รถยนต์ไฟฟ้าเป็นแนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แต่การเพิ่มขึ้นของรถยนต์ไฟฟ้าก็ยังค่อนข้างน่าผิดหวัง นายบารัก โอบามาเคยทำนายไว้ว่าจะมีรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐอเมริกา 1 ล้านคันภายในปี 2015 แต่ตัวเลขจริงคือ 280,000 คัน ตอนนี้ทั้งโลกมีอยู่ 2 ล้านคันเทียบกับทั้งหมดที่มีอยู่กว่า 1 พันล้านคันแล้วเห็นได้ชัดว่าเส้นทางวิบากนี้ยังเหลืออีกยาวไกล
วอลโว่บอกว่าระหว่างปี 2019 ถึง 2021 บริษัทจะออกรถยนต์ไฟฟ้า 100% จำนวน 5 รุ่น และส่วนที่เหลือที่เป็นรถรุ่นที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือดีเซลจะต้องมีระบบไฮบริดรูปแบบใดรูปแบบหนึ่งด้วย และนี่เป็นครั้งแรกที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่มีการประกาศทิศทางที่ชัดเจนแบบนี้
การประกาศของวอลโว่เหมือนกับการส่งสัญญาณความมั่นใจในอนาคตของรถยนต์ไฟฟ้าของผู้ผลิตรถยนต์ วอลโว่มียอดขายในปีที่แล้วราว 5 แสนคันซึ่งถือว่าน้อยนิดหากเทียบกับค่ายยักษ์ใหญ่อย่างโตโยต้า โฟล์กสวาเกน และเจเนรัลมอเตอร์ แต่ถ้าเทียบกับ Tesla ผู้บุกเบิกรถยนต์ไฟฟ้ารายแรกที่มียอดขายปีที่แล้ว 76,000 คัน ถือว่ายังสูงกว่ามาก
Håkan Samuelsson ซึอีโอของวอลโว่กล่าวว่า “การประกาศครั้งนี้แสดงถึงจุดจบของรถยนต์ที่มีแต่เครื่องยนต์สันดาปภายในเพียงอย่างเดียว”
Samuelsson บอกว่าบริษัทกำลังตอบสนองต่อลูกค้าที่ต้องการให้ทำรถยนต์ไฟฟ้า แม้ว่าการปรับเปลี่ยนในครั้งนี้จะช่วยให้บริษัทบรรลุเป้าหมายที่ถูกบังคับให้ต้องลดการปล่อยคาร์บอน (Legally-binding carbon targets) สำหรับรถใหม่ที่จะวางขายในทวีปยุโรปตั้งแต่ปี 2020 ด้วยก็ตาม
วอลโว่ยังไม่เคยสร้างรถยนต์ไฟฟ้าชนิด 100% มาก่อน แต่ได้ขายรถรุ่นปลั๊กอินไฮบริด (Plug-in Hybrid) ซึ่งมีทั้งระบบน้ำมันและระบบไฟฟ้าแบบรถไฮบริดแต่มีระบบเสียบปลั๊กชาร์จไฟได้ด้วยมาแล้ว 5 รุ่น ซึ่งทุกรุ่นจะมีราคาสูงกว่ารุ่นที่มีระบบน้ำมันอย่างเดียวอยู่มากทีเดียว
เป้าหมายของวอลโว่คือการขายรถยนต์ไฟฟ้า 1 ล้านคันภายในปี 2025 ซึ่งหมายถึงคิดรวมทั้งรุ่นที่เป็นไฟฟ้า 100% รุ่นปลั๊กอินไฮบริด และรุ่นไฮบริดทั้งหมด
“ผมคิดว่าสิ่งต่างๆได้เปลี่ยนไปแล้ว และคุณก็สามารถเปลี่ยนความคิดของคุณเอง เราเคยตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับราคาของแบตเตอรี่และระบบพื้นฐานสำหรับการชาร์จไฟของรถยนต์ไฟฟ้า” Samuelsson กล่าว “ทุกอย่างเปลี่ยนไปเร็วมาก ความต้องการของลูกค้าเพิ่มขึ้น แบตเตอรี่ราคาลดลง และตอนนี้ก็มีการขยับขยายระบบพื้นฐานของการชาร์จไฟแล้วด้วย”
David Bailey อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านยานยนต์ที่มหาวิทยาลัยแอสตันกล่าวว่า “มันบ่งชี้ว่าเป็นการเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าที่เร็วขึ้น โดยเฉพาะจากการกระตุ้นของคดีอื้อฉาวที่โฟล์กสวาเกนโกงการตรวจสอบมลพิษ มันเป็นสัญญาณว่าอุตสาหกรรมนี้เริ่มมีการเคลื่อนไหวอย่างจริงจังและมันจะกลายเป็นกระแสหลัก”
“ผมคาดว่าภายในกลางทศวรรษ 2020 จะมีจุดเปลี่ยนสำคัญที่รถยนต์ไฟฟ้าจะเริ่มเอาชนะรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้ มันจะเป็นอย่างนั้น” Bailey กล่าวเพิ่มเติม
ข้อมูลและภาพจาก theguardian, theatlantic