้า ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก่อตัวอย่างรวดเร็วพวกเขาตกหลุมรักกันแม้ว่า Stieglitz มีภรรยาอยู่แล้วและมีลูกสาวคนหนึ่ง เมื่อ Stieglitz หย่าขาดกับภรรยาเรียบร้อยพวกเขาก็แต่งงานกันเริ่มต้นชีวิตคู่ที่หวานชื่นในปี 1924 ในยามที่ห่างกันโอคีฟไปทำงานเขียนภาพส่วน Stieglitz ก็ยุ่งอยู่กับงานถ่ายภาพและงานที่แกลเลอรี่ พวกเขาจะติดต่อกันทางจดหมาย ตลอดหลายทศวรรษที่ทั้งคู่คบหากันพวกเขาเขียนจดหมายถึงกันราว 5,000 ฉบับรวมแล้วกว่า 25,000 หน้า ปี 2011 มีการนำจดหมายรักโรแมนติกของพวกเขามาจัดพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ My Faraway One – Selected Letters of Georgia O’Keeffe and Alfred Stieglitz
มหัศจรรย์แห่งภาพดอกไม้ระยะใกล้
พอทำงานเขียนภาพแบบมืออาชีพโอคีฟก็เปลี่ยนจากการใช้ถ่านชาร์โคลและสีน้ำเป็นเขียนภาพด้วยสีน้ำมัน แต่เธอยังคงเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพนามธรรมตามแนวทางที่ได้พัฒนาต่อเนื่องมา จนถึงปี 1921 เธอได้สร้างผลงานสำคัญในแนวนี้ชิ้นแรกคือภาพ Blue and Green Music จากนั้นเธอก็เริ่มเขียนภาพสิ่งของในธรรมชาติที่เรียบง่าย เช่น ใบไม้ ดอกไม้ ก้อนหิน ฯลฯ สถานที่โปรดที่ช่วยสร้างแรงบันดาลใจในการเขียนภาพของเธอคือ Lake George ซึ่งเธอกับสามีจะไปใช้เวลาอยู่ด้วยกันในช่วงฤดูร้อน และแล้วเธอก็ได้เขียนภาพดอกไม้ขนาดใหญ่ในระยะใกล้ที่มีความสวยงามอย่างน่าอัศจรรย์ โดยเฉพาะภาพใจกลางของดอกไม้ที่เสมือนใช้แว่นขยายส่องซูมเข้าไปจนถึงด้านในส่วนลึก เป็นภาพที่สวยงามแปลกตาคล้ายกับภาพจากจินตนาการหรือภาพนามธรรมที่เธอเคยเขียนมาก่อนหน้านี้ อีกทั้งบางภาพยังชวนให้ผู้ชมคิดจินตนาการไปไกลถึงเรื่องชวนวาบหวิวเหมือนไม่ได้กำลังชมภาพดอกไม้ และมหัศจรรย์แห่งภาพดอกไม้ระยะใกล้นี้ได้กลายเป็นผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอมากที่สุด
โอคีฟเขียนภาพดอกไม้ขนาดใหญ่ในระยะใกล้ด้วยสไตล์เฉพาะตัวไว้จำนวนมากราว 200 ภาพ มีภาพที่โดดเด่นได้รับความนิยมมากมาย เช่นภาพ Jimson Weed, Black Iris, Oriental Poppies, An Orchid รวมทั้งภาพ Petunia No. 2 ที่เธอเขียนเป็นภาพแรกเมื่อปี 1924 ในบรรดาภาพดอกไม้ระยะใกล้อันสวยงามเหล่านี้มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่หลายคนมักตีความว่าเธอต้องการสื่อถึงอวัยวะเพศผู้หญิง เช่น ภาพ Black Iris และ Red Canna แม้ว่าโอคีฟปฏิเสธเรื่องดังกล่าวอย่างแข็งขันแต่ผู้ชมภาพของเธอก็ยังอดคิดไม่ได้ ผลงานภาพดอกไม้ของโอคีฟได้รับความนิยมอย่างสูงตั้งแต่แรกสู่สายตาผู้ชม และในปี 2014 หนึ่งในภาพดอกไม้อันเลื่องชื่อของเธอคือภาพ Jimson Weed/White Flower No. 1 ได้สร้างสถิติใหม่กลายเป็นภาพเขียนฝีมือผู้หญิงที่มีราคาแพงที่สุดในโลกที่ 44.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงเวลาเดียวกับการเขียนภาพดอกไม้โอคีฟยังเขียนภาพที่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิงคือภาพบรรยากาศกรุงนิวยอร์กยามค่ำคืน มีภาพที่โดดเด่นมากได้แก่ภาพ Radiator Building – Night, New York และ New York Night เป็นต้น
ความงามนิรันดร์ของทะเลทราย
ช่วงเวลาแห่งความสุขสมของคู่รักต่างวัยดำเนินไปได้ไม่กี่ปีสัญญาณแห่งความร้าวฉานก็เกิดขึ้น ปี 1928 ช่างภาพจอมเจ้าชู้อย่าง Stieglitz ในวัย 64 ปีเริ่มมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับ Dorothy Norman ช่างภาพสาววัย 23 ปีผู้ซึ่งแต่งงานมีครอบครัวแล้วเหมือนกัน และความสัมพันธ์นี้ดูเหมือนจะยืดเยื้อไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลง โอคีฟรับทราบความจริงเรื่องนี้อย่างปวดร้าว เธอต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้งด้วยโรคซึมเศร้าและอาการทางประสาท บางช่วงเวลาเธอไม่สามารถทำงานเขียนภาพที่เธอรักได้เลย โอคีฟได้รับคำแนะนำให้ไปท่องเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศที่รัฐนิวเม็กซิโกตอนเหนือซึ่งมีสภาพภูมิประเทศแบบทะเลทราย เธอพบกับโลกใหม่ที่ดูอ้างว้างแต่น่าค้นหา ผืนทรายเวิ้งว้างกว้างไกลสุดสายตา ภูผาหินเลี่ยนโล่งสีสันแปลกตา และโครงกระดูกสัตว์หลากชนิดที่เธอบอกว่ามันคือความงามนิรันดร์ของทะเลทราย
ตั้งแต่ปี 1929 ในช่วงฤดูร้อนโอคีฟจะใช้เวลาอยู่ที่รัฐนิวเม็กซิโกโดยเฉพาะที่เมือง Ghost Ranch เป็นประจำเกือบทุกปี ศิลปินหญิงผู้โดดเดี่ยวขับรถคู่ใจ Ford Model A เดินทางสำรวจไปทั่วทุกแห่ง เธอเก็บรวบรวมกระดูกสัตว์ ซึมซับรูปแบบสถาปัตยกรรมและภูมิทัศน์ที่โดดเด่นของดินแดนที่เธอชื่นชอบแห่งนี้ ทั้งหมดเป็นแรงบันดาลใจให้เธอสร้างผลงานภาพเขียนแนวใหม่ที่มีกระดูกศีรษะและเขาของสัตว์เป็นองค์ประกอบหลัก มีภาพดอกไม้เข้ามาช่วยเพิ่มสีสันความสดใส โดยมีพื้นหลังที่แตกต่างหลากหลายรวมทั้งทิวทัศน์ของดินแดนแถบนี้ โอคีฟสร้างผลงานแนวนี้ไว้เป็นจำนวนมากมีผลงานเด่นได้แก่ภาพ Cow’s Skull- Red, White, and Blue, ภาพ From the Faraway, Nearby, ภาพ Ram’s Head, Blue Morning Glory และ Summer Days เป็นต้น ภาพเขียนกระดูกสัตว์กลายเป็นเอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของเธอที่ได้รับความนิยมไม่น้อยกว่าผลงานในแนวอื่น
มารดาของลัทธิสมัยใหม่อเมริกัน
ภูเขาและหุบเขาของดินแดนแถบรัฐนิวเม็กซิโกเป็นอีกหนึ่งความประทับใจของโอคีฟที่เธอได้นำมาสร้างสรรค์เป็นผลงานภาพเขียนในหลากหลายสไตล์ บางครั้งเธอใช้สีเข้มสดใสสร้างเป็นผลงานอันทรงพลังอย่างเช่นภาพ Rust Red Hills และ Red Hill And White Shell บางครั้งก็เขียนออกมาในลักษณะคล้ายกับภาพแนวนามธรรม เช่น ภาพ Black Place III และ Black Cross หรือหลายภาพเขียนเป็นภาพเหมือนจริงในสไตล์เฉพาะตัว เช่น ภาพ My Front Yard, Summer และ Black Hills with Cedar
หลังจากที่จัดการเรื่องราวต่างๆภายหลังการเสียชีวิตของ Alfred Stieglitz สามีของเธอในปี 1946 โอคีฟได้ย้ายไปอยู่ที่รัฐนิวเม็กซิโกอย่างถาวรตั้งแต่ปี 1949 เธอมีบ้านที่เมือง Abiquiú ใกล้กับ Ghost Ranch ซึ่งเธอใช้เป็นสตูดิเขียนภาพ โอคีฟยังคงทำงานเขียนภาพของเธอต่อไปแม้จะเข้าสู่วัยชราแล้ว ขณะที่มีอายุมากกว่า 70 ปีเธอยังมีผลงานที่โดดเด่นซึ่งได้รับการยกย่องชื่นชมในลำดับต้นๆได้แก่ภาพ Sky Above Clouds IV และ Ladder to the Moon
ปี 1973 โอคีฟในวัย 84 ปีได้จ้าง Juan Hamilton ช่างปั้นเซรามิกหนุ่มผู้ยากไร้วัย 27 ปีมาเป็นผู้ช่วยของเธอ เขากลายเป็นคนสนิทของเธอช่วยเหลือเธอทุกอย่างและอยู่กับเธอตลอดเป็นเวลา 13 ปีจนกระทั่งเธอเสียชีวิตในปี 1986 ขณะมีอายุ 98 ปี เถ้ากระดูกของเธอถูกนำไปโปรยกระจายตามที่ต่างๆในเมือง Ghost Ranch ตามความประสงค์ของเธอ ส่วน Hamilton กลายเป็นผู้ที่ได้รับมรดกส่วนใหญ่ของโอคีฟคิดเป็นมูลค่าราว 65 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผลงานหลากแนวหลายสไตล์จำนวนมากมายของโอคีฟตลอดหลายทศวรรษของการเป็นจิตรกรอาชีพได้รับความนิยมและมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะสมัยใหม่เป็นอย่างมาก เธอจึงได้รับการยกย่องเป็น “มารดาของลัทธิสมัยใหม่อเมริกัน”
โดดเด่นทั้งเหมือนจริงและนามธรรม
โอคีฟเป็นศิลปินหัวก้าวหน้าที่นำเสนอผลงานแนวใหม่ที่แตกต่าง เธอเริ่มต้นจากภาพเขียนแนวนามธรรม ก่อนที่จะสร้างชื่อเสียงโด่งดังด้วยภาพเขียนดอกไม้ระยะใกล้ ต่อมาเธอหันไปเขียนภาพกระดูกสัตว์และภาพภูเขาหินในดินแดนทะเลทราย ผสมผสานสีสัน รูปทรง และความรู้สึกถ่ายทอดความสวยงามของธรรมชาติออกมาในหลากหลายรูปแบบทั้งเหมือนจริงและนามธรรม บางครั้งก็ผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกันอย่างลงตัว และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานที่โดดเด่นของศิลปินหญิงผู้ยิ่งใหญ่ชาวอเมริกันคนนี้
Flower Paintings
Skull, Shell & Still life
Cityscape & Landscape
Abstract & Others
จอร์เจีย โอคีฟ เป็นหนึ่งในศิลปินชาวอเมริกันในยุคศิลปะสมัยใหม่คนแรกๆที่สร้างผลงานอย่างโดดเด่นจนมีชื่อเสียงในระดับโลกทัดเทียมกับศิลปินทางฝั่งยุโรปที่ครองความยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนาน ผลงานของเธอมีส่วนสำคัญที่ทำให้วงการศิลปะสมัยใหม่ของสหรัฐอเมริกาเจริญรุ่งเรืองอันส่งผลให้กรุงนิวยอร์กกลายเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะสมัยใหม่ของโลกมาจนถึงทุกวันนี้
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, biography, georgiaokeeffe.net