ข้อสมมุติฐานของ Seba คือผู้คนจะเลิกขับรถเอง พวกเขาจะเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าแบบขับอัตโนมัติซึ่งถูกกว่ารถน้ำมันเป็นสิบเท่าและมีอายุการใช้งานยาวนานกว่ากันเยอะ
จะเหลือเจ้าของรถไม่มากนักที่ยังจมอยู่กับอดีตและยึดติดการใช้รถแบบเก่า ที่เหลือจะเปลี่ยนไปใช้รถที่ทันสมัย ในอนาคตจะหาปั๊มน้ำมัน อะไหล่ รวมทั้งช่างซ่อมเครื่องยนต์สันดาปภายในได้ยาก ผู้แทนจำหน่ายรถแบบเก่าจะหดหายไปภายในปี 2024
หน่วยราชการจะสั่งห้ามไม่ให้คนขับรถเมื่อมีข้อมูลยืนยันถึงอันตรายที่มีมากกว่าระบบขับอัตโนมัติ ราคารถมือสองจะตกต่ำรุนแรง คุณอาจต้องจ่ายเงินเพื่อเอารถคันเก่าของคุณไปทำลายทิ้ง
มันเป็นเกลียวมรณะ (Death Spiral) ของทั้งกลุ่มบริษัทค้าน้ำมันยักษ์ใหญ่และกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ และยังเกี่ยวพันไปถึงบริษัทใหญ่ในตลาดหุ้นที่ปรับตัวไม่ทันอีกด้วย
ราคาน้ำมันดิบจะลดลงถึง 25 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรลอย่างยาวนาน สกอตแลนด์จะสูญเสียแหล่งขุมทรัพย์ในทะเลเหนือ รัสเซีย, ซาอุดิอารเบีย, ไนจีเรีย และเวเนซุเอลาจะตกอยู่ในสถานะการณ์ที่ยากลำบาก
มันจะเป็นภัยคุกคามต่อบริษัทฟอร์ด, จีเอ็ม และบริษัทผลิตรถยนต์ในเยอรมัน พวกเขาจะต้องเผชิญกับทางเลือกระหว่างการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่กำไรต่ำมากหรือผันตัวเองไปเป็นผู้ให้บริการรถยนต์ไร้คนขับแบบ Uber และ Lyft
รถยนต์ยุคถัดไปจะเป็น “คอมพิวเตอร์ติดล้อ” Google, Apple, และ Foxconn มีเทคโนโลยีที่พร้อมจะเข้าไปยึดครอง และ Silicon Valley จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจรถยนต์ไม่ใช่ Detroit, Wolfsburg หรือ Toyota City อีกต่อไป
“เรากำลังอยู่ในจุดที่เป็นการแตกสลายของการขนส่งที่เร็วที่สุดลึกล้ำที่สุดอย่างต่อเนื่องมากที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาตร์” Seba กล่าว “ยานยนต์ที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในจะเข้าสู่วัฏจักรอันเลวร้ายของต้นทุนที่เพิ่มขึ้น”
จุดเปลี่ยนจะมาถึงภายในสองสามปีข้างหน้า เมื่อแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าใช้งานได้เกิน 320 กิโลเมตร และราคารถยนต์ไฟฟ้าลดลงถึง 30,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2022 รุ่นต่ำสุดราคาจะเหลือเพียง 20,000 ดอลลาร์ หลังจากนั้นก็จะเป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถล่มทลาย
“ภายในปี 2025 รถใหม่ทั้งหมดจะเป็นรถไฟฟ้า ทั้งรถยนต์ รถบัส รถแทรกเตอร์ รถแวน ทุกอย่างที่มีล้อจะใช้ไฟฟ้าทั้งหมดทั่วโลก” Seba กล่าว
ข้อมูลและภาพจาก financialpost, stuff.co.nz