การผลิตไฟฟ้าในสหรัฐมีการปล่อยคาร์บอนลดลงเกิดจากหลายสาเหตุ ที่สำคัญที่สุดคือการเปลี่ยนจากใช้ถ่านหินมาเป็นก๊าซธรรมชาติซึ่งปล่อยคาร์บอนน้อยกว่า อีกส่วนหนึ่งเป็นการใช้พลังงานหมุนเวียนมากขึ้น (แสงอาทิตย์ ลม ฯลฯ) ซึ่งไม่มีการปล่อยคาร์บอนเพียงแต่สัดส่วนยังไม่มาก และยังมีอีกสาเหตุที่น่าสนใจเกิดจากปีที่แล้วมีสภาพอากาศร้อนที่สุดในรอบหลายๆปีที่ผ่านมา
โดยทั่วไปแล้วการทำให้อากาศร้อนขึ้นใช้พลังงานมากกว่าทำให้อากาศเย็นลง หากปีไหนอากาศหนาวเย็นพลังงานจะถูกใช้ไปกับเครื่องฮีตเตอร์มากขึ้น แต่สำหรับปี 2016 อากาศร้อนกว่าปีอื่นๆ มีรายงานว่าค่า HDD (Heating Degree Day) น้อยที่สุดเป็นอันดับสองนับจากปี 1949 (ค่า HDD เข้าใจกันง่ายๆแบบไม่ลงลึกคือวันที่อากาศเย็นจนต้องเปิดฮีตเตอร์) ดังนั้นการใช้พลังงานกับส่วนนี้จึงลดลงไป
ส่วนภาคการขนส่งกลับมีการปล่อยคาร์บอนมากขึ้นเนื่องจากน้ำมันราคาถูก ผู้คนขับรถกันมากขึ้น และใช้รถ SUV กับรถปิ๊กอัพกันมากขึ้น รถยนต์โดยสารที่ใช้น้ำมันเบนซินจะปล่อยคาร์บอน 2.4 กก.ต่อน้ำมัน 1 ลิตร หรือราว 0.24 กก.ต่อระยะทาง 1 กม. ยังดีที่ตอนนี้มีรถยนต์ไฟฟ้าที่ไม่ปล่อยคาร์บอนเลย หากเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าให้หมด รวมถึงรถบรรทุกด้วย (รถบรรทุกไฟฟ้าเริ่มมีแล้วอย่างเช่น Tesla’s Semi) ปัญหาส่วนนี้ก็ลดลงไปได้
จากปี 2011 ถึง 2016 จำนวนรถยนต์ไฟฟ้าที่ขายแต่ละปีในสหรัฐฯเพิ่มขึ้น 8 เท่าตัว การทำนายยอดขายในอนาคตของแต่ละสำนักยังมีความแตกต่างกัน แต่ทั้งหมดก็ชี้ไปทิศทางเดียวกันว่ามันจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาลในไม่กี่ปีข้างหน้านี้
การเดินทางระยะไกลด้วยรถยนต์ไฟฟ้าก็ง่ายขึ้นกว่าเดิม เพราะมีสถานีชาร์จไฟเพิ่มมากขึ้นเป็น 3 เท่านับจากปี 2012 เฉพาะปี 2016 เพิ่มขึ้น 35,000 แห่ง และยังมีสถานีชาร์จไฟความเร็วสูงที่ชาร์จไฟเต็มในเวลา 30 นาทีเพิ่มขึ้นอีก 3,500 แห่ง แต่สหรัฐฯยังตามหลังประเทศจีนอีกไกลในเรื่องสถานีชาร์จไฟความเร็วสูง เพราะจีนมีมากกว่าถึง 17 เท่า
หากพิจารณาการปล่อยคาร์บอนในทุกภาคเศรษฐกิจของปี 2015 ตามรูปด้านล่าง นอกจากภาคการผลิตไฟฟ้าและการขนส่งแล้ว อันดับสามเป็นภาคอุตสาหกรรมการปล่อยคาร์บอนมาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อเป็นพลังงานในการผลิต ถัดไปเป็นภาคธุรกิจและที่พักอาศัยการปล่อยคาร์บอนก็มาจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลเพื่อทำความร้อน ดังนั้นโดยรวมแล้วการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลทั้งในรูปแบบของถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ และน้ำมันคือตัวการสำคัญที่สุดของการปล่อยคาร์บอน
ข้อมูลและภาพจาก climatecentral.org, epa.gov