เขียนภาพขายตั้งแต่เรียนชั้นมัธยม
มอแนหรือโมเนต์เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดที่กรุงปารีสในปี 1840 เป็นชาวปารีสโดยกำเนิดแต่กลับไปเติบโตที่เมืองเลออาฟวร์ ในแคว้นนอร์มังดี เนื่องจากครอบครัวย้ายไปอยู่ที่นั่นตอนที่เขามีอายุได้ 5 ขวบ พ่อของมอแนอยากให้เขาสืบทอดธุรกิจร้านขายของชำและอุปกรณ์เรือ แต่ตัวเขาอยากเป็นศิลปิน ยังดีที่แม่ของเขาเป็นนักร้องจึงเข้าใจและให้การสนับสนุนต่อความปรารถนาแรงกล้าในการทำงานด้านศิลปะของเขา
ปี 1851 มอแนเข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะระดับมัธยมในเมืองเลออาฟวร์ ระหว่างการเรียนที่นี่เขาเริ่มฉายแววจิตรกรเอกของโลกในอนาคตด้วยการเขียนภาพการ์ตูนล้อเลียน (Caricature) ด้วยถ่านไม้ซึ่งเขาขายได้ในราคาราว 10 – 20 ฟรังก์ สร้างชื่อจนเป็นที่รู้จักกันทั่ว บุคคลที่เขาชอบนำเอาใบหน้ามาเขียนภาพล้อเลียนก็คือบรรดาคุณครูของเขานั่นเอง
บนเส้นทางแห่งการเรียนรู้และค้นหา
มอแนเป็นเด็กที่โชคดีอยู่ไม่น้อยเมื่อมีโอกาสได้เรียนวาดภาพครั้งแรกกับ Jacques-François Ochard ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Jacques-Louis David จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ของฝรั่งเศสยุคก่อนหน้านั้น แต่ด้วยความที่มอแนไม่ชอบขลุกอยู่ในห้อง เขาชอบที่จะอยู่ภายนอกมากกว่า ในปี 1856 ที่ชายหาดนอร์มังดีเขาได้พบกับ Eugène Boudin จิตรกรที่เชี่ยวชาญการเขียนภาพภูมิทัศน์กลางแจ้งคนแรกๆของฝรั่งเศส ซึ่งได้สอนการใช้สีน้ำมันและเทคนิคในการเขียนภาพ “กลางแจ้ง” ให้กับเขา จากนั้นมอแนจึงรักการเขียนภาพทิวทัศน์กลางแจ้งเป็นชีวิตจิตใจ
ปี 1857 แม่ของมอแนเสียชีวิต เขาออกจากโรงเรียนและไปอยู่กับป้า Marie-Jeanne Lecadre ซึ่งเป็นหม้ายไม่มีลูก มีฐานะดีและได้ช่วยเหลือส่งเสียให้เขาเรียนต่อ ระหว่างนี้มอแนได้เขียนภาพที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งคือภาพ View from Rouelles ถึงปี 1859 มอแนตัดสินใจไปเรียนต่อและหาประสบการณ์ที่ปารีส เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะ Academie Suisse ปี1861 มอแนถูกเรียกตัวไปเป็นทหารและไปประจำการที่แอลจีเรีย เป็นทหารได้ราว 1 ปีเขาเกิดป่วยหนักเป็นโรคไทฟอยด์และถูกส่งตัวกลับปารีสในปี 1862 มอแนเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนของ Charles Gleyre และที่นี่เขาได้พบกับ Pierre-Auguste Renoir, Frédéric Bazille และ Alfred Sisley ที่ได้กลายเป็นเพื่อนและร่วมกันสร้างลัทธิประทับใจในเวลาต่อมา
Camille เพื่อนคู่กายนางแบบคู่ใจ
ปี 1865 ภาพเขียนทิวทัศน์ทะเลที่ปากแม่น้ำแซน 2 ภาพของมอแนถูกเลือกไปจัดแสดงในงานนิทรรศการศิลปะ Paris Salon เป็นครั้งแรกและได้รับคำชมมากพอสมควร มอแนได้เขียนภาพ Luncheon on the Grass เพื่อเตรียมนำไปแสดงในงานนิทรรศการปีถัดไป ซึ่งภาพชื่อเดียวกันนี้เวอร์ชั่นของ Édouard Manet เคยถูกปฏิเสธจาก Paris Salon มาแล้วเมื่อสองปีก่อน ทำให้ได้รู้จักกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้ มอแนเขียนภาพ Luncheon on the Grass ที่มีขนาดใหญ่มากเสร็จไม่ทัน เขาจึงส่งภาพเหมือนของ Camille ในชุดสีเขียว The Woman in the Green Dress ซึ่งเขียนเสร็จก่อนงานเริ่มเพียง 4 วันไปแทน แต่กลับประสบความสำเร็จได้รับคำชมอย่างมากมาย
ต่อมา Camille ได้กลายเป็นคนรักของมอแน ระหว่างที่ทั้งคู่คบหากันเขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยมหลายภาพ รวมทั้งหนึ่งในภาพเขียนที่ดีที่สุดของเขาซึ่งได้ Camille มาเป็นนางแบบในภาพด้วยคือภาพ Women in the Garden เขาส่งภาพนี้เข้าร่วม Paris Salon ปี 1867 แต่น่าเสียดายที่ถูกปฏิเสธ นอกจากนี้ยังมีภาพ Garden at Sainte-Adresse, Jeanne-Marguerite Lecadre in the Garden รวมทั้ง On the Bank of the Seine, Bennecourt และในที่สุด Camille ได้กลายภรรยาและเป็นนางแบบของมอแนไปตลอดชีวิต
ชีวิตขมขื่นของศิลปินไส้แห้ง
แม้ว่ามอแนจะเริ่มมีชื่อเสียงอยู่บ้างแต่เขามีปัญหาด้านการเงินค่อนข้างมาก เนื่องจากภาพเขียนของเขาขายไม่ได้ มอแนอาศัยเงินที่ทางครอบครัวส่งมาให้ประทังชีวิต พอมาคบกับ Camille ทางครอบครัวของเขาไม่ยอมรับและบอกให้เลิกเสียมิฉะนั้นจะตัดเงินช่วยเหลือ มอแนจึงต้องแอบคบ Camille ไม่ให้ทางครอบครัวรู้ ปี 1867 พวกเขาได้ลูกชายคนแรกชื่อ Jean และต้องอยู่กันแบบยากจนข้นแค้น มอแนทุกข์ใจกับสภาพที่เป็นอยู่มากจนครั้งหนึ่งในปี 1868 ถึงกับคิดฆ่าตัวตาย โดยการกระโดดลงไปในแม่น้ำแซน แต่ในที่สุดก็ว่ายกลับมา
โชคยังดีที่พวกเขาได้พบกับมาดาม Louis-Joachim Guadibert ผู้ซึ่งเป็นผู้อุปถัมภ์ผลงานของมอแนเป็นคนแรก ทำให้เขาสามารถทำงานต่อและดูแลครอบครัวได้ มอแนกับ Camille แต่งงานกันในปี 1870 ไม่นานก่อนเกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ครอบครัวมอแนหนีภัยสงครามไปอยู่ที่อังกฤษต่อด้วยเนเธอร์แลนด์ แล้วกลับมาฝรั่งเศสอีกครั้งตอนปลายปี 1871 และย้ายไปอยู่ที่เมืองอาร์ฌ็องเตย (Argenteuil) ซึ่งเป็นหมู่บ้านริมฝั่งแม่น้ำแซนใกล้ปารีส มีทิวทัศน์สวยงาม และเป็นสถานที่มอแนเขียนภาพที่มีชื่อเสียงของเขาหลายต่อหลายภาพ มอแนต้องใช้ชีวิตยากจนเป็นศิลปินไส้แห้งนานถึง 20 ปีกว่าจะประสบความสำเร็จ
จุดกำเนิดแห่งลัทธิประทับใจ
ช่วงเวลาที่อยู่ที่อาร์ฌ็องเตยมอแนได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเองขึ้นมา ระหว่างนั้นมอแนได้พบปะพูดคุยกับศิลปินรุ่นใหม่ที่เป็นเพื่อนของเขาหลายคนรวมทั้ง Renoir, Sisley, Pissarro และ Manet ผู้ซึ่งตอนแรกไม่ค่อยชอบเขานักเพราะคนมักสับสนกับชื่อที่คล้ายกัน และพวกเขาได้ตั้งกลุ่ม Anonymous Society of Painters, Sculptors, and Engravers เพื่อแสดงงานศิลปะของพวกเขาได้อย่างอิสระไม่ต้องง้อ Paris Salon ที่มักจะปฏิเสธผลงานแนวใหม่อยู่เสมอ งานนิทรรศการของกลุ่มศิลปินใหม่นี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1874 มอแนส่งภาพ Impression, Sunrise ซึ่งเป็นภาพทิวทัศน์ที่ท่าเรือในหมอกยามเช้าของเมืองเลออาฟวร์ถูกเขียนขึ้นในปี 1872 เข้าร่วม แล้วชื่อของภาพนี้ได้กลายเป็นที่มาของชื่อกลุ่มของพวกเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ
Louis Leroy จิตรกรและนักประพันธ์ผู้มีอารมณ์ขันได้เขียนวิจารณ์งานนิทรรศการลงในหนังสือพิมพ์ในเชิงเยาะเย้ยอย่างเจ็บแสบ โดยใช้ชื่อข้อเขียนของเขาว่า The Exhibition of the Impressionists เป็นการเอาชื่อภาพและตัวภาพของมอแนมาเล่นคำและประเด็นในการวิจารณ์ทำนองว่า ‘ถ้าจะเกิดความประทับใจ (Impression) มันจะต้องมีอะไรบางอย่างในภาพนั้น ไม่ใช่งานหยาบๆง่ายๆเหมือนยังไม่เสร็จแบบภาพทิวทัศน์ทะเลของมอแน’ แต่บรรดาศิลปินในกลุ่มชอบชื่อที่ Leroy ตั้งให้และใช้เรียกกลุ่มของตัวเองเรื่อยมา ภายหลังอิมเพรสชั่นนิสม์ก็ได้กลายเป็นหนึ่งในการเคลื่อนไหวทางศิลปะที่มีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์
งานนิทรรศการประสบความสำเร็จพอสมควร แต่มอแนก็ขายภาพไม่ได้อยู่ดี เขาจึงต้องจมอยู่ในความทุกข์ของความยากจนต่อไปอีกนานหลายปี ระหว่างที่อยู่ที่อาร์ฌ็องเตยนอกจากภาพ Impression, Sunrise แล้วมอแนยังมีผลงานที่โดดเด่นอีกมากมาย เช่น Woman with a Parasol, Poppies at Argenteuil และ Madame Monet in a Japanese kimono
หนีเมืองกรุงมุ่งชีวิตชนบทที่ Vétheuil
หลังจากได้ลูกชายคนที่สองชื่อ Michel ในปี 1878 ครอบครัวของมอแนย้ายไปอยู่ในชนบทห่างไกลจากปารีสที่หมู่บ้าน Vétheuil โดยอยู่บ้านหลังเดียวร่วมกับเพื่อนชื่อ Ernest Hoschedé ที่เป็นทั้งพ่อค้าและนักสะสมงานศิลปะผู้ประสบปัญหาเป็นบุคคลล้มละลาย ปี 1879 Camille ที่ตรวจพบว่าเป็นมะเร็งเมื่อปีก่อนหน้าได้เสียชีวิตในวัยเพียง 32 ปี มอแนได้วาดภาพภรรยาของเขาที่นอนตายอยู่บนเตียงไว้ด้วย Alice Hoschedé ภรรยาของ Ernest Hoschedé ช่วยเลี้ยงลูกชาย 2 คนของมอแนร่วมกับลูกของเธอเอง 6 คน ขณะที่สามีของเธอหนีเจ้าหนี้ไปอยู่ที่เบลเยียม ช่วงหลังมอแนกับ Alice จึงใกล้ชิดกันและในที่สุดจึงแต่งงานกันในปี 1892 หลังจากสามีของ Alice เสียชีวิตได้ราวปีหนึ่ง
หลังจากผ่านช่วงเวลาโศกเศร้ากับการจากไปของ Camille อยู่หลายเดือน มอแนได้เริ่มสร้างผลงานของเขาอีกครั้ง ทั้งภาพภูมิทัศน์และทิวทัศน์ท้องทะเลซึ่งเขาคิดว่าเป็นการบันทึกบรรยากาศชนบทของฝรั่งเศสเอาไว้ และได้เริ่มต้นการเขียนภาพชุดจากฉากเดียวกันแต่ต่างวันเวลาเพื่อบันทึกการเปลี่ยนแปลงของแสงและฤดูกาลที่ผ่านไป ภาพเด่นๆในช่วงนี้ได้แก่ Monet’s Garden at Vetheui, The Banks of the Seine, Ile de la Grande-Jatte และ Winter Sun, Lavacourt
รังสุขสันต์บ้านและสวนที่จิแวร์นีย์
ปี 1883 มอแน, Alice และครอบครัวย้ายไปไกลจากปารีสยิ่งขึ้นไปอยู่ที่จิแวร์นีย์ (Giverny) ซึ่งเป็นเมืองที่มีสภาพแวดล้อมและทิวทัศน์เหมาะกับการทำงานเขียนภาพของเขา มอแนเช่าบ้านและที่ดิน 2 เอเคอร์ เขาและครอบครัวช่วยกันทำสวนหลังบ้าน โชคชะตาของมอแนเริ่มดีขึ้นเมื่อได้ Paul Durand-Ruel มาเป็นตัวแทนขายภาพให้ ฐานะของมอแนดีขึ้นเรื่อยๆ จนถึงปี 1890 เขาก็สามารถซื้อบ้านและพื้นที่สวนเป็นของตัวเอง มอแนพัฒนาสวนหลังบ้านเป็นการใหญ่ จ้างคนทำสวนมากถึง 7 คน แต่เขาเป็นคนออกแบบสวนทั้งหมดเอง สวนหลังบ้านจึงขยับขยายใหญ่โตเป็นลำดับพร้อมๆกับความร่ำรวยของเขาที่เพิ่มมากขึ้นไปตามกัน
ปี 1893 มอแนซื้อที่ดินเพิ่มอีกและเริ่มสร้างสระบัวที่กลายเป็นฉากในภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา มอแนเริ่มเขียนภาพ Water Lilies ในปี 1899 ภาพแรกเป็นรูปสระบัวที่มีสะพานโค้งญี่ปุ่นเป็นจุดเด่นกลางภาพคือภาพ Water Lilies and Japanese Bridge จากนั้นเขาได้เขียนภาพดอกบัวจากสวนหลังบ้านอย่างต่อเนื่องอีกกว่า 20 ปีรวมทั้งหมดราว 250 ภาพ ภาพชุด Water Lilies ได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วโลก นอกจาก Water Lilies มอแนยังเขียนภาพทิวทัศน์จากสวนของเขาเองไว้มากมาย รวมทั้งภาพชุดที่เขียนภาพเดียวกันแต่ต่างเวลาและบรรยากาศ ได้แก่ ภาพชุด Poplars, Grainstacks, Rouen Cathedral, Houses of Parliament และ Charing Cross Bridge
มอแนสูญเสียภรรยาคนที่สองที่เสียชีวิตไปในปี 1911 สามปีถัดมาลูกชายคนโตก็เสียชีวิตไปอีกคน Blanche ภรรยาของ Jean และเป็นลูกสาวของ Alice ด้วยเป็นผู้ดูแลเขาในยามปั้นปลายของชีวิต เขาเริ่มเป็นต้อกระจกซึ่งมีผลกระทบทำให้มองเห็นสีเพี้ยนไปจากเดิม ภาพในช่วงหลังจะมีสีออกโทนแดงโดยไม่ได้ตั้งใจ ซึ่งเขาก็พยายามกลับมาแก้ไขภาพเหล่านั้นหลังจากรับการผ่าตัดรักษาต้อกระจกในปี 1923 มอแนป่วยเป็นมะเร็งปอดเสียชีวิตในปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี
ศิลปินผู้โด่งดังกับภาพเขียนสุดประทับใจ
มอแนเป็นศิลปินผู้ขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังลัทธิประทับใจที่เน้นการเขียนภาพที่สะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่ารายละเอียดรูปร่างและพื้นผิวของภาพ ตลอดชีวิตมอแนเขียนภาพทั้งหมดราว 2,500 ภาพ ที่จริงตัวเลขน่าจะมากกว่านี้แต่มอแนได้ทำลายภาพเขียนของเขาเองไปจำนวนมาก มีทั้งภาพที่เขาทำลายทิ้งก่อนที่จะถูกเจ้าหนี้มายึดไป และภาพที่เขาคิดว่าไม่ดีพออีกหลายร้อยภาพ และต่อไปนี้เป็นบางส่วนของภาพเขียนของมอแนที่ยิ่งดูยิ่งประทับใจ
Caricature and Early Work
Paris (1859 – 1870)
England – Netherlands (1870 – 1871)
Argenteuil (1871 – 1878)
Vétheuil (1878 – 1883)
Giverny (1883 – 1926)
จากภาพเขียนที่ตอนแรกไม่มีใครเห็นคุณค่าแถมยังถูกเยาะเย้ยถากถาง ภายหลังกลับได้รับความนิยมอย่างสูง ผลงานของมอแนมีการซื้อขายในราคาสูงมาก ยิ่งหลังจากปี 2000 เป็นต้นมาราคายิ่งสูงมาก แต่ละชิ้นราคาหลายล้านดอลลาร์ พิพิธภัณฑ์ชั้นนำของโลกต่างต้องมีภาพของมอแนมาจัดแสดงเพื่อดึงดูดผู้ชม บ้านและสวนของมอแนที่จิแวนีย์กลายเป็นสถานที่ประวัติศาสตร์ที่ต้องต้อนรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลมาจากทั่วโลก มอแนกลายเป็นหนึ่งในศิลปินเอกของโลกที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดในประวัติศาสตร์
ข้อมูลและภาพ wikipedia, claudemonetgallery.org, wikiart.org