แรมบรันต์เป็นทั้งจิตรกร ช่างพิมพ์ และช่างเขียนแบบ เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะ ผลงานของเขามีส่วนทำให้เนเธอร์แลนด์เข้าสู่ยุคทองที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงศตวรรษที่ 17 แรมบรันต์ศึกษาและเรียนศิลปะที่บ้านเกิดจนอายุได้ 19 ปี จึงไปเรียนศิลปะที่อัมสเตอร์ดัมช่วงสั้นๆกับศิลปินดังยุคนั้น แล้วกลับมาทำงานเป็นศิลปินที่บ้านเกิด เขามีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ มีลูกศิษย์คนแรกที่ต่อมาเป็นศิลปินดังเช่นกันตั้งแต่อายุ 22 ปี
ปี 1632 แรมบรันต์ย้ายไปปักหลักอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม แต่งงานและมีสตูดิโอของตัวเอง สร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น The Anatomy Lesson of Dr. Nicolaes Tulp, Danaë และ The Night Watch ที่เป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา
ผลงานของแรมบรันต์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องแสงและเงา ที่ทำให้ภาพสวยงามดูมีมิติ สามารถบอกระยะตื้นลึกของภาพได้เสมือนจริง เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และนักศิลปศาสตร์จนนำชื่อของเขามาใช้เป็นหนึ่งในประเภทของการจัดแสงถ่ายภาพคือ Rembrandt Lighting
แม้ว่าแรมบรันต์จะประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปิน คุณครู และผู้แทนจำหน่ายงานศิลปะ แต่ด้วยการใช้ชีวิตที่โอ่อ่าอวดรวยจึงทำให้เขากลายเป็นบุคคลล้มละลายในปี 1656 ทรัพย์สมบัติของเขารวมถึงของสะสมที่เป็นงานศิลปะและวัตถุโบราณถูกนำออกประมูลขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ กระนั้นก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับการทำงานเลย เขายังคงสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1669
10 ผลงานชิ้นเอกของแรมบรันต์
2. โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer)
เฟอร์เมร์ เป็นชาวดัตช์ เกิดเมื่อปี 1632 ที่เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาแต่งงานมีครอบครัวและอาศัยอยู่ที่เมืองเดลฟท์ตลอดชีวิต ไม่มีใครรู้เรื่องราวของเขามากนัก รู้เพียงว่าเขาทุ่มเทให้กับการเขียนภาพ เขาทำงานอย่างช้าๆด้วยความประณีต ประกอบกับเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 43 ปี จึงมีผลงานค่อนข้างน้อย
เฟอร์เมร์ถูกลืมไปเกือบสองร้อยปีเนื่องจากผลงานของเขาถูกคิดว่าเป็นผลงานของคนอื่น จนกระทั่งในปี 1866 มีงานวิจัยของ Thoré-Bürger ที่เป็นนักวิจารณ์งานศิลปะได้ระบุว่ามีชิ้นงานกว่า 70 ภาพเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ (ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ 34 ภาพ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของเฟอร์เมร์ก็เริ่มโด่งดังขึ้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในสมัยยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ทัดเทียมกับแรมบรันต์
ผลงานของเฟอร์เมร์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องการจัดแสง ภาพเขียนของเฟอร์เมร์ได้รับการยกย่องว่าเหมือนจริงที่สุด เหมือนกับภาพถ่ายมากที่สุด ซึ่งมาจากความประณีตในการเขียนภาพและเทคนิคการจัดแสงที่ยอดเยี่ยมของเขา จนช่างภาพในยุคหลังนิยมเอาเทคนิคการจัดแสงของเขามาใช้ในการถ่ายภาพ อย่างเช่นภาพ Girl With A Pearl Earring ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในผลงานของเขา สาวน้อยในภาพเหลียวหลังกลับมาในจังหวะที่แสงสาดมาตกกระทบทำมุมพอดีกับฉากหลังที่เป็นสีมืดทึบ ทำให้เธอโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบลุ่มหลงของผู้คนทั่วโลก
10 ผลงานชิ้นเอกของโยฮัน เฟอร์เมร์
คาราวัจโจ เป็นจิตรกรคนสำคัญในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ของอิตาลี ผลงานของเขาได้แผ่อิทธิพลต่อวงการจิตรกรรมของอิตาลีที่เป็นช่วงปลายยุคเรอเนสซองส์และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นของยุคบาโรก คาราวัจโจเกิดเมื่อปี 1571 ที่เมืองมิลาน เรียนศิลปะกับ Simone Peterzano ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Titian ศิลปินใหญ่ยุคก่อนหน้าอยู่ 4 ปี และได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคน รวมทั้ง Giorgione และ Leonardo da Vinci ซึ่งมีผลงานสำคัญอยู่ที่เมืองมิลานหลายชิ้น พออายุได้ 21 ปีเขาก็เดินทางไปกรุงโรมเพื่อหางานทำและสร้างชื่อเสียงตามวิถีของศิลปินหน้าใหม่ของอิตาลีส่วนใหญ่ในสมัยนั้น
ที่กรุงโรมตอนแรกคาราวัจโจทำงานเขียนภาพให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้วหลายคน จนถึงราวปี 1595 เขาก็ออกมาทำงานของตัวเองและเริ่มขายภาพเขียนผ่านทางตัวแทน ผลงานชั้นยอดหลายชิ้นของเขาก็เริ่มปรากฏ รวมทั้งภาพ The Cardsharps ที่ไปเข้าตาคาร์ดินัล Francesco Maria del Monte ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะ del Monte ชื่นชอบผลงานของคาราวัจโจมากและให้การสนับสนุนโดยให้คาราวัจโจไปทำงานเขียนภาพอยู่ในบ้านของเขาเอง จึงมีผลงานยอดเยี่ยมอีกหลายชิ้นทยอยกันออกมา ได้แก่ ภาพ Bacchus, The Lute Player และ Boy Bitten by a Lizard หลังจากนั้นคาราวัจโจจึงเริ่มทำงานให้กับทางศาสนจักร ผลงานในแนวศาสนาของเขากลับยิ่งโดดเด่นด้วยสไตล์และเทคนิคที่ไม่เหมือนใคร
คาราวัจโจประสบความสำเร็จกับการเขียนภาพในแนวศาสนาอย่างมาก เขาเสนอภาพที่แปลกใหม่เร้าอารมณ์สมจริง บางครั้งก็สะเทือนขวัญชนิดที่ไม่เคยมีศิลปินผู้ใดกล้าทำมาก่อน อย่างเช่นภาพ Judith Beheading Holofernes การเขียนภาพในแบบภาพสว่างในความมืดด้วยเทคนิคการให้แสงและเงาที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นเดียวกันและรุ่นหลังอีกหลายรุ่น ภาพ The Calling of Saint Matthew ที่เป็นผลงานชิ้นเอกและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของจิตรกรรมยุคบาโรก คาราวัจโจยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในแนวศาสนาอีกมากมายหลายสิบภาพ รวมทั้งภาพ Supper at Emmau และ Entombment
นิสัยส่วนตัวคาราวัจโจเป็นคนที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งมีเรื่องกับคนอื่นอยู่เสมอ ปี 1606 มีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงแล้วเขาพลั้งมือไปฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์ซึ่งตอนนั้นอยู่นอกเขตกฎหมาย คาราวัจโจสร้างผลงานอันทรงคุณค่าไว้ที่โบสถ์ในเมืองเนเปิลส์หลายชิ้น จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่มอลตาก็มีปัญหาเดิมๆอีก จึงย้ายไปอยู่ที่ซิซิลีอีกพักหนึ่งก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่เมืองเนเปิลส์อีกครั้ง แต่ละที่ที่เขาไปอยู่คาราวัจโจได้สร้างผลงานชั้นยอดเอาไว้เสมอ ถึงปี 1610 คาราวัจโจลงเรือเดินทางตั้งใจไปกรุงโรมเพื่อขออภัยโทษ แต่ระหว่างทางเขาป่วยเสียชีวิตที่เมือง Porto Ercole แคว้นทัสคานี ในวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น
10 ผลงานชิ้นเอกของคาราวัจโจ
4. ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens)
รูเบนส์ เป็นจิตรกรยุคบาโรกที่ได้รับการยกย่องว่ามีอิทธิพลมากที่สุดของเฟลมิช (เบลเยียม) สไตล์การเขียนภาพของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ลักษณะการเคลื่อนไหว สีสัน และมีชีวิตชีวา มีความเชี่ยวชาญทั้งการเขียนภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ ภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนาน รูเบนส์เกิดเมื่อปี 1577 ที่เมือง Siegen ประเทศเยอรมัน เนื่องจากครอบครัวหนีภัยการทำลายล้างทางศาสนา พอรูเบนส์อายุได้ 12 ปี หลังการตายของพ่อ 2 ปี เขาจึงกลับไปอยู่ที่เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) บ้านเกิดของพ่อ รูเบนส์เรียนศิลปะกับจิตรกรชั้นนำของเมืองแอนต์เวิร์ปหลายคน เรียนจบและเริ่มการเป็นมืออาชีพในปี 1598 ระหว่างปี 1600 – 1608 รูเบนส์พักอาศัยอยู่ในอิตาลีศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคนทั้งที่เวนิสและโรม เขาคัดลอกผลงานของศิลปินรุ่นเก่าและรับจ้างเขียนภาพไปด้วย ปี 1606 รูเบนส์มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากคือภาพ Portrait of Marchesa Brigida Spinola-Doria
ปลายปี 1608 รูเบนส์กลับมาที่เมืองแอนต์เวิร์ปและเปิดสตูดิโอของตัวเองรับงานเขียนภาพเหมือนบุคคลและเขียนภาพให้กับโบสถ์ต่างๆในเมือง ภาพเหมือนของตัวเองคู่กับภรรยา Isabella Brant ชื่อภาพ The Honeysuckle Bower ในโอกาสที่ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1609 นับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่ง ตลอดกว่า 10 ปีที่เขาเขียนภาพแนวศาสนาให้กับศาสนจักรมีผลงานชั้นยอดเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะภาพที่ฉากประดับแท่นบูชาของรูเบนส์มีความโดดเด่นมาก เช่น ภาพ The Descent from the Cross และภาพ The Elevation of the Cross เป็นต้น นอกจากนี้รูเบนส์ยังมีผลงานในแนวเรื่องจากตำนานและจากคัมภีร์ไบเบิลที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Daniel in the Lions’ Den
ระหว่างปี 1621 – 1630 รูเบนส์ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจด้านการทูต เขาต้องเดินทางไปมาหลายประเทศทั้งสเปน อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์เพื่อพยายามนำความสงบมาสู่เนเธอร์แลนด์ของสเปนและสาธารณรัฐดัตช์ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีจนได้รับตำแหน่งอัศวิน ปี 1630 หลังจากภรรยาเสียชีวิตได้ 4 ปี รูเบนส์ในวัย 53 ปีแต่งงานใหม่กับสาวน้อยวัย 16 ปี Helena Fourment และเธอผู้นี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาในการเขียนภาพชิ้นเยี่ยมอีกหลายภาพซึ่งจะออกในแนวยั่วยวนกามารมณ์แต่ก็เป็นผลงานเลื่องชื่อของเขา อย่างเช่นภาพ The Judgement of Paris และภาพ The Three Graces ช่วงบั้นปลายชีวิตรูเบนส์ซื้อที่ดินนอกเมืองแอนต์เวิร์ปและใช้เวลาอยู่ที่นั่นค่อนข้างมาก พร้อมกับเขียนภาพทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมไว้หลายภาพ รวมทั้งภาพ A View of Het Steen in the Early Morning เขาเสียชีวิตในปี 1640 ด้วยวัย 62 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของปีเตอร์ พอล รูเบนส์
5. ดิเอโก เบลัซเกซ (Diego Velázquez)
ดิเอโก เบลัซเกซ เป็นจิตรกรคนสำคัญที่สุดของสเปนในศตวรรษที่ 17 และเป็นหนึ่งในจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุโรป เขาเกิดเมื่อปี 1599 ที่เมืองเซบียา ประเทศสเปน เริ่มเรียนศิลปะเมื่ออายุ 11 ปีกับจิตรกรในเมืองเซบียาหลายคน เมื่อเรียนจบเบลัซเกซเปิดสตูดิโอเขียนภาพของตัวเองขึ้นในปี 1618 และเริ่มสร้างผลงานดีๆออกมา ภาพเขียนช่วงแรกเป็นแนววิถีชีวิตชาวบ้าน มีภาพยอดเยี่ยมหลายภาพที่โดดเด่นมากได้แก่ภาพ Old Woman Frying Eggs และ The Waterseller of Seville และเขาก็เริ่มเขียนภาพเกี่ยวกับศาสนา รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลด้วย
ปี 1622 เบลัซเกซเดินทางไปกรุงมาดริดเพื่อสร้างโอกาสในการทำงานให้ราชสำนักสเปน และในราวปี 1623 เขาก็ได้เป็นจิตรกรแห่งราชสำนักสเปน เขียนภาพของกษัตริย์และบุคคลสำคัญของราชสำนักจำนวนมาก การเป็นจิตรกรแห่งราชสำนักสเปนทำให้มีโอกาสได้เห็นภาพเขียนสำคัญที่ราชสำนักเก็บสะสมไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพของ Titian ซึ่งมีส่วนสำคัญมากต่อการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของเขา ระหว่างปี 1629 -1631 เบลัซเกซเดินทางไปศึกษาผลงานศิลปะที่อิตาลีทั้งที่เวนิสและโรม ได้ชมงานของศิลปินผู้โด่งดังหลายคน รวมทั้ง Michelangelo และ Raphael หลังจากกลับมาจากอิตาลีเขาก็มีผลงานชิ้นเยี่ยมจากแรงบันดาลใจและการเขียนภาพแบบอิตาลีหลายภาพ ที่ได้รับความนิยมมากได้แก่ภาพ The Surrender of Breda และ Apollo in the Forge of Vulcan
เบลัซเกซเดินทางไปอิตาลีอีกครั้งหนึ่งในปี 1649 เพื่อหาซื้อภาพเขียนและวัตถุโบราณล้ำค่าให้กับกษัตริย์ รวมทั้งเข้าพบพระสันตปาปา ในการเดินทางครั้งนี้เขาได้เขียนภาพสำคัญไว้หลายภาพ เช่น ภาพเหมือน Portrait of Innocent X และภาพ Rokeby Venus ปี 1656 เบลัซเกซเขียนภาพของเจ้าหญิงองค์น้อย Margaret Theresa กับสาวใช้ในภาพชื่อ Las Meninas อันเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา องค์ประกอบและบุคคลในภาพนี้ได้สร้างข้อฉงนให้เกิดการถกเถียงกันในวงวิชาการศิลปะอย่างไม่จบสิ้น เสน่ห์ของภาพนี้ยังถูกนำไปสร้างสรรค์ต่อโดยศิลปินรุ่นหลังอีกหลายคน เบลัซเกซยังคงเขียนภาพให้กับราชสำนักต่อไปและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย ปี 1560 เขาได้รับมอบหมายให้ทำการตกแต่งสถานที่แต่งงานระหว่างพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 กับเจ้าหญิง Maria Theresa ของสเปน หลังกลับมายังกรุงมาดริดเบลัซเกซล้มป่วยและเสียชีวิตในวัย 61 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของดิเอโก เบลัซเกซ
6. จีอัน โลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini)
แบร์นินี เป็นประติมากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 17 และยังเป็นสถาปนิกผู้โดดเด่นอย่างยิ่งอีกด้วย เขาคือผู้สร้างและพัฒนางานประติมากรรมสไตล์บาโรก แบร์นินีเกิดเมื่อปี 1598 ที่เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี พ่อเป็นประติมากรมากฝีมือ เขาจึงเรียนศิลปะและงานแกะสลักหินอ่อนจากพ่อตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 8 ปีครอบครัวย้ายไปอยู่ที่กรุงโรมเนื่องจากพ่อได้รับงานชิ้นใหญ่ที่นั่น เขาจึงช่วยพ่อทำงานพร้อมกับฝึกฝนพัฒนาฝีมือและศึกษาผลงานของศิลปินยุคเรอเนสซองส์รวมทั้งงานของ Michelangelo ไปด้วย ด้วยวัยเพียง 20 ปีต้นๆเท่านั้นเขาก็สร้างผลงานยอดเยี่ยมออกมามากมาย ที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่รูปปั้นหินอ่อน Apollo and Daphne และ The Rape of Proserpina
ปี 1629 แบร์นินีได้รับการแต่งตั้งเป็นสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และเขาได้สร้างผลงานที่โดดเด่นในมหาวิหารนั่นคือ St. Peter’s Baldachin ซุ้มเหนือหลุมฝังศพเซนต์ปีเตอร์ทำด้วยสำริดออกแบบเป็นเสาเกลียว 4 เสาและหลังคาในสไตล์บาโรกสวยงามอย่างยิ่ง ผลงานด้านสถาปัตยกรรมของแบร์นินีก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ที่โดดเด่นมากได้แก่งานสร้างจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ แบร์นินีได้ออกแบบแนวเสาระเบียงโค้ง St. Peter’s Colonnades เพิ่มความโอ่อ่าอลังการให้กับมหาวิหารอย่างมากจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ผลงานอีกอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับเขาไม่น้อยคืองานออกแบบน้ำพุ เขาออกแบบสร้างน้ำพุในโรมไว้หลายแห่งซึ่งล้วนงดงามตระการตาโดยเฉพาะที่ Fountain of the Four Rivers
ปี 1665 แบร์นินีถูกเชิญตัวไปทำงานให้ราชสำนักฝรั่งเศสที่กรุงปารีส แต่ด้วยแนวคิดทางศิลปะที่แตกต่างกันมากเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จที่นั่น แต่ก็ยังทิ้งผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้ชิ้นหนึ่งเป็นรูปปั้นครึ่งตัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 Bust of Louis XIV แบร์นินีสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาตลอดการทำงานที่ยาวนานกว่า 60 ปีของเขา ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็ยังมีผลงานประติมากรรมประดับหลุมฝังศพที่ยอดเยี่ยมได้แก่ Blessed Ludovica Albertoni และ Tomb of Pope Alexander แบร์นินีเสียชีวิตที่กรุงโรมในปี 1680 ในวัย 81 ปี ด้วยผลงานด้านประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเหนือใครเขาจึงถูกยกย่องเป็นไมเคิลแองเจโลแห่งศตวรรษที่ 17
10 ผลงานชิ้นเอกของจีอัน โลเรนโซ แบร์นินี
7. นีกอลา ปูแซ็ง (Nicolas Poussin)
ปูแซ็ง เป็นจิตรกรชั้นนำแห่งยุคบาโรกของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 17 ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้ที่เขียนภาพทิวทัศน์สไตล์คลาสสิคที่สวยที่สุด เขาเกิดเมื่อปี 1594 ที่เมือง Les Andelys ในแคว้นนอร์มังดี ประเทศฝรั่งเศส ถึงเขาจะมีพรสวรรค์และพยายามฝึกฝนการเขียนภาพตั้งแต่เด็ก แต่เขาไม่มีโอกาสได้เรียนกับศิลปินชื่อดัง อีกทั้งพ่อแม่ก็ไม่สนับสนุน พออายุได้ 18 ปีเขาจึงหนีไปอยู่กรุงปารีส ปูแซ็งทำงานเป็นผู้ช่วยเขียนภาพในสตูดิโอของจิตรกรที่ปารีสหลายคน ส่วนใหญ่อยู่ได้ไม่นานต้องเปลี่ยนที่ทำงานไปเรื่อยเพราะยังไม่เจอกับสไตล์การเขียนภาพที่เขาชอบ จนมีโอกาสได้เห็นผลงานของศิลปินอิตาลีหลายคนจากภาพที่เก็บสะสมไว้ในราชสำนักซึ่งเขาชื่นชอบมาก เขาจึงพยายามไปกรุงโรมตั้งแต่ปี 1617 แต่ต้องเจอกับอุปสรรคไปไม่ถึงโรมอยู่หลายครั้ง แต่ในที่สุดเขาก็ไปถึงโรมจนได้ในปี 1624
ที่กรุงโรมปูแซ็งได้ศึกษาผลงานของศิลปินดังมากมาย รวมทั้ง Raphael ที่เขาชื่นชอบเป็นพิเศษและมีอิทธิพลต่องานของเขามากที่สุด ปี 1628 ปูแซ็งเริ่มสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมในภาพ The Death of Germanicus ตามมาด้วยภาพ The Inspiration of the Poet ในปีถัดมา เขาจึงเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือ งานจ้างเขียนภาพก็เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว ผลงานชั้นยอดก็ทยอยตามมาเป็นจำนวนมาก แม้ว่าช่วงนั้นการเขียนภาพสไตล์บาโรกจะได้รับความนิยมกันมากแล้วก็ตาม แต่ปูแซ็งยังชอบการเขียนแนวคลาสสิคมากกว่า ภาพเขียนของเขามีทั้งแนวศาสนา เรื่องจากตำนาน และเรื่องจากบทกวี ผลงานที่โดดเด่นมากๆคือภาพ Et in Arcadia ego และภาพ A Dance to the Music of Time รวมทั้งภาพเขียนชุดพิธีทางศาสนา 7 ภาพในชื่อชุด The Seven Sacraments
ปลายปี 1640 ปูแซ็งได้รับเชิญให้กลับปารีสเพื่อรับตำแหน่งจิตรกรเอกของกษัตริย์ เขาทำงานในหน้าที่ดังกล่าวได้ไม่ถึง 2 ปีก็กลับไปอยู่ที่โรมอย่างถาวรเพราะไม่ชอบระบบการทำงานของราชสำนักที่ทำให้เขาไม่ค่อยเป็นอิสระและไม่ได้ใช้พลังการสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ ในทศวรรษต่อมาปูแซ็งเขียนภาพทิวทัศน์ในจินตนาการประกอบเรื่องราวต่างๆมากขึ้นและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมาย อย่างเช่นภาพ Landscape with a Calm และภาพ Landscape with the Ashes of Phocion ระหว่างปี 1660 – 1664 เขาได้เขียนภาพชุด The Four Seasons ที่ประกอบด้วยภาพ 4 ภาพแสดงบรรยากาศคนละช่วงเวลาของวันใน 4 ฤดู เป็นผลงานที่งดงามอย่างยิ่งโดยเฉพาะภาพ Autumn และภาพ Summer ปูแซ็งเสียชีวิตที่กรุงโรมในปี 1665 ด้วยวัย 71 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของนีกอลา ปูแซ็ง
8. อาร์เตมีเซีย เจนตีเลสกี (Artemisia Gentileschi)
เจนตีเลสกี เป็นจิตรกรผู้หญิงหนึ่งเดียวแห่งยุคบาโรกที่มีความสามารถและชื่อเสียงทัดเทียมกับจิตรกรชายชั้นนำในยุคเดียวกัน เธอเกิดในปี 1593 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นลูกของจิตรกรที่พอจะมีชื่อเสียงผู้ซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานของ Caravaggio และสิ่งนั้นได้ถ่ายทอดต่อไปยังลูกสาวผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์ในการเขียนภาพ อายุแค่ 17 ปีเจนตีเลสกีก็เริ่มสร้างความฮือฮาด้วยภาพเขียนแรกของเธอคือภาพ Susanna and the Elders ตามมาด้วยภาพ Danae แต่น่าเศร้าใจที่เธอถูกข่มขืนโดยอาจารย์ผู้สอนศิลปะของเธอเอง เมื่อเธอฟ้องศาลเธอยังถูกทรมานเพื่อป้องกันการแจ้งความเท็จ หลังจากชนะคดีเธอได้แต่งงานกับศิลปินผู้หนึ่งและย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์บ้านเกิดของสามีพร้อมกับสร้างผลงานจนมีชื่อเสียงโด่งดัง
เจนตีเลสกีเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะแห่งฟลอเรนซ์ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นจำนวนมากมาย โดยเฉพาะภาพ Judith Slaying Holofernes ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเธอ ภาพนี้ได้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนมากจนหลายคนคิดว่าเธอเขียนภาพนี้ด้วยพลังแห่งความแค้นที่มีต่ออาจารย์ผู้ข่มขืนเธอ ปี 1621 เจนตีเลสกีกลับไปอยู่ที่กรุงโรมหลังจากมีปัญหากับสามีที่ใช้จ่ายเกินตัว และที่โรมเธอสร้างผลงานชั้นยอดอีกมากมายรวมทั้งภาพ Judith and Her Maidservant, ภาพ Venus and Cupid (Sleeping Venus) และภาพ Esther and Ahasuerus
ปี 1630 เจนตีเลสกีย้ายไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์และอยู่ที่นั่นไปจนตลอดชีวิต เธอยังคงสร้างผลงานชั้นยอดต่อไปและยังได้เขียนภาพอีกแนวหนึ่งให้กับวิหารในเมืองอย่างเช่นภาพ The Birth of Saint John the Baptist ปี 1638 เจนตีเลสกีไปทำงานให้กับราชสำนักอังกฤษที่กรุงลอนดอนร่วมกับพ่อและมีผลงานชิ้นเยี่ยมเป็นภาพเหมือนตัวเองคือภาพ Self-Portrait as the Allegory of Painting ซึ่งเป็นภาพที่ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงพลังความสามารถของผู้หญิงผ่านทางการเป็นจิตรกร เธอกลับมาอยู่ที่เนเปิลส์ตอนเริ่มเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษในปี 1642 และเสียชีวิตตอนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่พรากชีวิตศิลปินชาวเนเปิลส์ไปเกือบหมดเมื่อราวปี 1656
10 ผลงานชิ้นเอกของอาร์เตมีเซีย เจนตีเลสกี
9. อันโตน ฟัน ไดก์ (Antoon van Dyck)
ฟัน ไดก์ เป็นศิลปินยุคบาโรกที่โดดเด่นของเฟลมิช (เบลเยียม) ผู้ซึ่งได้กลายเป็นจิตรกรเอกแห่งราชสำนักอังกฤษ และยังเป็นผู้ริเริ่มคนสำคัญในเรื่องการใช้สีน้ำและการทำภาพพิมพ์กัดกรด (Etching) เขาเกิดเมื่อปี 1599 ที่เมืองแอนต์เวิร์ปในครอบครัวที่มั่งคั่ง ฟัน ไดก์เรียนศิลปะกับจิตรกรในเมืองบ้านเกิด เขามีพรสวรรค์และพัฒนาการทางศิลปะสูงมาก อายุแค่ 16 ปีก็เปิดสตูดิโอเขียนภาพของตัวเองและได้รับการยอมรับเป็นศิลปินอาชีพก่อนอายุครบ 19 ปี เขาทำงานเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ Peter Paul Rubens ศิลปินชาติเดียวกันที่กำลังดังสุดขีดอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปทำงานให้กับราชสำนักอังกฤษที่กรุงลอนดอนในปี 1620 ที่นี่เขาได้เห็นผลงานของ Titian ซึ่งมีส่วนในการพัฒนาการเขียนภาพของเขา
ปี 1621 เขาไปปักหลักอยู่ที่เมืองเจนัวรับงานเขียนภาพและเดินทางไปยังหลายเมืองในอิตาลีเพื่อศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครู ฟัน ไดก์เขียนภาพในหลากหลายแนวทั้งเรื่องจากพระคัมภีร์ เรื่องจากตำนาน แต่งานที่โดดเด่นของเขาคือการเขียนภาพเหมือนบุคคล ตลอดกว่า 10 ปีที่อยู่ในอิตาลีเขาเขียนภาพเหมือนจำนวนมากซึ่งล้วนเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะภาพ Marchesa Elena Grimaldi สวยงามน่าประทับใจมาก จนถึงปี 1632 ฟัน ไดก์ที่ยังคงติดต่อกับราชสำนักอังกฤษอยู่เสมอได้กลับไปเขียนภาพให้กับราชสำนักอังกฤษอีกครั้ง และคราวนี้ทำให้เขาขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิตการเป็นจิตรกร
ฟัน ไดก์เขียนภาพของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ซึ่งมีส่วนสูงไม่ถึง 150 ซม.ได้อย่างองอาจสง่างาม หลังจากนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เขียนภาพของพระองค์ และภาพเหมือนของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ก็กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา อย่างเช่นภาพ Charles I at the Hunt และภาพ Charles I in Three Positions ที่เขียนเพื่อเป็นต้นแบบให้ Gian Lorenzo Bernini สร้างรูปปั้นครึ่งตัวให้กับพระองค์ ฟัน ไดก์เขียนภาพเหมือนของกษัตริย์และราชนิกุลจำนวนมากด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายแต่งามสง่า อย่างเช่นภาพ Portrait of Lord John Stuart and his brother Lord Bernard Stuart จนกลายเป็นต้นแบบและมีอิทธิพลในอังกฤษนานถึง 150 ปี ฟัน ไดก์ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินและได้รับโซ่ทองพระราชทานซึ่งเขาแสดงไว้ในภาพเหมือนตัวเอง Self-portrait with a Sunflower เขาเสียชีวิตที่กรุงลอนดอนในปี 1641 ด้วยวัย 42 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของอันโตน ฟัน ไดก์
10. อันนิบาเล คารัคชี (Annibale Carracci)
คารัคชี เป็นจิตรกรผู้มีความเชี่ยวชาญในการเขียนจิตรกรรมฝาผนัง ผลงานของเขาถือเป็นรากเหง้าและแรงขับเคลื่อนสำคัญของการเขียนภาพสไตล์บาโรก เขาเกิดเมื่อปี 1560 ที่เมืองโบโลญญา (Bologna) ประเทศอิตาลี คารัคชีฝึกการเขียนภาพกับญาติที่เป็นจิตรกรและเดินทางไปทั่วอิตาลีเพื่อศึกษาผลงานของศิลปินรุ่นก่อนและนำมาพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเอง เขาสร้างสรรค์แนวทางใหม่ที่พลิกโฉมวงการภาพเขียนในอิตาลี ผลงานในวัย 20 – 30 ปีมีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นและแตกต่างจากศิลปินอื่นทั้งสไตล์การเขียนและเรื่องราวที่นำเสนอ อย่างเช่นภาพ The Beaneater, The Butcher’s Shop และภาพ Two Children Teasing a Cat
ปี 1597 – 1608 คารัคชีสร้างผลงานชิ้นใหญ่เขียนภาพปูนเปียก (Fresco) บนหลังคาโค้งของห้องโถงใหญ่ในพระราชวัง Palazzo Farnese ที่กรุงโรมเป็นภาพชุด The Loves of the Gods ที่ประกอบด้วยภาพย่อยนับร้อยภาพ ผลงานชิ้นนี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นภาพเขียนปูนเปียกที่ยอดเยี่ยมที่สุดในศตวรรษที่ 17 นอกจากนี้คารัคชียังมีผลงานในแนวศาสนาที่โดดเด่นอีกมากมาย รวมทั้งภาพ Assumption of the Virgin, ภาพ Lord, whither goest thou? และภาพ The Dead Christ Mourned (‘The Three Maries’)
คารัคชีเขียนภาพที่เป็นเรื่องจากตำนานได้อย่างยอดเยี่ยมเช่นกัน ภาพ Venus, Adonis, and Cupid และภาพ Venus with a Satyr and Cupids เป็นภาพที่เขาเขียนได้อย่างงดงามมีชีวิตชีวา ภาพทิวทัศน์ก็เป็นอีกแนวหนึ่งที่คารัคชีทำได้ดี โดยเฉพาะภาพ River Landscape ถือว่าโดดเด่นเป็นพิเศษ เขาเสียชีวิตในปี 1609 ที่กรุงโรมด้วยวัย 48 ปี แม้ว่าชื่อเสียงของเขาอาจจะถูกบดบังด้วยความโด่งดังของ Caravaggio ไปบ้าง แต่ผลงานของเขากลับมีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นถัดมาอย่างลึกซึ้ง Peter Paul Rubens, Gian Lorenzo Bernini และ Nicolas Poussin ล้วนเป็นหนี้บุญคุณเขาทั้งสิ้น
10 ผลงานชิ้นเอกของอันนิบาเล คารัคชี
ข้อมูลและภาพจาก ranker, timeout, wikipedia, biography