ภายใต้ร่างกฎหมายใหม่จะไม่มีการออกใบอนุญาตใหม่และไม่ต่ออายุใบอนุญาตเก่าสำหรับการขุดเจาะน้ำมันและแก๊สในแผ่นดินใหญ่และดินแดนของฝรั่งเศสภายในปี 2040 ซึ่งจะมีผลให้ฝรั่งเศสหยุดการผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลไปโดยปริยาย
“เราเป็นประเทศแรกที่ดำเนินการเรื่องนี้ (เลิกผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล)” Nicolas Hulot นักสิ่งแวดล้อมคนสำคัญผู้ได้รับการเสนอชื่อโดยประธานาธิบดีมาครงให้เป็นรัฐมนตรีด้านสิ่งแวดล้อมกล่าว “ผมคิดว่าประเทศอื่นๆจะเดินตามแนวทางของเรา”
การตัดสินใจครั้งนี้เป็นส่วนหนึ่งของความพยายามให้ฝรั่งเศสไม่มีการปล่อยคาร์บอน (Carbon Neutral) ภายในปี 2050 และนี่ไม่ใช่แผนการแรกที่รัฐบาลฝรั่งได้ดำเนินการเพื่อลดการปล่อยคาร์บอน
ปลายปี 2016 ฝรั่งเศสได้ประกาศปิดโรงไฟฟ้าถ่านหินที่มีอยู่ทั้งหมดภายในปี 2023 จากนั้นในเดือนกรกฎาคมปีนี้ก็ได้ประกาศห้ามขายรถที่ใช้น้ำมันภายในปี 2040 (ระยะเวลาสอดคล้องกับการประกาศครั้งล่าสุด) และยังจะลดการใช้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จาก 75% เหลือ 50%
การให้คำมั่นของฝรั่งเศสตรงกันข้ามอย่างสิ้นเชิงกับสหรัฐอเมริกาที่ถอนตัวจากข้อตกลงปารีส “ปัจจุบันความจริงได้ยืนยันอยู่ทุกวันว่าภัยพิบัติจากสภาพอากาศกำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว” Hulot กล่าว “ในสหรัฐพวกเขากำลังพูดถึงความเสียหายระดับ 100 พันล้านดอลลาร์ที่เกิดจากพายุเฮอริเคนลูกล่าสุด (พายุฮาร์วีย์)”
อย่างไรก็ตามฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีการผลิตน้ำมันและแก๊สน้อยมากเมื่อเทียบกับรายใหญ่อย่างเช่น สหรัฐ แคนาดา รัสเซีย และหลายประเทศในตะวันออกกลาง แต่ละปีฝรั่งเศสผลิตได้เพียง 6 ล้านบาเรล เป็นลำดับที่ 71 ของโลก ซึ่งเทียบเป็นปริมาณการผลิตเพียงไม่กี่ชั่วโมงของซาอุดิอาระเบีย และปริมาณดังกล่าวคิดเป็นแค่ 1% ของความต้องการทั้งประเทศ ที่เหลือ 99% เป็นการนำเข้า
ฝรั่งเศสจึงเป็นประเทศที่อยู่ในสถานะที่ดีสำหรับการใช้มาตรการนี้ซึ่งอาจถูกมองว่าเป็นมาตรการเชิงสัญลักษณ์มากกว่า แต่ไม่ว่าจะเป็นสัญลักษณ์หรือไม่ก็ตามการเคลื่อนไหวของฝรั่งเศสครั้งนี้ทำให้บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ทั้งหลายต้องปวดหัวแน่นอน
ข้อมูลและภาพจาก futurism, gizmodo