1. วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh)
แวนโก๊ะเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความงดงาม เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และมีสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงของเขากลับหม่นหมองทุกข์ระทม เขาเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 1853 เป็นเด็กที่เคร่งขรึมจริงจังและคิดมาก เขาต้องทำงานหลายอย่างตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะหันมาสนใจและเริ่มต้นเขียนภาพในวัย 27 ปี และในปี 1885 เขาก็มีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือ The Potato Eaters
ปี 1886 แวนโก๊ะย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสที่ซึ่งเขาได้เรียนรู้เทคนิคและแนวทางใหม่ในการเขียนภาพ ได้พบกับศิลปินยุคนั้นหลายคนรวมทั้งปอล โกแก็ง เขาได้พัฒนาฝีมือในการเขียนภาพและสร้างแนวทางของตัวเองที่มีสีสันสดใสขึ้น ต่อมาในปี 1888 เขาย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เมือง Arles และ Saint-Rémy ที่อยู่ใกล้กัน สองปีที่นี่เป็นจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะ เขาสร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น Sunflowers, Café Terrace at Night, Irises รวมทั้งผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา The Starry Night
แวนโก๊ะต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและอาการโรคจิตผิดปกติ เขาไม่ค่อยใส่ใจต่อสุขภาพ ไม่ค่อยกินอาหารแต่ดื่มจัด เคยคลุ้มคลั่งถึงขั้นใช้มีดโกนตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเอง จนในที่สุดเขาก็จบชีวิตด้วยการยิงตัวเองเมื่อปี 1890 ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี
แวนโก๊ะเหมือนเป็นผู้แพ้ตลอดมา ชีวิตล้มเหลว ถูกประนามว่าเป็นคนบ้า แต่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปีของการเป็นจิตรกร เขามีผลงานภาพเขียนกว่า 800 ภาพ แม้ว่าตลอดชีวิตเขาจะขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียว คนซื้อยังเป็นเพื่อนศิลปินของเขาเอง แต่จากฝีแปรงที่หยาบและหนาไม่เหมือนใครกลับถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หลังจากเขาเสียชีวิตภาพเขียนของเขากลับโด่งดังเป็นที่ต้องการ แต่ละภาพถูกซื้อขายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว
10 ผลงานชิ้นเอกของวินเซนต์ แวนโก๊ะ
มอแน เป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ เป็นจิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1840 แต่ไปเติบโตและเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์ ในนอร์ม็องดีทางเหนือของฝรั่งเศส จนอายุ 19 ปีจึงได้มาล่าฝันการเป็นศิลปินต่อในกรุงปารีส ได้เรียนศิลปะเพิ่มและได้พบกับศิลปินที่มีความคิดต่อศิลปะแนวใหม่คล้ายๆกันหลายคน รวมทั้งเอดัวร์ มาแน และปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ ในปี 1865 มอแนได้พบกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้และต่อมาได้เป็นภรรยาคนแรกของเขา มอแนเขียนภาพที่มี Camille อยู่ในภาพด้วยจำนวนมาก ที่โดดเด่นได้แก่ Camille (The Woman in the Green Dress), Women in the Garden, Woman with a Parasol
มอแนกับเพื่อนหลายคนช่วยกันผลักดันภาพเขียนแนวใหม่จนได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกในกรุงปารีสเมื่อปี 1874 มอแนใช้ภาพ ‘Impression, Sunrise’ เป็นภาพหนึ่งในการจัดแสดงซึ่งต่อมาชื่อภาพถูกนำไปใช้เรียกศิลปะแนวใหม่ว่าอิมเพรสชันนิสม์ แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและยังถูกต่อต้านจากกลุ่มนิยมศิลปะดั้งเดิม ทำให้มอแนต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นยาวนานถึง 20 ปี
ปี 1883 มอแนย้ายไปอยู่ที่เมืองจิแวร์นีย์ ในนอร์ม็องดี และทำสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่เขียนภาพไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต ภาพชุด Water Lilies ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เขียนจากสวนหลังบ้านของเขาเอง ช่วงหลังมอแนนิยมเขียนภาพชุดที่มีองค์ประกอบเดียวกันแต่ต่างมุมมอง ต่างเวลา ต่างสภาวะอากาศและแสงสี เกิดเป็นภาพชุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น ชุด Rouen Cathedral, ชุด Poplars, ชุด Haystacks มอแนเสียชีวิตเมื่อปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยความ ‘ประทับใจ’ มากมาย
10 ผลงานชิ้นเอกของโกลด มอแน
3. ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)
เรอนัวร์เป็นหนึ่งในผู้สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญของการใช้สีสันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าให้รายละเอียดที่เหมือนจริง งานของเรอนัวร์จะใช้สีสดใสมีชีวิตชีวา เน้นความสวยงามและเสน่ห์ของผู้หญิง เรอนัวร์เกิดในปี 1841 ที่เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส แต่มาเติบโตที่กรุงปารีส เรียนศิลปะรุ่นเดียวกับโกลด มอแน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนภาพจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนรวมทั้ง เอดัวร์ มาแน
เรอนัวร์มีผลงานเข้าร่วมในนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ในปี 1877 ที่เขาส่ง Dance at Le Moulin de la Galette ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขาเข้าร่วมด้วย แต่เขามาประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินยอดนิยมด้วยภาพ Madame Georges Charpentier and Her Children ที่ได้จัดแสดงในปี 1879 เรอนัวร์แต่งงานกับ Aline Charigot ผู้เป็นนางแบบให้ในภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers
ราวปี 1892 เรอนัวร์เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้ สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เขาเสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์
4. แอดการ์ เดอกา (Edgar Degas)
แอดการ์ เดอกา เป็นศิลปินผู้โดดเด่นในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และช่างภาพพิมพ์คนสำคัญของฝรั่งเศส เดอกาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1834 เขาชอบการเขียนภาพตั้งแต่เด็กแต่ต้องเข้าเรียนวิชากฎหมายตามความต้องการของพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts ปี 1856 เดอกาเดินทางไปอิตาลีศึกษาและคัดลอกภาพเขียนของศิลปินชั้นครูยุคเรอเนสซองส์หลายคนรวมทั้ง Michelangelo, Raphael และ Titian เขาฝึกฝีมืออยู่ที่อิตาลีถึง 3 ปีและยังคัดลอกภาพในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกหลายปี ทำให้เขามีฝีมือการเขียนลายเส้นที่สวยงามที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในอิตาลีเขาได้เริ่มต้นสร้างภาพเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกคือภาพ Portrait of the Bellelli Family
เดอกากลับปารีสในปี 1859 และเริ่มสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์อยู่หลายปีก่อนจะเปลี่ยนแนวหลังจากได้เจอกับ Édouard Manet ปี 1864 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกาอยู่พักหนึ่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นทหารเกณฑ์ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ที่นั่นเขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยม A Cotton Office in New Orleans แม้เดอกาจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่เขาไม่เขียนภาพกลางแจ้งเหมือนศิลปินคนอื่น เขาชอบเขียนภาพในสตูดิโอและชอบเขียนภาพนักเต้นบัลเลต์เป็นพิเศษ ผลงานของเขากว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพนักเต้นที่มีลายเส้นและท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผลงานชิ้นเยี่ยมในบรรดาภาพเหล่านี้ได้แก่ภาพ The Ballet Class, Ballet Rehearsal และ The Dance Class
เดอกาชอบเขียนภาพบรรยากาศในคาเฟ่ เขามีผลงานชั้นยอดที่เป็นทั้งภาพนักร้องในคาเฟ่และผู้ที่มาดื่มกินจำนวนมาก ภาพ In a Café (The Absinthe Drinker) เป็นหนึ่งในภาพที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เดอกายังชอบเขียนภาพนู้ดผู้หญิงในหลากหลายอิริยาบถ, ภาพบรรยากาศในสนามแข่งม้า รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลด้วย นอกจากงานเขียนภาพแล้วเขายังมีผลงานด้านประติมากรรมที่มีความโดดเด่นเช่นกัน เดอกาผู้ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรคลาสสิกแต่วาดภาพสมัยใหม่เสียชีวิตในปี 1917 ด้วยวัย 83 ปี โดยไม่ได้แต่งงานกับใครแม้จะมีความใกล้ชิดกับผู้หญิงหลายคน เขาทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด
10 ผลงานชิ้นเอกของแอดการ์ เดอกา
5. เอดัวร์ มาแน (Édouard Manet)
เอดัวร์ มาแน เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนแรกๆที่ฉีกแนวการเขียนภาพแบบดั้งเดิมมาเป็นการเขียนภาพชีวิตสมัยใหม่ เป็นคนสำคัญในการเปลี่ยนจากศิลปะแบบสัจนิยมมาเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเกิดเมื่อปี 1832 ที่กรุงปารีส มาแนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กแต่พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายเหมือนตัวเองจึงต้องเรียนตามใจพ่อ กว่าจะได้เริ่มเรียนศิลปะจริงจังก็ตอนอายุได้ 18 ปีแล้ว เขาเรียนเขียนภาพกับ Thomas Couture นาน 6 ปี พอมีเวลาว่างเขาก็ไปคัดลอกภาพเขียนชื่อดังในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ระหว่างปี 1853-1856 เดินทางไปในเยอรมัน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินเลื่องชื่อ ก่อนจะกลับมาเป็นจิตรกรมืออาชีพที่ปารีสในปี 1856
มาแนเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพแบบสัจนิยมเป็นหลัก มีการเขียนภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนานบ้างเล็กน้อย เขาค่อยๆพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นแบบฉบับของตัว จนถึงปี 1862 จึงได้เขียนภาพสำคัญชิ้นแรกคือภาพ Music in the Tuileries ปีต่อมาเขาสร้างผลงานชิ้นเอก 2 ภาพคือภาพ Luncheon on the Grass และ Olympia ซึ่งทั้งสองภาพได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงกันอย่างมาก เพราะบรรดานักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญศิลปะรุ่นเก่ายังรับการนำเสนอแบบใหม่ในงานของเขาไม่ได้ แต่ต่อมาทั้งสองภาพนี้กลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของเขาและยังเป็นต้นธารแห่งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำเนิดโดยกลุ่มศิลปินรุ่นหลังที่เป็นเพื่อนของเขาหลายคน รวมทั้ง Claude Monet และครอบครัวที่เขาใช้เป็นแบบในภาพเขียนชั้นยอดของเขาหลายภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพ Boating
มาแนชอบเขียนภาพที่มีฉากหลังเป็นภูมิทัศน์เมืองปารีส ภาพ The Railway เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ได้รับการชื่นชอบมาก เขาเขียนภาพเหมือนได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นภาพ Berthe Morisot with a Bouquet of Violets มาแนมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์อยู่ราว 20 ปี ซึ่งเขาได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้จำนวนมาก ภาพเขียนสำคัญชิ้นสุดท้ายของเขาคือภาพ A Bar at the Folies-Bergère ซึ่งเขียนเสร็จในปี 1882 หลังจากนั้นเขาจะเขียนแต่ภาพขนาดเล็กพวกภาพเหมือนและภาพดอกไม้ในแจกัน มาแนเสียชีวิตในปี 1883 ด้วยวัย 51 ปี ผลงานการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพแบบใหม่ของเขาถือเป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมานำไปใช้สร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่
10 ผลงานชิ้นเอกของเอดัวร์ มาแน
ปอล เซซาน เป็นจิตรกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้วางรากฐานแนวคิดสู่ศิลปะสมัยใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษที่ 20 เซซานเกิดเมื่อปี 1839 ที่เมือง Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส หลังจากต้องเรียนกฎหมายตามความต้องการของพ่อที่เป็นนายธนาคารอยู่นาน ปี 1861 เขาจึงได้โอกาสไปเรียนศิลปะที่กรุงปารีสและได้รู้จักคลุกคลีอยู่กับกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน โดยเฉพาะ Camille Pissarro ที่สอนการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์แก่เขาและยังได้เขียนภาพด้วยกันอยู่หลายปี เซซานจึงเปลี่ยนแนวจากการใช้สีมืดทึบในช่วงแรกๆมาเป็นสีสว่างสดใสขึ้น ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The House of Hanged Man, ภาพ L’Estaque, Melting Snow และภาพ A Modern Olympia
ต้นทศวรรษ 1880 เซซานย้ายไปอยู่ที่ Provence ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire มาก หากใครได้ดูภาพทิวทัศน์ภูเขาลูกนี้ที่เขาเขียนไว้ทั้งหมดหลายสิบภาพก็จะเห็นพัฒนาการในสไตล์การเขียนภาพของเขาได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าภาพ Montagne Sainte-Victoire เป็นผลงานได้รับการยกย่องในลำดับต้นๆ นอกจากนี้เซซานยังมีผลงานการเขียนภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเองอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Boy in the Red Vest และ Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair เป็นต้น
หลังจากปี 1990 เซซานต้องประสบกับปัญหาในชีวิตหลายอย่าง เขาเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งแยกกันอยู่กับภรรยา แต่เขายังคงทำงานเขียนภาพอย่างต่อเนื่องผลิตผลงานชั้นยอดออกมามากมาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแนวคิดและสไตล์สู่ความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ผลงานระดับสุดยอดของเขาก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างเช่นภาพ The Card Players และ The Bathers รวมทั้งภาพหุ่นนิ่งที่มักมีลูกแอปเปิลเป็นองค์ประกอบหลักที่เขาเขียนไว้หลายสิบภาพด้วยกัน เซซานเสียชีวิตในปี 1906 ขณะมีอายุ 67 ปี ทิ้งมรดกเป็นผลงานภาพเขียนมากกว่า 1,000 ภาพ ผลงานของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างลัทธิประทับใจกับลัทธิคิวบิสม์ หลายคนให้การยกย่องเขาเป็น “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่”
10 ผลงานชิ้นเอกของปอล เซซาน
ปอล โกแก็ง เป็นศิลปินคนสำคัญอีกคนหนึ่งในลัทธิประทับใจยุคหลังชาวฝรั่งเศส เขาได้พัฒนาการเขียนภาพแนวใหม่หลุดพ้นจากความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ปูทางสู่ศิลปะสมัยใหม่ โกแก็งเกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีส เขาไม่เคยเรียนศิลปะที่สถาบันใดมาก่อนแต่ชอบเขียนภาพ เริ่มจากยามว่างจากงานในอาชีพนายหน้าค้าหุ้นและจริงจังมากขึ้นจนกระทั่งหันมาเขียนภาพอย่างเดียวตั้งแต่ปี 1882 โกแก็งเป็นเพื่อนกับศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน เขาเขียนภาพด้วยกันกับ Camille Pissarro, Paul Cézanne และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Vincent van Gogh ผู้ที่ชื่นชอบเขาเป็นพิเศษและได้เขียนภาพด้วยกันที่เมือง Arles ซึ่งเป็นที่มาของภาพดัง The Painter of Sunflowers และเหตุการณ์เฉือนใบหูตัวเองของ van Gogh
โกแก็งเริ่มเขียนภาพในแนวอิมเพรสชั่นนิสม์แต่เขาได้พัฒนาสไตล์จนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ภาพ Vision After the Sermon ในปี 1888 เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา ตามมาด้วยภาพ The Yellow Christ ในปีถัดมา ปี 1891 เขาออกเดินทางล่าฝันหนีจากดินแดนแห่งประเพณีนิยมและจอมปลอมอย่างกรุงปารีสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะตาฮิติ ที่นั่นเขาได้เขียนภาพทิวทัศน์ของเกาะและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตาฮิติในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมามากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Tahitian Women on the Beach, Hail Mary รวมทั้งภาพ When Will You Marry? ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
หลังจากกลับมากรุงปารีสในปี 1893 โกแก็งยังคงเขียนภาพชีวิตชาวตาฮิตาต่อไป อย่างเช่นภาพ Day of the God แต่เขาอยู่ที่ปารีสได้อีกไม่นานเพราะเขารักชีวิตการเป็นชาวเกาะเสียแล้ว ปี 1895 เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เกาะตาฮิติอย่างถาวร พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Where Do We Come From? What Are We? Where Are We Going? และภาพ O Taiti (Nevermore) ช่วงบั้นปลายชีวิตโกแก็งย้ายไปพักอาศัยอยู่อย่างสงบในบ้านหลังเล็กๆที่เกาะ Marquesas อันห่างไกล เขาเสียชีวิตในปี 1903 ด้วยวัย 56 ปี หลังจากที่เขาจากไปชื่อเสียงกลับยิ่งเพิ่มพูนและผลงานของเขามีอิทธิพลต่อศิลปินสมัยใหม่รุ่นหลังจำนวนมาก รวมทั้ง Pablo Picasso และ Henri Matisse
10 ผลงานชิ้นเอกของปอล โกแก็ง
8. กามีย์ ปีซาโร (Camille Pissarro)
กามีย์ ปีซาโร เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสผู้มีส่วนสำคัญต่อการกำเนิดและพัฒนาการของลัทธิประทับใจทั้งยุคแรกและยุคหลัง ปีซาโรเกิดเมื่อปี 1830 ที่เกาะ St Thomas ในทะเลแคริบเบียน พออายุได้ 12 ปีพ่อส่งเขามาเรียนที่กรุงปารีสหวังให้เขาสานต่อธุรกิจของครอบครัวแต่ตัวเขาชอบศิลปะ ตอนอายุ 21 ปีหลังกลับมาทำงานช่วยครอบครัวได้ 5 ปี ปีซาโรไปฝึกเขียนภาพกับ Fritz Melbye ศิลปินชาวเดนมาร์กที่เวเนซุเอลานาน 2 ปีก่อนจะไปเรียนต่อที่ปารีสกับศิลปินดังอีกหลายคน รวมทั้ง Gustave Courbet และ Jean-Baptiste-Camille Corot ในช่วงนี้ปีซาโรชอบเขียนภาพกลางแจ้งส่วนใหญ่เป็นภาพทิวทัศน์ในชนบท มีผลงานเด่นอย่างเช่นภาพ Landscape with Farmhouses and Palm Trees
ต่อมาปีซาโรได้รู้จักสนิทสนมกับพวกศิลปินหนุ่มไฟแรงผู้มีแนวคิดใหม่ไม่ยึดขนบดั้งเดิมหลายคน ส่วนใหญ่ถูกปฏิเสธไม่ได้แสดงผลงานในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon จึงได้รวมตัวกันจัดนิทรรศการศิลปะกันเอง กลายเป็นหัวขบวนของศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ ปีซาโรเป็นพี่ใหญ่ของกลุ่มที่รุ่นน้องๆนับถือ เพราะนอกจากเขาจะมีอายุมากกว่าพวกรุ่นน้องเป็นสิบปี เขายังมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีกับทุกคน เป็นคนมีน้ำใจชอบแบ่งปัน ช่วยสอนเทคนิคใหม่ๆให้กับรุ่นน้องหลายคน รวมทั้ง Paul Cézanne และ Paul Gauguin ที่นับถือเขาเป็นทั้งเพื่อนและครู ปีซาโรเป็นคนเดียวที่ส่งผลงานเข้าร่วมแสดงทุกครั้งในนิทรรศการของกลุ่มที่จัดขึ้นทั้งหมด 8 ครั้ง ผลงานที่โดดเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The Hermitage at Pontoise, Road to Versailles at Louveciennes (The Snow Effect) และ In the Garden of Les Mathurins at Pontoise
ในช่วงทศวรรษ 1880 ปีซาโรเริ่มพัฒนาวิธีเขียนภาพแนวใหม่ รวมทั้งหันไปเขียนภาพชีวิตชาวชนบท และยังได้ศึกษาเทคนิคการเขียนภาพโดยใช้จุดสีเล็กๆที่เรียกว่า Pointillism กลายเป็นศิลปะแนวใหม่ที่เรียกกันว่า Neo-impressionism มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากมายอย่างเช่นภาพ Hay Harvest at Eragny และ Haymaking, Éragny แต่ในทศวรรษต่อมาเขากลับไปใช้แนวทางแบบเก่าและเปลี่ยนไปเขียนภาพทิวทัศน์ของเมืองใหญ่แทนซึ่งเขาก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ผลงานชิ้นเอกในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Pont Boieldieu in Rouen, Rainy Weather, ภาพ Boulevard Monmartre in Paris และภาพ The Pont-Neuf เป็นต้น ปีซาโรเสียชีวิตที่กรุงปารีสเมื่อปี 1903 มีอายุ 73 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของกามีย์ ปีซาโร
9. กุสตาฟ กายบอตต์ (Gustave Caillebotte)
กุสตาฟ กายบอตต์ เป็นจิตรกรและนักสะสมศิลปะชาวฝรั่งเศสหนึ่งในสมาชิกคนสำคัญของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ กายบอตต์เกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีสในครอบครัวมั่งคั่ง เขาเรียนจบด้านกฎหมายและวิศวกรรมแต่ชอบการเขียนภาพจึงเข้าเรียนที่สถาบัน École des Beaux-Arts และเรียนกับจิตรกรคนอื่นด้วย กายบอตต์ได้รู้จักกับศิลปินในกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคนและได้ส่งภาพเขียนแสดงในงานนิทรรศการของกลุ่มครั้งที่สองรวม 8 ภาพ หนึ่งในนั้นเป็นผลงานชิ้นเอกชิ้นแรกของเขาคือภาพ The Floor Scrapers จากนั้นเขาได้ร่วมแสดงภาพและเป็นผู้สนับสนุนการจัดนิทรรศการของกลุ่มอีกหลายครั้ง
ภาพเขียนของกายบอตต์เป็นสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ที่มีความเป็นสัจนิยม (Realism) มากกว่าศิลปินคนอื่นในกลุ่ม ผลงานการเขียนภาพบรรยากาศและทิวทัศน์ของเมืองปารีสยอดเยี่ยมมาก โดยเฉพาะภาพ Paris Street; Rainy Day, ภาพ The Europe Bridge และภาพ Rooftops in the Snow (snow effect) ภาพในแนวชีวิตประจำวันก็โดดเด่นมากเช่นกัน อย่างเช่นภาพ Young Man at His Window, The Orange Trees หรือภาพ Gardeners เป็นต้น นอกจากเขียนภาพเองกายบอตต์ยังเป็นนักสะสมภาพเขียน เขาซื้อภาพเขียนของเพื่อนศิลปินในกลุ่มด้วยราคาสูงไว้จำนวนมาก ถือเป็นผู้สนับสนุนคนสำคัญของกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์
หลังจากที่เขาเสียชีวิตเมื่อปี 1894 ในวัย 45 ปี กายบอตต์มีพินัยกรรมยกภาพเขียนที่เขาสะสมไว้ซึ่งเป็นผลงานของสุดยอดศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคนจำนวน 68 ภาพให้แก่รัฐบาลฝรั่งเศสโดยกำหนดว่าต้องจัดแสดงอยู่ที่พระราชวังลักเซมเบิร์ก แต่รัฐบาลไม่ยอมรับเพราะในเวลานั้นศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ยังไม่ค่อยเป็นที่ยอมรับ ต้องมีการเจรจากันหลายครั้งกว่าจะจำใจรับไว้อย่างไม่เต็มใจ แต่ภายหลังภาพเขียนเหล่านั้นกลับกลายเป็นสมบัติอันล้ำค่าของชาติ กายบอตต์ไม่เคยขายภาพเขียนของตัวเองเพราะเป็นคนรวยมาก (จากมรดก) อยู่แล้ว ผลงานของเขาจึงถูกลืมไปนานมากจนกระทั่งถึงทศวรรษ 1950 ลูกหลานเริ่มนำภาพเขียนของเขาออกขาย ผลงานของเขาจึงเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจนถึงปัจจุบัน
10 ผลงานชิ้นเอกของกุสตาฟ กายบอตต์
10. ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา (Georges-Pierre Seurat)
ฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้คิดค้นเทคนิคการเขียนภาพแบบผสานจุดสี (Pointillism) ผลงานของเขานำไปสู่การเปลี่ยนทิศทางของศิลปะสมัยใหม่ เซอราเกิดเมื่อปี 1859 ที่กรุงปารีส เขาเริ่มเรียนศิลปะที่โรงเรียนใกล้บ้านอยู่ 3 ปี จากนั้นในปี 1878 จึงไปเข้าเรียนที่สถาบัน École des Beaux-Arts ซึ่งสอนศิลปะแบบดั้งเดิม แต่เขาเป็นพวกหัวคิดก้าวหน้าจึงเรียนอยู่ได้ไม่นานนักก็ออกมาศึกษาต่อด้วยตัวเอง เซอราศึกษาทฤษฎีสีและจิตวิทยาการรับรู้และมองเห็นของมนุษย์ รวมทั้งได้รับอิทธิพลการเขียนภาพสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์จาก Claude Monet และ Camille Pissarro ถึงปี 1884 เขาก็สร้างผลงานชั้นยอดชิ้นแรกคือภาพ Bathers at Asnières
เซอราได้พัฒนาเทคนิคการเขียนภาพแนวใหม่โดยการใช้จุดสีเล็กๆที่แตกต่างซึ่งจะเห็นสีผสมผสานกันเมื่อมองจากระยะไกล ระหว่างปี 1884 -1886 เขาใช้เทคนิคผสานจุดสีที่พัฒนาขึ้นเขียนภาพแสดงบรรยากาศของชนชั้นกลางชาวปารีสเดินทอดน่องและพักผ่อนบนเกาะในแม่น้ำแซนในชื่อภาพ A Sunday Afternoon on the Island of La Grande Jatte ที่ต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ภาพนี้ยังได้รับยกย่องเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่โดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และถือเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะแบบใหม่ที่เรียกว่า Neo-impressionism อีกด้วย
ภาพเขียนของเซอราแตกต่างจากศิลปินอื่นมากด้วยเทคนิคและสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เซอราเขียนภาพในหลากหลายแนวทั้งภาพทิวทัศน์ที่มีภาพเด่นๆอย่างเช่นภาพ Gray weather, Grande Jatte และ The Eiffel Tower ภาพนู้ดผู้หญิงก็มีอย่างเช่นภาพ The Models แต่ที่เขาชอบเขียนมากเป็นพิเศษคือภาพชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะภาพการแสดงของคณะละครสัตว์และสถานบันเทิงยามค่ำคืนมีผลงานชั้นยอดของเขาหลายภาพ ได้แก่ภาพ Circus Sideshow, ภาพ Le Chahut (The Can-Can) และภาพ The Circus ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ เซอราป่วยและเสียชีวิตไปอย่างน่าเสียดายในปี 1891 เพราะเขายังมีอายุน้อยมากแค่ 31 ปีเท่านั้น
10 ผลงานชิ้นเอกของฌอร์ฌ-ปีแยร์ เซอรา
ข้อมูลและภาพจาก ranker, wikipedia, britannica, impressionniste.net