เติบโตบนกองหินอ่อนพร้อมกับสิ่วและค้อนในมือ
ไมเคิลแองเจโลหรือ ‘มิเกลันเจโล’ มีชื่อเต็มว่า Michelangelo di Lodovico Buonarroti Simoni เป็นชาวอิตาลี เกิดเมื่อปี 1475 ที่หมู่บ้านคาปรีส ในแคว้นทัสกานี เมืองหลวงของแคว้นก็คือเมืองฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นเมืองที่เขาเติบโต หลังจากแม่เสียชีวิตขณะที่ไมเคิลแองเจโลอายุได้ 6 ปี เขาอาศัยอยู่กับพี่เลี้ยงและสามีซึ่งเป็นช่างตัดหินที่เมืองบนภูเขานอกเมืองฟลอเรนซ์ชื่อ Settignano ซึ่งพ่อของเขามีเหมืองหินอ่อนและฟาร์มเล็กๆอยู่ ไมเคิลแองเจโลอยู่ที่นี่หลายปีได้ซึมซับความสามารถพิเศษในการตัดแต่งหินอ่อนด้วยสิ่วและค้อนติดตัวตั้งแต่เด็ก
ปี 1488 เขาถูกส่งไปเรียนภาษาที่เมืองฟลอเรนซ์แต่เขาไม่สนใจเลย วันๆเอาแต่ฝึกคัดลอกภาพเขียนตามโบสถ์และอยู่ร่วมกับจิตรกรคนอื่น เมืองฟลอเรนซ์ในช่วงเวลานั้นเป็นศูนย์กลางแห่งศิลปะและการศึกษา มีประติมากรและจิตรกรชื่อดังสร้างผลงานมากมายให้ไมเคิลแองเจโลได้ศึกษาเรียนรู้ และแล้วเขาก็ได้ไปเป็นลูกศิษย์ของ Domenico Ghirlandaio จิตรกรชื่อดังในขณะนั้นผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพปูนเปียก (Fresco) เขาอยู่กับอาจารย์ได้เพียงปีเศษก็ถูกส่งตัวไปทำงานตามคำร้องขอของ Lorenzo de Medici ผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ในปี 1489
ระหว่างทำงานให้ Lorenzo de Medici ไมเคิลแองเจโลมีผลงานเป็นภาพแกะสลักบนหินอ่อนหลายชิ้น เช่น Madonna of the Steps และ Battle of the Centaurs ถึงปี 1492 ชีวิตเขาพลิกผันเมื่อ Lorenzo de Medici เสียชีวิต ไมเคิลแองเจโลจึงออกมาทำงานของตัวเองพร้อมกับพัฒนาฝีมือด้านแกะสลัก ไปรับงานต่างเมืองที่เวนิสกับโบโลญญาบ้าง ระหว่างนี้ก็มีผลงานแกะสลักหลายชิ้นรวมทั้ง Crucifix งานแกะสลักไม้ที่ทำให้กับโบสถ์ Santo Spirito ที่เมืองฟลอเรนซ์เพื่อตอบแทนที่ให้เขาได้ศึกษาสรีระมนุษย์จากศพที่โรงพยาบาลของโบสถ์ จนถึงปี 1496 ไมเคิลแองเจโลจึงย้ายไปอยู่ที่กรุงโรมที่ซึ่งเขาได้สร้างผลงานชิ้นเอกชิ้นแรก
สร้างชื่อลือเลื่องด้วยประติมากรรมชิ้นเอกของโลก
ไมเคิลแองเจโลไปที่โรมตอนอายุ 21 ปี เริ่มต้นด้วยงานแกะสลักหินอ่อนรูปเทพเจ้าแห่งไวน์ Bacchus เมื่องานเสร็จกลับถูกปฏิเสธจากพระคาร์ดินัล Raffaele Riario ผู้ว่าจ้าง ต่อมาถูกนำไปประดับอยู่ในสวนของนายธนาคาร ปลายปี 1497 เขาได้รับการว่าจ้างจากพระคาร์ดินัล Jean de Bilhères-Lagraulas ให้ทำงานแกะสลักหินอ่อน Pieta รูปพระแม่มารีใบหน้าเศร้าหมองกำลังประคองร่างของพระเยซูที่เพิ่งอัญเชิญลงจากกางเขน ไมเคิลแองเจโลใช้เวลาไม่ถึงสองปีงานก็เสร็จ ผลงานที่ออกมางดงามอย่างยิ่งสมจริงทุกรายละเอียด สร้างความอัศจรรย์ใจแก่ผู้ได้ชมเป็นอย่างมาก เป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกที่เขาทำสำเร็จด้วยวัยเพียง 24 ปี Pieta เป็นหนึ่งในงานประติมากรรมที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ปัจจุบันเก็บรักษาที่มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ในนครรัฐวาติกัน เป็นแม่เหล็กดึงดูดใจให้ผู้คนมาเยี่ยมชมมหาวิหารแห่งนี้อย่างคับคั่งตลอดทั้งปี
ปี 1499 ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่เมืองฟลอเรนซ์ ได้รับการทาบทามให้ทำงานแกะสลักหินอ่อนชิ้นใหญ่รูปเดวิด (David) ซึ่งเป็นโครงการที่ริเริ่มมา 40 ปีแล้วแต่ยังไม่สำเร็จ เนื่องจากช่างแกะสลักที่เคยรับงานนี้ต่างเห็นว่าหินอ่อนชิ้นนี้มีตำหนิและไม่แข็งแรงพอที่จะทำรูปปั้นใหญ่ขนาดนั้นได้ ไมเคิลแองเจโลรับงานนี้ตอนที่เขาอายุ 26 ปี ใช้เวลาราว 4 ปี ระหว่างปี 1501 – 1504 แกะสลักก้อนหินอ่อนที่ถูกทิ้งไว้ไม่มีใครเหลียวแลนาน 25 ปีให้เป็นวีรบุรุษผู้งามสง่าสวยงามราวผู้วิเศษเนรมิตขึ้น และกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา คณะกรรมการของเมืองที่ประกอบด้วยผู้ทรงคุณวุฒิ รวมทั้งซานโดร บอตติเชลลีและเลโอนาร์โด ดาวินชี ถูกเรียกตัวมาเพื่อพิจารณาสถานที่ตั้ง David และได้เลือกให้ตั้งที่จตุรัส Piazza della Signoria หน้าวัง Palazzo Vecchio ต่อมาในปี 1873 ถูกย้ายไปไว้ที่หอศิลป์ Galleria dell’Accademia ส่วนที่เดิมได้สร้างรูปปั้นจำลองของ David ตั้งไว้แทน รูปหินอ่อนแกะสลัก David จากฝีมือของไมเคิลแองเจโลเป็นประติมากรรมชิ้นเอกของโลกและเป็นสัญลักษณ์ของเมืองฟลอเรนซ์ตลอดมาถึงปัจจุบัน
ช่วงเวลาเดียวกับที่แกะสลัก David ไมเคิลแองเจโลยังมีผลงานหินอ่อนแกะสลักชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่งคือ Madonna and Child หรือที่เรียกกันว่า Madonna of Bruges รูปพระแม่มารีกับพระเยซูองค์น้อยบนตัก มีลักษณะและความงดงามใกล้เคียงกับ Pieta ปัจจุบันอยู่ที่โบสถ์ Church of Our Lady ที่เมือง Bruges ประเทศเบลเยี่ยม นอกจากนี้เขายังมีผลงานหินอ่อนแกะสลักชั้นยอดอีกมากมาย เช่น Moses รูปปั้นประดับหลุมฝังศพพระสันตะปาปา Julius II ในโบสถ์ Church of San Pietro in Vincoli ที่กรุงโรม และ Dying slave กับ Rebellious Slave ที่เป็นประติมากรรมดาวเด่นในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ รวมทั้งบรรดารูปแกะสลักจำนวนมากที่ประดับตามโบสถ์และหลุมฝังศพหลายแห่ง ซึ่งล้วนงดงามวิจิตรสมกับที่มาจากฝีมือของประติมากรอันดับ 1 ของโลกตลอดกาล
โบสถ์น้อยซิสตีนที่สถิตภาพเขียนสุดมหัศจรรย์
ปี 1508 พระสันตะปาปา Julius II ได้ให้ไมเคิลแองเจโลเขียนภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซิสตีน (Sistine Chapel) ซึ่งมีพื้นที่ใหญ่มากกว่า 500 ตารางเมตร ประกอบด้วยภาพกว่า 300 ภาพ ทั้งหมดเป็นภาพเขียนปูนปั้น (Fresco) ตรงกลางเพดานเป็นภาพเขียนเหตุการณ์จากพระคัมภีร์ปฐมกาล 9 ภาพ หนึ่งในนั้นที่อยู่กลางกลุ่มคือภาพ The Creation Of Adam เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ภาพเขียนบนเพดานโบสถ์น้อยซิสตีนเป็นหนึ่งงานจิตรกรรมที่มีชื่อเสียงที่สุดของยุคเรอเนสซองส์ ไมเคิลแองเจโลใช้เวลาถึง 4 ปีในการสร้างงานสุดมหัศจรรย์ชิ้นนี้ ภาพทุกภาพล้วนสวยงามน่าประทับใจ
ปี 1534 ไมเคิลแองเจโลรับงานชิ้นใหญ่ที่สุดอีกชิ้นหนึ่งจากพระสันตะปาปา Clement VII เป็นการเขียนภาพปูนปั้นบนผนังหลังแท่นบูชาภายในโบสถ์น้อยซิสตีนคือภาพ The Last Judgement เป็นภาพขนาดใหญ่มาก เขียนบนพื้นที่ 13.7 x 12 เมตร เขาใช้เวลานานถึง 8 ปีในการเขียนภาพนี้ ในภาพแสดงการมาครั้งที่สองของพระเยซูและการพิพากษาของพระองค์ตามคัมภีร์ใบเบิล เมื่องานเสร็จภาพเปลือยของพระเยซูและพระแม่มารีถูกวิพากษ์วิจารณ์ว่าล่วงเกินสิ่งศักดิ์สิทธิ์และมีการรณรงค์โดยพระคาร์ดินัลให้เอาออกไปหรือเซ็นเซอร์เสีย แต่พระสันตะปาปาไม่ยินยอม ต่อมาในปี 1564 ไม่นานก่อนที่ไมเคิลแองเจโลจะเสียชีวิตสภาคาทอลิกมีมติให้ทำการเซ็นเซอร์โดยให้ลูกศิษย์ของไมเคิลแองเจโลเป็นผู้เขียนภาพทับบริเวณที่ไม่เหมาะสม แต่มีการคัดลอกภาพต้นฉบับเอาไว้ด้วย
ไมเคิลแองเจโลยังมีผลงานภาพเขียนชั้นยอดอีกหลายภาพ เช่น ภาพ Doni Tondo ที่เขียนด้วยสีน้ำมันและสีฝุ่นซึ่งปัจจุบันจัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์อุฟฟีซีในเมืองฟลอเรนซ์, ภาพ Manchester Madonna และภาพ The Entombment ทั้งสองภาพนี้เขียนด้วยสีฝุ่น ปัจจุบันอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ (ลอนดอน) รวมทั้งผลงานภาพปูนเปียกชิ้นสุดท้าย The Crucifixion of St. Peter ที่โบสถ์น้อยพอลลีน (Pauline Chapel) ด้วยฝีมือขั้นเทพและผลงานการเขียนภาพที่ยอดเยี่ยม ไมเคิลแองเจโลจึงได้รับการยกย่องเป็นจิตรกรสำคัญที่สุดคนหนึ่งในยุคเรอเนสซองส์ โดยเฉพาะในงานภาพเขียนปูนปั้นต้องยอมรับว่าเขาเป็นสุดยอดฝีมือจริงๆ
ไมเคิลแองเจโลไม่ค่อยเซ็นชื่อลงบนผลงานของตัวเอง และไม่เคยทิ้งภาพใบหน้าตัวเองแบบเป็นทางการเอาไว้เลย Pieta เป็นผลงานชิ้นเดียวที่เขาได้ลงชื่อเอาไว้ ไมเคิลแองเจโลแกะสลัก Pieta ตอนที่ยังเป็นเด็กหนุ่มมาก ไม่นานหลังจาก Pieta จัดแสดงในโบสถ์เป็นครั้งแรกเขาได้ยินบางคนพูดว่าเป็นผลงานของช่างแกะสลักคนอื่น เขาจึงแกะสลักชื่อของเขาเป็นผู้ทำลงบนสายสะพายของพระแม่มารี หลังจากครั้งนั้นเขาก็ไม่เคยทำอีกเลย แต่เขามักจะซ่อนใบหน้าของตัวเองเอาไว้ในผลงานหลายๆชิ้น เช่น ใบหน้าที่ปรากฏอยู่บนแผ่นหนังที่ถูกถลกในมือของ Saint Bartholomew จากภาพ The Last Judgement หรือ ใบหน้าของชายที่สวมผ้าโพกศีรษะสีน้ำเงินในภาพ The Crucifixion of St. Peter รวมทั้งใบหน้าภายใต้ผ้าคลุมศีรษะของ Nicodemus ในรูปปั้น The Florentine Pieta
งานออกแบบสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเป็นเอก
ไมเคิลแองเจโลรับงานออกแบบและสร้างหลุมฝังศพให้กับบุคคลสำคัญในยุคนั้นหลายที่ รวมทั้งของตระกูล Medici ผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์และพระสันตะปาปา งานสร้างหลุมฝังศพมีทั้งงานสถาปัตยกรรมและประติมากรรม เขาใช้เวลาในการสร้างหลุมฝังศพของพระสันตะปาปา Julius II นานถึง 40 ปี (ปี 1505–1545) เพราะนอกจากจะประกอบด้วยรูปปั้นจำนวนมากแล้ว ไมเคิลแองเจโลยังมีงานอื่นที่ต้องทำให้เสร็จอีกมาก ปี 1523 ไมเคิลแองเจโลได้ออกแบบห้องสมุด Laurentian Library ที่โบสถ์ San Lorenzo ในเมืองฟลอเรนซ์ซึ่งถือเป็นต้นแบบของลัทธิจริตนิยม (Mannerism) เขาออกแบบห้องโถงและบันไดของที่นี่ได้โดดเด่นมาก ปี 1546 ได้ออกแบบลวดลายบนพื้นบริเวณจตุรัส Piazza del Campidoglio ในกรุงโรม ด้วยลวดลายที่สวยงามสลับซับซ้อนเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่ง ไมเคิลแองเจโลยังได้ออกแบบประตู Porta Pia และวิหาร Santa Maria degli Angeli e dei Martiri ในกรุงโรมอีกด้วย
ไมเคิลแองเจโลในวัย 70 ปีได้รับงานชิ้นใหญ่ที่สุดในชีวิตอีกครั้งหนึ่ง ปี 1546 เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Basilica) ในกรุงโรม งานก่อสร้างมหาวิหารดำเนินมาแล้ว 50 ปี และงานฐานรากทำเสร็จตามแปลนของ Donato Bramante สถาปิกคนแรกตั้งแต่ปี 1506 สถาปนิกคนอื่นได้ทำงานต่อเนื่องกันมามีการเปลี่ยนแปลงแบบหลายครั้ง แต่งานก่อสร้างมีความคืบหน้าน้อยมาก ไมเคิลแองเจโลคงแนวคิดหลักของ Bramante เอาไว้แต่ได้ออกแบบใหม่หลายส่วน โดยเฉพาะตรงโดมที่สวยสง่าเป็นเอกลักษณ์ของมหาวิหารแห่งนี้ งานก่อสร้างก้าวหน้าไปด้วยดีแต่น่าเสียดายที่เขาไม่มีโอกาสได้เห็นโดมที่เสร็จสมบูรณ์ด้วยตาตัวเอง เนื่องจากเขาเสียชีวิตไปเสียก่อนที่โดมจะสร้างเสร็จ
ทุ่มเททั้งชีวิตและจิตใจให้กับงานศิลปะ
ไมเคิลแองเจโลเป็นหนึ่งในผู้ที่ทุ่มเทให้กับการทำงานศิลปะมากที่สุด เขาเริ่มทำงานในฐานะศิลปินตั้งแต่อายุ 14 ปี และทำงานศิลปะมาตลอดจนถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต เขายังเป็นผู้ที่ทำงานศิลปะรับใช้พระสันตะปาปามากถึง 9 พระองค์ ไมเคิลแองเจโลใช้เวลาหลายปีหลังสุดกับการดูแลงานก่อสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เมื่อร่างกายเขาอ่อนแอมากจนควบคุมงานที่ไซต์งานด้วยตัวเองไม่ไหวแล้ว เขายังคงควบคุมจากที่บ้านโดยการส่งภาพวาดที่เขาออกแบบไปให้โฟร์แมนที่เขาไว้ใจ งานแกะสลักยังคงเป็นสิ่งเขารักที่สุดเสมอ เขาแกะสลักชิ้นงานอยู่ที่บ้านจนเกือบถึงวันสุดท้ายของชีวิต ไม่กี่วันก่อนที่เขาจะเสียชีวิตด้วยวัยเกือบ 89 ปีในปี 1564 เขายังแกะสลักชิ้นงาน Rondanini Pieta อยู่เลย
ไมเคิลแองเจโลไม่ได้เป็นศิลปินไส้แห้งแบบศิลปินดังหลายคนเพราะเขามีชื่อเสียงโด่งดังตั้งแต่ตอนยังมีชีวิตอยู่ เป็นศิลปินที่มีค่าตัวแพงที่สุดคนหนึ่งในยุคนั้น ตอนที่เสียชีวิตเขามีทรัพย์สินจำนวนมากคิดเป็นเงินในปัจจุบันราว 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ไมเคิลแองเจโลใช้ชีวิตแบบเรียบง่ายสมถะ เขาเคยบอกลูกศิษย์ว่าถึงเขาจะรวยแค่ไหนเขายังคงอยู่แบบคนจนเช่นเดิม เขาไม่ค่อยแยแสกับการกินและดื่มสักเท่าไรและมักจะนอนหลับในชุดทำงานอยู่บ่อยๆ เขาเป็นคนค่อนข้างสันโดษไม่ค่อยคบค้าสมาคมกับใคร ไมเคิลแองเจโลไม่แต่งงานโดยให้เหตุผลว่างานคือภรรยา และ “ภรรยา” ของเขาได้ทำให้เขาเหนื่อยมากแล้ว ดังนั้นถ้ามีภรรยาอีกคนเขาคงมีชีวิตอยู่ต่อไปไม่ได้ เรียกได้ว่าไมเคิลแองเจโลมีชีวิตเพื่อศิลปะเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
ศิลปินมือเทวดาผู้สร้างสุดยอดศิลปะ 3 สาขา
ไมเคิลแองเจโลเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในช่วงเวลาที่เขามีชีวิตอยู่ เขาได้รับฉายาว่า “The Divine One” ที่หมายถึงเทพเจ้า เขาคือศิลปินมือเทวดาที่สร้างสรรค์สุดยอดงานศิลปะทั้งประติมากรรม จิตรกรรม และสถาปัตยกรรม อีกทั้งยังเป็นกวีที่มีผลงานมากกว่า 300 ชิ้น เป็นเรื่องมหัศจรรย์มากที่ผลงานชิ้นเอกของโลกทั้ง 3 สาขาจะเกิดจากฝีมือของคนคนเดียว ไมเคิลแองเจโลเป็นคนแรกที่มีหนังสืออัตชีวประวัติออกเผยแพร่ขณะที่เขายังมีชีวิตอยู่ พระสันตะปาปา Julius II ถึงกับกล่าวว่า “ทรงยินดีบั่นทอนชีวิตของท่านลง เพื่อแลกกับชีวิตของไมเคิลแองเจโลให้ยืนยาวออกไปอีก” ไมเคิลแองเจโลจึงได้รับการยกย่องเป็นสุดยอดศิลปินแห่งยุคเรอเนสซองส์ และเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาลของโลก
ข้อมูลและภาพ wikipedia, michelangelo.org, michelangelo-gallery.org