ฉายแววอัจฉริยะตั้งแต่ยังเด็ก
ดาลี เป็นชาวสเปน เกิดเมื่อปี 1904 ที่เมือง Figueres แคว้นกาตาโลเนีย ทางตอนเหนือสุดของประเทศสเปน พ่อเป็นทนายความผู้เคร่งครัดในวินัย ส่วนแม่ใจดี แต่ทั้งคู่ก็สนับสนุนลูกชายในความพยายามที่จะเป็นศิลปินโดยส่งเขาเข้าเรียนในโรงเรียนศิลปะ ดาลีมีแววอัจฉริยะทางศิลปะที่มีความคิดเป็นของตัวเองแน่วแน่ไม่ตามใครมาตั้งแต่เด็ก เริ่มเขียนภาพได้ตั้งแต่อายุ 9 ปี ตอนอายุได้ 13 ปีพ่อของเขาได้จัดแสดงภาพเขียนจากถ่านไม้ของเขาขึ้นที่บ้านของตัวเอง พออายุ 15 ปีเขาก็มีงานนิทรรศการภาพเขียนของตัวเองเป็นครั้งแรกที่โรงละครในเมือง Figueres
บนเส้นทางของการค้นหาตัวตน
ปี 1921 แม่ของเขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านมสร้างความเสียใจให้กับเขาอย่างมาก ปีต่อมาดาลีย้ายไปอยู่หอพักนักศึกษาและเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะในกรุงมาดริด หนุ่มนักศึกษาสูงหล่อผมยาวแต่งตัวในสไตล์ชาวอังกฤษมีเพื่อนสนิทหลายคนรวมทั้ง Federico García Lorca ที่ว่ากันว่าเขารักและสนิทสนมเกินเพื่อนผู้ชายทั่วไป ระหว่างเรียนดาลีได้สร้างผลงานภาพเขียนออกมาอย่างสม่ำเสมอ ในช่วงนี้เขาได้ทดลองการเขียนภาพแบบคิวบิส (Cubism) โดยมีข้อมูลจากเพียงบทความในแมกกาซีน เนื่องจากในช่วงเวลานั้นไม่มีศิลปินแนวนี้ที่มาดริดเลย
ปี 1925 ดาลีได้จัดแสดงนิทรรศการผลงานภาพเขียนที่เมืองบาร์เซโลนา ตอนนั้นเขาเป็นศิลปินหน้าใหม่ไร้ชื่อเสียงและยังไม่ได้เขียนภาพแนวเหนือจริง แต่นิทรรศการก็ได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ชมและนักวิจารณ์ ปลายปี 1926 ต่อต้นปี 1927 เขาได้จัดนิทรรศการผลงานภาพเขียนอีกครั้งหนึ่งที่เมืองเดียวกันแต่คนละแกลเลอรี่โดยการสนับสนุนของนักวิจารณ์ศิลปะคนหนึ่ง
ดาลีเรียนที่สถาบันศิลปะแต่ไม่เคยเข้าห้องสอบเพราะคิดว่าไม่มีใครตัดสิน “ศิลปะ” ได้ ปี 1926 เขาถูกไล่ออกจากสถาบันเพราะไปพูดดูถูกดูแคลนอาจารย์คนหนึ่งก่อนการสอบเพื่อจบการศึกษา แต่นั่นไม่ใช่ปีที่เลวร้ายสำหรับเขา เพราะในปีนี้เองที่เขาได้สร้างผลงานชิ้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งคือภาพ The Basket of Bread และเขายังได้เดินทางไปกรุงปารีสเป็นครั้งแรกที่ซึ่งเขาได้พบกับ Pablo Picasso ศิลปินชื่อดังแห่งยุคที่เขาชื่นชอบและยกย่องมาก ขณะนั้นเป็นช่วงปีแรกๆที่ Picasso เริ่มเขียนภาพในแนวเหนือจริง แน่นอนว่าผลงานของดาลีย่อมได้รับอิทธิพลจาก Picasso อย่างมาก
สร้างผลงานชั้นยอดด้วยสไตล์เฉพาะตัว
ดาลีได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเองอย่างต่อเนื่องในอีกหลายปีต่อมา โดยเขาศึกษางานศิลปะหลายรูปแบบ ตั้งแต่ยุคคลาสสิกถึงศิลปะสมัยใหม่ล้ำยุค ศิลปินยุคเก่าที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษมีหลายคนรวมทั้ง Raphael, Johan Vermeer และ Diego Velázquez เขาใช้เทคนิคทั้งแบบสมัยเก่าและสมัยใหม่ผสมผสานกันจนบางครั้งนักวิจารณ์ศิลปะยังงงงวย จนกระทั่งถึงปี 1929 เขาก็เริ่มมีสไตล์การเขียนภาพในแนวเหนือจริงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร ผลงานอันโดดเด่นจึงทยอยออกมาอย่างต่อเนื่อง อย่างเช่นภาพ The Enigma of My Desire, The Lugubrious Game และ The Great Masturbator
ปี 1931 ในวัย 27 ปีดาลีเขียนภาพที่ชื่อ The Persistence of Memory เขานำเสนอภาพเหนือจริงของนาฬิกาพกที่กำลังหลอมเหลวซึ่งดูเหมือนจะแฝงความหมายของการปฏิเสธว่าเวลาไม่ใช่เป็นสิ่งที่กำหนดตายตัว ทำให้นึกถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์ ด้วยความคิดสร้างสรรค์และความโดดเด่นของภาพทำให้ต่อมาภาพนี้ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เป็นหนึ่งในภาพที่เป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในโลก และเป็นสัญลักษณ์ของภาพเหนือจริงที่กอปรด้วยจินตนาการอันล้ำลึก
อีก 5 ทศวรรษต่อมาดาลีได้สร้างผลงานภาพเขียนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนี้อีกมากมายนับพันชิ้น นอกจากผลงานภาพเขียนในแนวเหนือจริงที่เขาทำได้ยอดเยี่ยมเป็นพิเศษแล้ว หลังปี 1940 เขายังหันไปสนใจเขียนภาพในเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา เรื่องจากตำนาน เรื่องแนววิทยาศาสตร์ รวมทั้งเรื่องเกี่ยวกับสงคราม ผลงานของดาลีที่โดดเด่นและได้รับความนิยมมีมากมาย เช่น ภาพ Swans Reflecting Elephants, Christ of Saint John of the Cross, Soft Construction with Boiled Beans และอีกหลายต่อหลายภาพ
ผลงานโดดเด่นในศิลปะหลายแขนง
ดาลีเริ่มทำงานศิลปะแขนงอื่นนอกเหนือจากการเขียนภาพด้วยการเข้าไปช่วยเขียนบทของหนังสั้นแนวเหนือจริงเรื่อง An Andalusian Dog ในปี 1929 หลังจากนั้นเขาได้ทำงานศิลปะที่แตกต่างกันหลายอย่างได้แก่ งานออกแบบเครื่องประดับ เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ เวทีละคร รวมทั้งออกแบบตกแต่งหน้าร้านค้า นอกจากนี้เขายังมีผลงานการจัดแสดงโชว์ศิลปะแบบสามมิติในงานอีเวนต์ใหญ่ๆอย่างเช่นในงาน New York World’s Fair เมื่อปี 1939 ดาลีได้สร้างโลกเหนือจริงในฝันชื่อ Dream of Venus ที่ประกอบด้วยรูปปั้นที่แปลกประหลาดแต่สวยงามและน่าสนใจยิ่ง รวมทั้งมีโชว์นางแบบมีชีวิตเปลือยกายโพสท่าด้วยเครื่องแต่งกายที่ทำจากอาหารทะเลสด
ผลงานเด่นในงานออกแบบชิ้นงานของดาลีได้แก่ Lobster Telephone โทรศัพท์สุดเก๋าที่มีหูฟังเป็นกุ้งล็อบสเตอร์ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นตัวอย่างที่คลาสสิกของชิ้นงานแบบเหนือจริง อีกชิ้นหนึ่งคือ Mae West Lips Sofa โซฟาสุดเก๋รูปริมฝีปากสีแดงที่ออกแบบตามรูปปากของ Mae West นักแสดงสาวที่ดาลีชื่นชอบ ไอเดียนี้ถูกนำมาใช้ลอกเลียนแบบกันอีกหลายครั้งในเวลาต่อมา รวมทั้งโซฟารุ่นดัง Marilyn Bocca Sofa ผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ปัจจุบันนี้ยังคงเห็นตามร้านสะดวกซื้ออยู่ตลอดเพียงแต่อาจไม่ทราบว่านั่นเป็นฝีมือการออกแบบของดาลีคือโลโกของอมยิ้มยี่ห้อ Chupa Chups
ด้านภาพยนตร์เขาก็มีผลงานอยู่ไม่น้อย ดาลีได้ร่วมงานกับผู้สร้างดังหลายคน เช่น Alfred Hitchcock และ Walt Disney รวมทั้งได้เป็นผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Impressions de la haute Mongolie (1975) ซึ่งเขาเป็นผู้แสดงนำเอง และเขายังได้ถ่ายโฆษณาทางโทรทัศน์แนวตลกขำขันของช็อกโกแลตยี่ห้อ Lanvin อีกด้วย นอกจากนี้ดาลียังได้ทำงานด้านแฟชั่น ออกแบบชุดเสื้อผ้าผู้หญิง หมวก เข็มขัด สิ่งทอ รวมไปถึงออกแบบขวดน้ำหอมโดยมีโอกาสได้ร่วมงานกับ Christian Dior ด้วย
ผู้หญิงที่เขาลุ่มหลงจนหัวปักหัวปำ
ปี 1929 ดาลีในวัย 25 ปีได้พบกับ Elena Ivanovna Diakonova หรือ Gala เธอเป็นผู้อพยพชาวรัสเซียมีอายุมากกว่าเขา 10 ปี และขณะนั้นเป็นภรรยาของ Paul Éluard กวีแนวเหนือจริงชาวฝรั่งเศส ทั้งคู่หลงรักกันอย่างรวดเร็ว Gala แยกทางกับ Éluard แต่ทั้งสองคงยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด พ่อของดาลีไม่ยอมรับความสัมพันธ์ของลูกชายกับผู้หญิงคนนี้ และทั้งคู่ยังมีเรื่องขัดแย้งกันอีกหลายเรื่อง จนพ่อตัดดาลีออกจากกองมรดกและห้ามไปเหยียบที่บ้านอีก (แต่ภายหลังได้ให้อภัยและคืนดีกัน) Gala มาอยู่กับดาลีตั้งแต่ปีแรกที่พบกันจนกระทั่งเธอเสียชีวิต ทั้งคู่แต่งงานแบบลับๆในปี 1934 และจัดพิธีแต่งงานในโบสถ์อีกครั้งหนึ่งในปี 1958 Gala เป็นเสมือนทุกสิ่งทุกอย่างของเขา เธอคือแรงบันดาลใจในผลงานของเขาจำนวนมาก เธอเป็นผู้จัดการด้านธุรกิจและคอยดูแลความเป็นอยู่ของเขา ดาลีรักและลุ่มหลงเธอจนหัวปักหัวปำ
ตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1930 ดาลีเริ่มเซ็นชื่อในภาพเขียนด้วยชื่อของเขาและ Gala ด้วยเหตุผลในทำนองว่าเขาเขียนภาพขึ้นด้วยแรงบันดาลใจจากเธอ Gala อยู่กับดาลีทุกแห่งทั้งในยุโรปและอเมริกา ทั้งคู่ออกงานด้วยกันอยู่เสมอ เป็นคู่รักที่น่าอิจฉาทีเดียว ปี 1968 ดาลีซื้อปราสาทหลังใหญ่ที่เมือง Púbol ให้เธอ และเริ่มจากปี 1971 ที่เธอมักจะหลบไปอยู่ที่นี่คนเดียวครั้งละหลายสัปดาห์ โดยที่ดาลีไม่สามารถไปที่นั่นได้หากไม่ได้รับอนุญาตแบบเป็นลายลักษณ์อักษรจากเธอ การเหินห่างของ Gala ทำให้ดาลีเป็นโรคซึมเศร้าและสุขภาพทรุดโทรม Gala เสียชีวิตในปี 1982 ทำให้ดาลีหมดอาลัยตายอยากจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป มีเหตุการณ์หลายครั้งที่ดูเหมือนอาจจะเป็นการฆ่าตัวตายของดาลีแต่มีคนช่วยได้ทัน บั้นปลายชีวิตเขาย้ายไปอยู่ที่ปราสาทของ Gala ซึ่งเป็นที่ฝังศพของเธอด้วย
ปี 1983 ดาลีมีผลงานภาพเขียนชิ้นสุดท้ายชื่อ The Swallow’s Tail ที่ได้รับอิทธิพลจากทฤษฎีความวิบัติ (Catastrophe theory) ของนักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศส René Thom ดาลีเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจล้มเหลวในปี 1989 ด้วยวัย 84 ปี ร่างเขาได้รับการฉีดน้ำยาอาบศพและใช้ผ้าห่อไว้แบบมัมมี่ตามความประสงค์ของเขาและถูกฝังไว้ที่โรงละครและพิพิธภัณฑ์ดาลี (Dalí Theatre and Museum) ที่เมือง Figueres ซึ่งตัวดาลีเองได้ร่วมกับทางการทำการออกแบบปรับปรุงโรงละครเก่าสถานที่ซึ่งเขาเคยจัดนิทรรศการภาพเขียนของตัวเองครั้งแรกตอนเป็นเด็กเพื่อเป็นที่จัดแสดงผลงานของเขาเอง ปัจจุบันพิพิธภัณฑ์ดาลีต้อนรับผู้คนที่หลั่งไหลเข้ามาชมผลงานของดาลีมากกว่าล้านคนในแต่ละปี
อัจฉริยะหลุดโลกกับหนวดเรียวชี้โด่
ไม่เพียงแต่ผลงานเท่านั้นที่แปลกแหวกแนว ชีวิตส่วนตัวของดาลีก็พิลึกพิลั่นหวือหวาสุดขั้วไม่แพ้กัน ด้วยแนวคิดที่เป็นแบบฉบับของตัวเองไม่ตามใคร ดาลีจึงมีพฤติกรรมแปลกๆเพี้ยนๆชนิดหลุดโลกมากมายตั้งแต่หนุ่มยันแก่ เช่น ในปี 1934 ตอนที่เริ่มมีชื่อเสียงใหม่ๆเขากับ Gala ไปร่วมงานเลี้ยงสวมหน้ากากที่นิวยอร์ก แต่กลับแต่งตัวเป็นลูกของ Charles Lindbergh วีรบุรุษของชาวอเมริกากับคนที่ลักพาตัวเด็กไปซึ่งเป็นคดีฆาตกรรมที่โด่งดังที่สุดจนพวกเขาถูกประท้วง ปี 1936 ดาลีไปบรรยายในนิทรรศการศิลปะเหนือจริงที่ลอนดอน เขาแต่งชุดนักประดาน้ำแบบโบราณพร้อมสวมหมวกนิรภัยเพื่อแสดงถึงการดำดิ่งเข้าไปในทะเลของจิตใต้สำนึก ผลปรากฏว่าเขาหายใจแทบไม่ออกเกือบหมดสติ
ดาลีเข้าร่วมกับกลุ่มศิลปินเหนือจริงแห่งปารีสตั้งแต่ปี 1929 และผลงานของเขามีส่วนสำคัญทำให้ศิลปะเหนือจริงเป็นที่รู้จักและยอมรับ ในตอนนั้นศิลปินกลุ่มนี้มักถูกเรียกว่าเป็นพวกคนบ้า เพราะมีวิธีคิดการแสดงออกและผลงานที่แปลกแตกต่างจากคนร่วมสมัยมาก แต่ดาลีปฏิเสธเรื่องนี้อย่างหนักแน่น เขาบอกว่า “ความแตกต่างเพียงอย่างเดียวระหว่างคนบ้ากับผมคือผมไม่ได้บ้า” แต่ภายหลังในปี 1940 เขาถูกขับออกจากกลุ่มศิลปินเหนือจริงเพราะไม่ทำตามกฏเกณฑ์หรือแนวทางที่ถูกต้องในความเป็นศิลปินเหนือจริงตามความคิดของบางคนในกลุ่มทั้งด้านการเมืองและเรื่องอื่นๆ แต่ดาลีไม่ใส่ใจแถมบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นพวกเหนือจริงตัวจริง
เอกลักษณ์ของดาลีอีกอย่างหนึ่งคือการไว้หนวดสองข้างที่แหลมเรียวชี้โด่คล้ายเข็มนาฬิกาบอกเวลา 10 นาฬิกา 10 นาทีซึ่งเปรียบเสมือนเป็นเครื่องหมายการค้าประจำตัวเขาเลยทีเดียว เขาชอบหนวดทรงนี้มากและไว้หนวดสไตล์นี้จนถึงวันสิ้นชีพ ในปี 2017 หลังจากดาลีเสียชีวิตแล้ว 28 ปี หมอดูไพ่ทาโร่ Pilar Abel วัย 61 ปีได้ฟ้องร้องต่อศาลว่าเธอเป็นลูกสาวของดาลีกับแม่ของเธอซึ่งทำงานเป็นสาวใช้และมีสัมพันธ์กับดาลีเมื่อปี 1955 หากพิสูจน์ว่าเป็นจริงจะทำให้เธอมีสิทธิในมรดกส่วนหนึ่งของดาลีที่มีมูลค่ากว่า 300 ล้านยูโร ศาลสั่งให้ขุดหลุมฝังศพของดาลีเพื่อเก็บตัวอย่างมาตรวจดีเอ็นเอ ผลก็เป็นไปตามที่หลายคนคาดไว้คือ Pilar Abel ไม่เกี่ยวข้องกับดาลี แต่มีสิ่งที่น่าทึ่งกว่าเมื่อพบว่าหนวดของดาลียังคงสภาพเดิมชี้โด่บอกเวลา 10 นาฬิกา 10 นาทีอยู่เหมือนเดิม
ศิลปะเหนือจริงที่โดดเด่นเหนือใคร
ดาลีสร้างผลงานภาพเขียนไว้กว่า 1,500 ภาพ หลายภาพมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลก หลายภาพมีราคาแพงหลายล้านดอลลาร์ และยังมีผลงานด้านอื่นอีกมากมาย ทั้งงานด้านภาพยนตร์ งานประติมากรรม งานออกแบบแฟชั่น ฯลฯ และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่โดดเด่นและน่าทึ่งของอัจฉริยะหลุดโลกหนึ่งเดียวคนนี้
Early Years (1913 – 1921)
Search & Transitional Period (1922 – 1928)
Surrealism Period (1929 – 1940)
Classic Period (1941 – 1983)
Other Works
ดาลีเป็นศิลปินคนสำคัญที่มีผลงานโดดเด่นมีส่วนอย่างมากต่อการพัฒนาศิลปะแนวเหนือจริง และมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะมากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ผลงานที่แปลกแหวกแนวด้วยความคิดสร้างสรรค์ล้ำยุคและสไตล์การเขียนภาพในแบบฉบับของตัวเอง รวมทั้งพฤติกรรมส่วนตัวที่พิลึกแปลกประหลาดหลุดโลก ทำให้ดาลีครองใจผู้คนและเป็นที่จดจำ เมื่อใดที่พูดถึงศิลปะเหนือจริงชื่อของดาลีจะปรากฏเป็นคนแรกๆเสมอ เพราะเขาคือผู้สร้างงานศิลปะเหนือจริงที่โดดเด่นเหนือใคร
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, dalipaintings, theartstory