1. ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
ไมเคิลแองเจโล เป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และสถาปนิก เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ทัดเทียมกับเลโอนาร์โด ดา วินชี เขาเกิดเมื่อปี 1475 ที่เมืองอาเรซโซ ประเทศอิตาลี แต่ไปเล่าเรียนและเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ อายุ 15 ปีก็เริ่มมีผลงานด้านประติมากรรม ปี 1497 เดินทางไปทำงานที่กรุงโรม และเมื่ออายุ 24 ปี ไมเคิลแองเจโลได้สร้างงานประติมากรรมชิ้นสำคัญของโลกคือ Pietà
เขากลับมาที่ฟลอเรนซ์ในปี 1499 คราวนี้เขามีโอกาสทำงานชิ้นสำคัญที่ค้างเติ่งมาเกือบ 40 ปีคืองานแกะสลักรูปเดวิด (David) เขารับงานนี้ตอนอายุ 26 ปี ใช้เวลาราว 4 ปีจึงแล้วเสร็จและกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ระหว่างเวลาช่วงนี้ไมเคิลแองเจโลยังได้สร้างผลงานอีกหลายชิ้น รวมทั้งภาพเขียน Doni Tondo และ Manchester Madonna
ปี 1505 ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่โรมอีกครั้งเพื่อรับงานสร้างสุสานของพระสันตะปาปา Pope Julius II ซึ่งมีผลงานรูปแกะสลัก Moses และ Dying Slave รวมอยู่ด้วย และในระหว่างนี้เองเขาก็ได้สร้างผลงานสำคัญยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งคือภาพเขียนบนเพดานโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel Ceiling) บนพื้นที่กว่า 500 ตรม. ประกอบด้วยภาพกว่า 300 ภาพ และหนึ่งในนั้นเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ The Creation of Adam
ไมเคิลแองเจโลกลับไปทำงานที่ฟลอเรนซ์อีก คราวนี้นานกว่า 20 ปีก่อนจะได้กลับมาที่โรม ปี 1534 เขาได้สร้างภาพเขียนชิ้นใหญ่บนผนังแท่นบูชาที่โบสถ์น้อยซิสตินคือภาพ The Last Judgement ที่ใช้เวลาทำถึง 8 ปี และในปี 1546 เขาได้รับงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายคือการออกแบบมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่มีโดมใหญ่เด่นสง่าเป็นสัญลักษณ์ เขาเสียชีวิตในปี 1564 ด้วยวัย 88 ปี ก่อนที่โดมจะสร้างเสร็จ
10 ผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโล
2. จีอัน โลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini)
แบร์นินี เป็นประติมากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 17 และยังเป็นสถาปนิกผู้โดดเด่นอย่างยิ่งอีกด้วย เขาคือผู้สร้างและพัฒนางานประติมากรรมสไตล์บาโรก แบร์นินีเกิดเมื่อปี 1598 ที่เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี พ่อเป็นประติมากรมากฝีมือ เขาจึงเรียนศิลปะและงานแกะสลักหินอ่อนจากพ่อตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 8 ปีครอบครัวย้ายไปอยู่ที่กรุงโรมเนื่องจากพ่อได้รับงานชิ้นใหญ่ที่นั่น เขาจึงช่วยพ่อทำงานพร้อมกับฝึกฝนพัฒนาฝีมือและศึกษาผลงานของศิลปินยุคเรอเนสซองส์รวมทั้งงานของ Michelangelo ไปด้วย ด้วยวัยเพียง 20 ปีต้นๆเท่านั้นเขาก็สร้างผลงานยอดเยี่ยมออกมามากมาย ที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่รูปปั้นหินอ่อน Apollo and Daphne และ The Rape of Proserpina
ปี 1629 แบร์นินีได้รับการแต่งตั้งเป็นสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และเขาได้สร้างผลงานที่โดดเด่นในมหาวิหารนั่นคือ St. Peter’s Baldachin ซุ้มเหนือหลุมฝังศพเซนต์ปีเตอร์ทำด้วยสำริดออกแบบเป็นเสาเกลียว 4 เสาและหลังคาในสไตล์บาโรกสวยงามอย่างยิ่ง ผลงานด้านสถาปัตยกรรมของแบร์นินีก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ที่โดดเด่นมากได้แก่งานสร้างจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ แบร์นินีได้ออกแบบแนวเสาระเบียงโค้ง St. Peter’s Colonnades เพิ่มความโอ่อ่าอลังการให้กับมหาวิหารอย่างมากจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ผลงานอีกอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับเขาไม่น้อยคืองานออกแบบน้ำพุ เขาออกแบบสร้างน้ำพุในโรมไว้หลายแห่งซึ่งล้วนงดงามตระการตาโดยเฉพาะที่ Fountain of the Four Rivers
ปี 1665 แบร์นินีถูกเชิญตัวไปทำงานให้ราชสำนักฝรั่งเศสที่กรุงปารีส แต่ด้วยแนวคิดทางศิลปะที่แตกต่างกันมากเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จที่นั่น แต่ก็ยังทิ้งผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้ชิ้นหนึ่งเป็นรูปปั้นครึ่งตัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 Bust of Louis XIV แบร์นินีสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาตลอดการทำงานที่ยาวนานกว่า 60 ปีของเขา ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็ยังมีผลงานประติมากรรมประดับหลุมฝังศพที่ยอดเยี่ยมได้แก่ Blessed Ludovica Albertoni และ Tomb of Pope Alexander แบร์นินีเสียชีวิตที่กรุงโรมในปี 1680 ในวัย 81 ปี ด้วยผลงานด้านประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเหนือใครเขาจึงถูกยกย่องเป็นไมเคิลแองเจโลแห่งศตวรรษที่ 17
10 ผลงานชิ้นเอกของจีอัน โลเรนโซ แบร์นินี
โดนาเตลโล เป็นสุดยอดประติมากรแห่งยุคเรอเนสซองส์ผู้เชี่ยวชาญในงานประติมากรรมด้วยวัสดุเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินอ่อนและสำริด เขาเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อราวปี 1386 โดนาเตลโลเริ่มเรียนศิลปะกับช่างทองในท้องถิ่น แล้วไปฝึกงานกับช่างโลหะและประติมากรคนหนึ่งของเมืองฟลอเรนซ์ ได้รู้จักกับ Filippo Brunelleschi ที่ภายหลังเป็นสถาปนิกและวิศวกรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอิตาลี ราวปี 1404 – 1407 ทั้งสองคนร่วมกันไปขุดค้นซากปรักหักพังของกรุงโรมยุคโบราณเพื่อศึกษาศิลปะคลาสสิกจนถูกเรียกเป็นพวกนักล่าสมบัติ ความรู้และประสบการณ์ที่เขาได้รับในคราวนั้นมีส่วนสำคัญในการพลิกโฉมหน้าของศิลปะอิตาลีในศตวรรษที่ 15 และเขายังได้รับอิทธิพลด้านศิลปะโกธิคจาก Brunelleschi อีกด้วย
ปี 1408 โดนาเตลโลเริ่มสร้างผลงานที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเดิมด้วยงานสร้างรูปปั้นแกะสลักหินอ่อนสไตล์โกธิค หลังจากนั้น 3 ปีเขาก็เริ่มสร้างผลงานชิ้นเยี่ยม Saint Mark เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนเช่นกัน ตามมาด้วยรูปหินอ่อน St. John the Evangelist ในปี 1415 ซึ่งเริ่มเปลี่ยนสไตล์จากโกธิคเป็นใช้เทคนิคแบบโบราณ โดนาเตลโลเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะประติมากรผู้มีเทคนิคใหม่ๆและสร้างสรรค์ผลงานที่มีความโดดเด่นด้านการแสดงอารมณ์บนใบหน้าและท่าทางของร่างกายที่งดงาม ราวปี 1425 โดนาเตลโลกับ Michelozzo สถาปนิกดังอีกคนร่วมกันสร้างหลุมฝังศพที่งามสง่าของบุคคลสำคัญหลายแห่งและผลงานของเขาก็กลายเป็นต้นแบบให้กับงานสร้างหลุมฝังศพบุคคลสำคัญในยุคต่อมา
ราวปี 1430 โดนาเตลโลสร้างผลงานชิ้นเอกคือรูปปั้น David ซึ่งกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา David เป็นรูปหล่อสำริดท่ายืนแบบอิสระไม่มีการค้ำยันใดๆชิ้นแรกที่สร้างขึ้นในยุคเรอเนสซองส์ นอกจากฝีมืองานปั้นงานหล่อที่ทำออกมาอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบแล้ว ผลงานชิ้นนี้ยังมีเสน่ห์ตรงท่าทางการยืนถือดาบเท้าสะเอวและจ้องมองไปที่ศีรษะของโกไลแอทที่ใต้อุ้งเท้าพร้อมกับรอยยิ้มอันลึกลับที่สื่ออารมณ์ได้สมจริง รวมทั้งการสวมหมวกและรองเท้าบูทที่เป็นเอกลักษณ์ หลังจากนั้นโดนาเตลโลยังสร้างผลงานไว้อีกมากมายในหลายสถานที่ เช่น งานรูปหล่อสำริด Equestrian Statue of Gattamelata เป็นอนุสาวรีย์ที่เมืองแพดัว, งานแกะสลักหินอ่อนชิ้นใหญ่ Cantoria ที่เมืองฟลอเรนซ์ และงานประติมากรรมแบบนูนต่ำ The Feast of Herod ที่เมืองเซียนา เป็นต้น โดนาเตลโลเสียชีวิตในปี 1466 ด้วยวัย 80 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของโดนาเตลโล
4. โอกุสต์ รอแด็ง (Auguste Rodin)
โอกุสต์ รอแด็ง เป็นประติมากรชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เขาเกิดเมื่อปี 1840 ที่กรุงปารีส ตอนอายุ 14 ปีเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนเล็กๆจนถึงปี 1857 รอแด็งพยายามสอบเข้าสถาบัน École des Beaux-Arts ถึงสามครั้งแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผลงานที่เขานำเสนอยังไม่เข้าตากรรมการ เขาจึงออกจากโรงเรียนมาทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างฝีมือทำชิ้นงานเครื่องประดับและงานตกแต่งทางสถาปัตย์ ปี 1875 เดินทางไปอิตาลีศึกษาผลงานของ Michelangelo และ Donatello ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาจากการสร้างประติมากรรมตามหลักวิชาและกระตุ้นอัจฉริยภาพทางศิลปะของเขาออกมา ปี 1877 เขาได้สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกคือรูปปั้นสำริด The Age of Bronze และตามมาด้วยรูปปั้น St. John the Baptist Preaching ในปี 1880 ซึ่งได้รับการชื่นชมอย่างสูงส่งผลให้รอแด็งกลายเป็นประติมากรมีชื่อเสียงในวัย 40 ปี
ปี 1880 รอแด็งรับงานสร้างประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีแผนจะสร้างในอนาคต เป็นงานสำคัญชิ้นใหญ่ที่ชื่อ The Gates of Hell เขาได้แรงบันดาลใจในการสร้างงานชิ้นนี้จากบทกวีเรื่อง Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีคนสำคัญของอิตาลี รอแด็งตั้งใจส่งมอบงานชิ้นนี้ในปี 1885 แต่เอาเข้าจริงเขาทำต่อเนื่องจนกระทั่งเขาเสียชีวิตเป็นเวลา 37 ปี The Gates of Hell ประกอบด้วยรูปปั้นย่อยถึง 186 ชิ้น มีหลายชิ้นถูกเขานำไปขยายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ต่างหากและมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะรูปปั้น The Thinker ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีการหล่อซ้ำเพื่อติดตั้งในสถานที่สำคัญทั่วโลกหลายสิบแห่ง รวมทั้งรูปปั้น The Kiss และ The Three Shades ซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
รอแด็งยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก อย่างเช่นรูปปั้น The Burghers of Calais, Monument to Balzac และ The Walking Man เป็นต้น พอถึงทศวรรษ 1900 เขาก็กลายเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ผลงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ต้องการอย่างสูงทั่วโลก ที่จริงรอแด็งยังมีผลงานด้านอื่นอีกจำนวนมากทั้งภาพเขียน ภาพวาด และภาพพิมพ์นับพันชิ้น แต่ความดังในงานประติมากรรมของเขาได้บดบังผลงานด้านอื่นจนมิด หลายคนให้การยกย่องเขาเทียบชั้นกับ Michelangelo เลยทีเดียว รอแด็งเสียชีวิตขณะมีอายุ 77 ปี ในปี 1917 ปีเดียวกันกับการเสียชีวิตของ Rose Beuret ภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันกว่า 50 ปีแต่เพิ่งแต่งงานกันก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 2 สัปดาห์
10 ผลงานชิ้นเอกของโอกุสต์ รอแด็ง
5. อันโตนิโอ คาโนวา (Antonio Canova)
อันโตนิโอ คาโนวา เป็นประติมากรชาวอิตาลีหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนีโอคลาสสิกผู้มีผลงานประติมากรรมหินอ่อนที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง คาโนวาเกิดเมื่อปี 1757 ที่เมือง Possagno สาธารณรัฐเวนิส เขาเติบโตในเหมืองหินของคุณปู่ซึ่งเป็นทั้งช่างตัดหินและประติมากรจึงสามารถแกะสลักหินอ่อนเป็นตั้งแต่ยังมีอายุไม่ถึง 10 ปี พออายุได้ 13 ปีเขาไปเป็นลูกศิษย์ของประติมากรมีชื่อเสียง Giuseppe Bernardi ที่เมืองเวนิสอยู่ 2 ปี จากนั้นเริ่มรับงานเองผลงานแรกเป็นรูปแกะสลักหินอ่อน 2 ชิ้น Orpheus และ Eurydice เสร็จในปี 1777 ซึ่ง Orpheus ได้รับการยกย่องมากและคาโนวาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองเวนิส อีก 2 ปีต่อมาเขาสร้างผลงาน Daedalus and Icarus ซึ่งได้รับการชื่นชอบมากเช่นกัน ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่เวทีใหญ่ที่กรุงโรมในปี 1780
ที่โรมคาโนวาใช้เวลาในการศึกษาผลงานของ Michelangelo และยังไปดูเมืองโบราณอีกหลายแห่ง ระหว่างปี 1783 -1787 เขาออกแบบและสร้างอนุสาวรีย์หลุมฝังศพพระสันตปาปา Clement XIV ต่อด้วยของพระสันตปาปา Clement XIII ซึ่งเสร็จในปี 1792 จากนั้นได้สร้างรูปแกะสลักหินอ่อน Psyche Revived by Cupid’s Kiss ซึ่งไม่เพียงได้รับการยกย่องเป็นประติมากรรมชิ้นเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิก ยังถือเป็นพัฒนาการแห่งศิลปะแบบโรแมนติกอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นานคาโนวาก็กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของยุโรป มีลูกค้าเป็นบุคคลสำคัญและสมาชิกในราชวงศ์ต่างๆทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนที่คาโนวาสร้างรูปปั้นชั้นยอดให้หลายชิ้น เช่น Venus Victrix และ Napoleon as Mars the Peacemaker
คาโนวาเดินทางไปอังกฤษหลายครั้งได้เยี่ยมชมประติมากรรมหินอ่อนเอลกิน (Elgin Marbles) รวมทั้งไปดูแลการติดตั้งผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งคือ The Three Graces ก่อนจะกลับอิตาลีทำงานแกะสลักรูปปั้น Venus Italica ที่สร้างขึ้นทดแทนรูปปั้น Venus de’ Medici ซึ่งถูกนโปเลียนยึดครองไป ความโด่งดังของคาโนวาไปไกลถึงสหรัฐอเมริกาที่ได้จ้างเขาทำรูปปั้นของ George Washington ซึ่งถูกส่งถึงรัฐนอร์ทแคโรไลนาในปี 1821 แต่น่าเสียดายที่มันถูกทำลายจากไฟไหม้หลังจากจัดแสดงได้เพียง 10 ปี คาโนวาทุ่มเทเวลาให้กับการแกะสลักรูปปั้นแทบไม่หยุดหย่อน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตยังได้สร้างผลงานชิ้นเยี่ยมให้กับราชวงศ์อังกฤษคือรูปปั้น Mars and Venus คาโนวาเสียชีวิตในปี 1822 ด้วยวัย 64 ปี เขาเป็นศิลปินที่สร้างงานศิลปะมาตลอดชีวิตและไม่เคยแต่งงาน
10 ผลงานชิ้นเอกของอันโตนิโอ คาโนวา
6. คอนสแตนติน บรันกูชี (Constantin Brâncuși)
คอนสแตนติน บรันกูชี เป็นประติมากรชาวโรมาเนียผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นประติมากรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20 และเป็นผู้บุกเบิกประติมากรรมสมัยใหม่ เขาเกิดเมื่อปี 1876 ในหมู่บ้านที่ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือพื้นบ้าน โดยเฉพาะงานแกะสลักไม้ ฝีมือการแกะสลักที่ยอดเยี่ยมจึงติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก พอย่างเข้าวัยรุ่นบรันกูชีออกจากบ้านไปหางานทำที่ Craiova เมืองใหญ่ใกล้บ้านเกิด เขาทำงานหลายอย่าง เป็นเด็กเสิร์ฟ ช่างไม้ เด็กขายของ ฯลฯ แต่ไม่ทิ้งเรื่องศิลปะพยายามเรียนนอกเวลา จนอายุ 18 ปีจึงได้เข้าเรียนจริงจังที่โรงเรียนศิลปะในเมือง Craiova และเรียนจบด้วยคะแนนยอดเยี่ยม จากนั้นจึงไปเรียนต่อที่โรงเรียนวิจิตรศิลป์แห่งชาติที่กรุงบูคาเรสต์ พอเรียนจบก็มุ่งหน้าสู่กรุงปารีสที่ขณะนั้นเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะสมัยใหม่
ปี 1903 บรันกูชีเข้ารับการฝึกฝีมือที่สถาบันศิลปะ École des Beaux-Arts เป็นเวลา 2 ปี จากนั้นจึงเข้าทำงานที่สตูดิโอของประติมากรดังแห่งยุค Auguste Rodin แต่ทำอยู่แค่ 2 เดือนก็ลาออกมาด้วยแนวความคิดที่ว่า “ไม่มีอะไรสามารถเติบโตได้ภายใต้ต้นไม้ใหญ่” บรันกูชีได้พัฒนาสไตล์ของตัวเองที่แตกต่างกับนายเก่าอย่าง Rodin โดยสิ้นเชิง เขาลดความละเอียดซับซ้อนไปสู่ความเรียบง่าย จนในที่สุดได้กลายเป็นประติมากรรมนามธรรมที่มีรูปแบบเรียบง่าย แต่แฝงความหมายลึกซึ้งซ่อนอยู่ให้ผู้ชมจินตนาการค้นหาเอาเอง ผลงานสำคัญชิ้นแรกๆได้แก่รูปปั้น The Kiss และ Sleeping Muse ได้รับการยกย่องชื่นชมอย่างสูง ทำให้เขาเริ่มมีชื่อเสียงโด่งดังในฝรั่งเศสและขจรไกลถึงสหรัฐอเมริกา
บรันกูชีสร้างผลงานประติมากรรมในสไตล์ของตัวเองได้อย่างโดดเด่นตลอดกว่าสามทศวรรษ ผลงานของเขาถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการศิลปะสำคัญในหลายประเทศทั้งในยุโรปและอเมริกา หนึ่งในผลงานของเขาที่โด่งดังมากได้แก่ประติมากรรมชุด Bird in Space ที่เขาได้สร้างไว้มากกว่า 14 เวอร์ชั่น นอกจากนี้ยังมีผลงานสำคัญที่มีชื่อเสียงไม่แพ้กัน เช่น Endless Column, Mademoiselle Pogany, Portrait of Madame LR. และ Princess X เป็นต้น บรันกูชีเสียชีวิตในปี 1957 ด้วยวัย 81 ปี ได้รับการยกย่องว่าเป็นประติมากรที่ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษที่ 20 ผลงานของเขาหลายชิ้นถูกประมูลซื้อไปในราคาหลายสิบล้านดอลลาร์สหรัฐ เป็นหนึ่งในชิ้นงานประติมากรรมที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
10 ผลงานชิ้นเอกของคอนสแตนติน บรันกูชี
7. อัลแบร์โต จาโกเมตตี (Alberto Giacometti)
อัลแบร์โต จาโกเมตตี เป็นประติมากรชาวสวิส เขาเป็นหนึ่งในประติมากรที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 20 ผลงานของเขามีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นอย่างยิ่ง นั่นคือประติมากรรมรูปคนทั้งชายและหญิงที่มีรูปร่างสูงชะลูดผอมเพรียวที่ไม่มีใครเหมือนและไม่เหมือนใคร โดยเฉพาะรูปปั้น The Walking Man หนึ่งในผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาเป็นงานประติมากรรมที่ผู้คนจดจำได้มากที่สุดชิ้นหนึ่ง จาโกเมตตีเกิดเมื่อปี 1901 ในครอบครัวศิลปิน พ่อเป็นจิตรกรอิมเพรสชั่นนิสต์และมีญาติเป็นจิตรกรยุคศิลปะสมัยใหม่อีกหลายคน ตัวเขาเองจึงได้ฝึกฝีมือการเขียนภาพตั้งแต่ยังเด็ก และเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนวิจิตรศิลป์ในกรุงเจนีวาที่ซึ่งเขาได้เรียนด้านประติมากรรม
ปี 1922 จาโกเมตตีในวัยยี่สิบต้นๆไปเรียนต่อด้านงานประติมากรรมที่กรุงปารีส เขาชื่นชอบศิลปะบาศกนิยมและบรรพศิลป์ของแอฟริกันซึ่งเป็นที่มาของผลงานสำคัญชิ้นแรกๆของเขาคือประติมากรรม Spoon Woman ต่อมาเขาก็ได้เข้าไปอยู่ในแวดวงของกลุ่มศิลปินลัทธิเหนือจริงอยู่หลายปี ระหว่างปี 1936 – 1940 จาโกเมตตีหมกมุ่นอยู่กับทำรูปปั้นศีรษะคน หลายปีถัดมาเขาสร้างแต่ชิ้นงานประติมากรรมที่มีขนาดเล็กมากสูงไม่เกิน 7 ซม. จนกระทั่งหลังจากที่พบกับ Annette Arm และได้แต่งงานกันในปี 1949 รูปปั้นคนของเขาเริ่มยืดยาวสูงมากขึ้นเรื่อยๆจนมีขนาดสูงกว่าคนจริง แต่ในขณะเดียวกันรูปร่างกลับผอมเพรียวบางลงขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดประติมากรรมรูปคนที่มีรูปร่างสูงชะลูดผอมเพรียวนี้ได้กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวและสร้างชื่อเสียงสูงสุดให้กับเขา
ชื่อเสียงของจาโกเมตตีโด่งดังขึ้นจนกลายเป็นหนึ่งในประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในยุคศิลปะสมัยใหม่ ผลงานสำคัญที่สร้างชื่อเสียงจนโด่งดังก้องโลกได้แก่รูปปั้น Walking Man, Man Pointing, City Square, Chariot, Large Thin Head และ Large Standing Woman II เป็นต้น ผลงานของเขาได้รับความนิยมอย่างสูงและมีราคาซื้อขายสูงมากระดับหลายสิบล้านดอลลาร์จนถึงเกินร้อยล้านดอลลาร์ ประติมากรรมที่มีราคาซื้อขายแพงที่สุดในโลกสามอันดับแรกในปัจจุบันล้วนเป็นผลงานของเขาทั้งสิ้น จาโกเมตตีค้นพบสไตล์เฉพาะตัวขณะมีอายุเกือบ 50 ปีแล้ว และชื่อเสียงขึ้นถึงจุดสูงสุดเมื่อมีอายุราว 60 ปี จากนั้นสุขภาพของเขาก็เริ่มแย่ลง เขาเสียชีวิตในปี 1966 ด้วยโรคหัวใจขณะมีอายุ 66 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของอัลแบร์โต จาโกเมตตี
8. ปิแอร์ ปูเกต์ (Pierre Puget)
ปิแอร์ ปูเกต์ เป็นประติมากรและจิตกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสในยุคบาโรก เขาเกิดเมื่อปี 1620 ได้รับการฝึกฝีมือการแกะสลักไม้ตั้งแต่เด็ก เริ่มทำงานเป็นช่างแกะสลักเครื่องประดับตั้งแต่อายุ 14 ปี และเขายังมีฝีมือการเขียนภาพที่ดีอีกด้วย พอมีอายุราว 20 ปีปูเกต์เดินทางออกจากบ้านเกิดมุ่งสู่อิตาลีเพื่อแสวงหาโอกาสและงานทำ เขาได้ทำงานเป็นผู้ช่วยเขียนภาพให้กับ Pietro da Cortona จิตรกรชั้นแนวหน้าของอิตาลียุคนั้น หลังจากสั่งสมฝีมือและประสบการณ์อยู่ที่กรุงโรม 3 ปี ปูเกต์ก็พกเอาศิลปะแบบบาโรกของอิตาลีกลับมาสร้างผลงานและชื่อเสียงที่เมืองมาร์เซย์บ้านเกิดของเขา
ปูเกต์ทำงานในฐานะจิตรกรอาชีพอยู่ราว 10 ปีจนเป็นที่รู้จักแต่ไม่ดังเปรี้ยงปร้างและได้ค่าจ้างเพียงน้อยนิด เขาจึงเปลี่ยนแนวมาทำงานประติมากรรม แค่ผลงานสำคัญชิ้นแรกเขาก็ดังสมใจ เปลี่ยนสถานะจากจิตรกรพื้นๆกลายเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงในทันที ปูเกต์ถูกว่าจ้างให้ไปสร้างงานประติมากรรมในเมืองใหญ่หลายเมือง รวมทั้งในกรุงปารีสและเมืองเจนัว โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1660s เขาได้สร้างผลงานชิ้นสำคัญไว้จำนวนมาก ที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่รูปปั้น Saint Sebastian, Hercules at Rest, Immaculate Conception และ Blessed Alessandro Sauli นอกจากนี้ยังมีผลงานประติมากรรมนูนต่ำชั้นยอดอย่าง Assumption of the Virgin อีกด้วย
งานประติมากรรมของปูเกต์มีลีลาท่าทางและการแสดงอารมณ์ที่โดดเด่นในสไตล์บาโรก แต่ยังคงความงดงามในสไตล์คลาสสิกเอาไว้ด้วย ปูเกต์มีผลงานหลากหลายมากทั้งภาพเขียนที่มีทั้งภาพศาสนาและภาพเหมือน, งานสถาปัตยกรรม, ภาพวาดลายเส้นเรือรบ และงานตกแต่งเรือรบ แต่งานที่สร้างชื่อให้กับเขามากที่สุดยังคงเป็นงานประติมากรรม ผลงานยุคหลังของก็มีความงดงามไม่ยิ่งหย่อนกว่ายุคแรก โดยเฉพาะรูปปั้น Milo of Crotona และ Perseus and Andromeda รวมทั้งผลงานประติมากรรมนูนต่ำ The Meeting of Alexander the Great and Diogenes ปูเกต์เสียชีวิตในปี 1694 มีอายุ 74 ปี เขาได้รับการยกย่องเป็นประติมากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17
10 ผลงานชิ้นเอกของปิแอร์ ปูเกต์
9. หลุยส์ บูร์ชัวส์ (Louise Bourgeois)
หลุยส์ บูร์ชัวส์ เป็นศิลปินคนสำคัญชาวฝรั่งเศส-อเมริกันในยุคศิลปะสมัยใหม่ที่เพิ่งมาดังเป็นพุแตกจากงานประติมากรรมเมื่อเข้าสู่วัยชราแล้ว เธอเกิดและเติบโตที่ฝรั่งเศสเป็นลูกสาวชนชั้นกลางเจ้าของร้านขายและซ่อมแซมพรมที่น่าจะมีชีวิตปกติสุข แต่เธอกลับมีประสบการณ์เลวร้ายในวัยเด็กเนื่องจากพ่อเป็นคนเจ้าชู้มีสัมพันธ์กับผู้หญิงหลายคนรวมทั้งพี่เลี้ยงสอนภาษาอังกฤษของเธอที่อยู่ในบ้านนานนับสิบปี ในขณะที่แม่ซึ่งมีสุขภาพไม่สู้ดีจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนเพื่อรักษาครอบครัวไว้ ตอนแรกบูร์ชัวส์เลือกเรียนวิชาคณิตศาสตร์แต่หลังจากแม่เสียชีวิตตอนเธออายุ 22 ปีจึงได้เปลี่ยนไปเรียนศิลปะ เธอเรียนศิลปะที่กรุงปารีสหลายสถาบันพอจบแล้วก็มาเปิดร้านภาพพิมพ์อยู่ติดกับร้านพรมของพ่อ บูร์ชัวส์ได้พบกับนักประวัติศาสตร์ศิลปะชาวอเมริกัน Robert Goldwater ที่ร้านของเธอเอง ทั้งคู่รักกันตัดสินใจแต่งงานกันจากนั้นเธอก็ย้ายไปอยู่กับสามีที่สหรัฐอเมริกา
บูร์ชัวส์ทำงานศิลปะหลายอย่างทั้งภาพพิมพ์ ภาพเขียน และงานประติมากรรมที่สร้างชื่อเสียงให้กับเธอมากที่สุด เธอยังเป็นครูสอนศิลปะที่หลายสถาบันเป็นเวลายาวนาน ผลงานของเธอส่วนใหญ่มักจะเป็นเรื่องเกี่ยวกับครอบครัว เพศ และร่างกาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งความทรงจำอันเจ็บปวดในวัยเด็กของเธอได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญในการสร้างชิ้นงานศิลปะของเธอ อย่างเช่นผลงานที่ชื่อ Destruction of the Father, Cumul I และ Mamelles เป็นต้น บูร์ชัวส์ได้แสดงผลงานร่วมอยู่ในกลุ่มศิลปะนามธรรม (Abstract Art) ที่มีศิลปินเลื่องชื่ออย่าง Jackson Pollock รวมอยู่ด้วย แต่เธอก็ยังไม่มีชื่อเสียงโด่งดังมากนักจนกระทั่งพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ (MoMA) ได้จัดแสดงผลงานเดี่ยวของเธอในปี 1982 บูร์ชัวส์ในวัย 70 ปีจึงกลายเป็นศิลปินแถวหน้า และเธอก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุดหลังจากที่เธอได้สร้างผลงานชื่อ Spider ที่สื่อถึงแม่ของเธอเองในขณะที่มีอายุมากกว่า 80 ปีแล้ว
สำหรับบูร์ชัวส์แมงมุมที่ทอใยสร้างรังและดูแลปกป้องลูกให้ปลอดภัยเป็นสัญลักษณ์ที่หมายถึงแม่ของเธอซึ่งเป็นช่างทอผ้า เธอสร้างประติมากรรม Spider ขึ้นในปี 1996 เป็นส่วนหนึ่งในผลงานชุด Cells และผลงานชิ้นนี้ได้กลายเป็นประติมากรรมที่สร้างโดยผู้หญิงที่มีราคาแพงที่สุดในโลกที่ราคา 32.1 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมาในปี 1999 เธอยังสร้างประติมากรรมแมงมุมที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อ Maman (หมายถึงแม่ในภาษาฝรั่งเศส) ซึ่งได้กลายเป็นผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงโด่งดังถูกนำไปจัดแสดงในนิทรรศการที่ประเทศต่างๆทั่วโลกหลายสิบประเทศ แม้ว่าผลงานตลอดชีวิตของบูร์ชัวส์ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับผู้หญิงแต่เธอปฏิเสธว่าไม่ใช่ศิลปะสตรีนิยม (Feminist Art) ถึงกระนั้นภาพเขียนชิ้นหนึ่งของเธอยังถูกนำไปขึ้นปกหนังสือและกลายเป็นสัญลักษณ์ของขบวนการศิลปะสตรีนิยม ศิลปินหญิงผู้มีพลังอันน่ามหัศจรรย์คนนี้ได้เสียชีวิตไปในปี 2010 ขณะมีอายุ 98 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของหลุยส์ บูร์ชัวส์
10. เฮนรี่ มัวร์ (Henry Moore)
เฮนรี่ มัวร์ เป็นประติมากรชาวอังกฤษที่มีผลงานโดดเด่นที่สุดในศตวรรษที่ 20 เจ้าของผลงานประติมากรรม Reclining Figure หลากหลายเวอร์ชั่นซึ่งมีอยู่ในแทบทุกเมืองใหญ่ทั่วโลก มัวร์เกิดเมื่อปี 1898 เขาชื่นชอบงานปั้นและงานแกะสลักตั้งแต่สมัยเรียนชั้นประถม และตั้งใจจะเป็นประติมากรหลังจากได้ยินเรื่องราวของ Michelangelo สุดยอดประติมากรของโลก แต่เขามีโอกาสได้เรียนด้านประติมากรรมจริงจังเมื่ออายุ 21 ปีแล้ว แต่ด้วยพรสวรรค์อันเป็นเลิศทำให้เขาได้รับทุนไปเรียนที่สถาบัน Royal College of Art ในกรุงลอนดอน ต่อมาเขายังได้รับทุนเดินทางไปอิตาลีเพื่อศึกษาผลงานของ Michelangelo, Giotto และศิลปินชั้นครูยุคก่อนอีกหลายคน
เรียนจบแล้วมัวร์ได้ทำงานเป็นครูสอนศิลปะที่สถาบัน Royal College of Art และใช้เวลาว่าง
เริ่มต้นสร้างผลงานประติมากรรมของตัวเอง หลังจากสอนอยู่ที่นี่ได้ 6 ปีเขาก็ไปรับตำแหน่งหัวหน้าแผนกประติมากรรมที่สถาบัน Chelsea School of Art ในปี 1932 ในช่วงเวลานี้เขามักไปที่กรุงปารีสบ่อยๆ ได้ศึกษาผลงานของศิลปินหัวก้าวหน้าคนดังหลายคนที่นั่น รวมทั้ง Pablo Picasso และ Alberto Giacometti ผลงานของเขาเริ่มเป็นประติมากรรมแบบนามธรรมมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปี 1938 เขาก็มีผลงานสำคัญเป็นประติมากรรมนามธรรมหลายชิ้น โดยเฉพาะผลงานประติมากรรมขนาดเล็ก Reclining Figure 1938 ที่ยาวเพียง 33 ซม. มีชื่อเสียงโด่งดังมาก ซึ่งต่อมามีการขยายขนาดเป็นชิ้นงานประติมากรรมขนาดใหญ่ประดับไว้ในสถานที่สำคัญหลายแห่ง
มัวร์มีชื่อเสียงโด่งดังมากขึ้น มีนิทรรศการแสดงผลงานของเขาเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี เขาได้รับการว่าจ้างให้ไปสร้างประติมากรรมในเมืองใหญ่ทั่วโลก ตลอดกว่าสามทศวรรษในฐานะประติมากรชั้นแนวหน้าของโลกมัวร์ได้สร้างผลงานไว้มากมาย ผลงานที่มีชื่อเสียงและโดดเด่นได้แก่ Reclining Figure 1969 – 70, Family Group, King and Queen, Three Standing Figures และ Oval with Points เป็นต้น มัวร์ถือเป็นประติมากรที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งของโลก ประติมากรรุ่นใหม่ที่เติบโตขึ้นมาในช่วงที่มัวร์กำลังดังรวมถึงหลังจากที่เขาจากไปแล้วส่วนใหญ่ต่างได้รับอิทธิพลจากเขาในการสร้างสรรค์ผลงานแทบทั้งนั้น เขาเสียชีวิตเมื่อปี 1986 มีอายุ 88 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของเฮนรี่ มัวร์
ข้อมูลและภาพจาก timeout, wikipedia, theartstory, visual-arts-cork