1. ปาโบล ปีกัสโซ (Pablo Picasso)
ปีกัสโซ เป็นผู้ทรงอิทธิพลแห่งศิลปะสมัยใหม่ เกิดเมื่อปี 1881 ที่เมืองมาลากา ประเทศสเปน เขาเติบโตและเรียนหนังสือในสเปน แต่ไปปักหลักอาศัยอยู่ที่ปารีสอย่างถาวรตั้งแต่ปี 1900 ผลงานของปีกัสโซมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงตามห้วงเวลาในช่วงชีวิตและแนวคิดในการสร้างสรรค์ ช่วงแรกเรียกว่ายุคสีน้ำเงิน (Blue Period) ใช้สีฟ้ากับฟ้าอมเขียวเป็นหลัก ภาพออกมาในโทนหม่นหมองเศร้าซึม ภาพที่โดดเด่นในยุคนี้ได้แก่ The Old Guitarist และ La Vie ถัดมาเป็นยุคสีชมพู (Rose Period) ภาพจะมีสีสันสดใสมากขึ้นด้วยสีส้มและสีชมพู มักจะมีลายข้าวหลามตัดและนักแสดงละครสัตว์เป็นส่วนประกอบ ภาพเด่นยุคนี้คือ Boy with a Pipe และ Family of Saltimbanques
ปี 1907 ปีกัสโซได้เปลี่ยนสไตล์ด้วยการเขียนภาพ Les Demoiselles d’Avignon ที่ได้รับอิทธิพลจากศิลปะแอฟริกา ซึ่งนำไปสู่การสร้างสรรค์งานศิลปะสมัยใหม่ในยุคต่อมาคือศิลปะแบบคิวบิสม์ (Cubism) ผลงานสำคัญของปีกัสโซในยุคนี้ได้แก่ Three Musicians และ Girl before a Mirror ในปี 1937 ปีกัสโซได้เขียนภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ‘Guernica’ ซึ่งนำเสนอภาพสัญลักษณ์ที่สะท้อนความโหดร้ายและความเจ็บปวดทุกข์ทรมานอันเป็นผลพวงจากสงคราม
ปีกัสโซได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินเอกของโลกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ มีโอกาสได้ชื่นชมกับความสำเร็จของตัวเอง ได้ใช้ชีวิตที่ร่ำรวยหรูหรา ไม่ได้เป็นศิลปินไส้แห้งแบบคนอื่น ปีกัสโซเสียชีวิตในปี 1973 ด้วยวัย 91 ปี ฝากผลงานอันทรงคุณค่าให้โลกได้ชื่นชมด้วยภาพเขียนกว่า 13,000 ภาพและงานศิลปะอื่นอีกมากมาย สมกับเป็นผู้ที่ได้รับการยกย่องให้เป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์ในการสร้างสรรค์มากที่สุดในศตวรรษที่ 20
10 ผลงานชิ้นเอกของปาโบล ปีกัสโซ
2. ซัลบาโด ดาลี (Salvador Dalí)
ดาลีเป็นศิลปินแนวเหนือจริงเลื่องชื่อชาวสเปน เกิดในปี 1904 มีแววอัจฉริยะทางศิลปะที่มีความคิดเป็นของตัวเองแน่วแน่ไม่ตามใครมาตั้งแต่เด็ก อายุแค่ 14 ปีก็ได้แสดงนิทรรศการผลงานภาพเขียนของตัวเองแล้ว เข้าเรียนโรงเรียนศิลปะแต่ไม่เคยเข้าห้องสอบเพราะคิดว่าไม่มีใครตัดสิน “ศิลปะ” ได้ ถูกไล่ออกจากโรงเรียนสองครั้งเขาก็ไม่ใส่ใจ ยังคงสนใจเรียนรู้ด้านศิลปะต่อเนื่อง เขาศึกษางานของศิลปินชั้นครูรุ่นก่อนอย่างหลากหลายทั้งแนวคลาสสิคและสมัยใหม่ รวมทั้งงานของราฟาเอล เฟอร์เมร์ และปีกัสโซที่เขาเคารพนับถือเป็นพิเศษ
ผลงานของดาลีแปลกแหวกแนวด้วยความคิดสร้างสรรค์ล้ำยุคและสไตล์การเขียนภาพในแบบฉบับของตัวเอง แต่ละภาพของเขาซ่อนความหมายให้ผู้ชมได้จินตนาการและตีความเอาเองด้วยความรู้สึกแปลกใหม่ อย่างเช่นภาพ The Persistence of Memory หรือภาพนาฬิกาหลอมเหลวอันโด่งดังของเขา ก็ดูจะแฝงความหมายของการปฏิเสธว่าเวลาไม่ใช่เป็นสิ่งที่กำหนดตายตัวที่ทำให้นึกถึงทฤษฎีสัมพัทธภาพของไอน์สไตน์
ดาลีได้สร้างผลงานไว้มากมาย ภาพเขียนกว่า 1,500 ภาพ และยังมีงานด้านอื่นๆ เช่น ประติมากรรม ภาพยนตร์ แฟชั่น สถาปัตยกรรม ฯลฯ ตลอดชีวิตเขาคงเอกลักษณ์ความแปลกไม่เหมือนใครทั้งผลงานและชีวิตจริง เขาเคยเข้าร่วมกับกลุ่มลัทธิเหนือจริงแต่ไม่ทำตามกฎเกณฑ์จนถูกขับออกจากกลุ่ม เขาไม่ใส่ใจแถมบอกว่าเขาต่างหากที่เป็นพวกเหนือจริงตัวจริง ดาลีนับเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีผลงานโดดเด่นและมีอิทธิพลต่อวงการศิลปะมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
10 ผลงานชิ้นเอกของซัลบาโด ดาลี
3. เอ็ดเวิร์ด มุงค์ (Edvard Munch)
เอ็ดเวิร์ด มุงค์ เป็นทั้งจิตรกรและช่างภาพพิมพ์คนสำคัญแห่งลัทธิสัญลักษณ์นิยม (Symbolism) และลัทธิแสดงพลังอารมณ์ (Expressionism) ผลงานของมุงค์โดดเด่นด้วยการนำเสนอภาพความหวาดกลัวและความทุกข์ระทมของมนุษย์เราได้อย่างตราตรึงใจ เขาเกิดเมื่อปี 1863 ที่เมือง Løten ประเทศนอร์เวย์ เริ่มเรียนศิลปะที่กรุงออสโลตอนอายุ 18 ปี ในปี 1885 มุงค์ได้รับอิทธิพลของศิลปินเพรสชั่นนิสม์หลายคนจากการที่ได้เดินทางไปชมผลงานภาพเขียนของพวกเขาที่กรุงปารีสเป็นเวลาสามสัปดาห์ หลังจากนั้นไม่นานมุงค์ก็สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกที่มาจากภาพจำฝังใจของการจากไปของพี่สาวเขาเองคือภาพ The Sick Child
มุงค์พัฒนาสไตล์และฝีมือการเขียนภาพจนตกผลึกเป็นแนวทางของตัวเองในราวปี 1892 และ 4 – 5 ปีหลังจากนั้นถือเป็นช่วงพีคที่เขาสร้างผลงานชั้นยอดออกมาอย่างมากมายได้แก่ภาพ Madonna, Ashes, Puberty, Vampire, Anxiety รวมทั้งภาพที่โด่งดังมากที่สุดของเขาคือภาพ The Scream ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่ผู้คนจดจำมากที่สุดในโลก เขาเขียนภาพนี้ไว้ถึง 4 เวอร์ชั่น หนึ่งในนั้นถูกขายไปด้วยราคาเกือบ 120 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อมามุงค์หันไปทำภาพพิมพ์ซึ่งก็ประสบความสำเร็จอย่างมาก ขณะเดียวกันก็ยังสร้างผลงานภาพเขียนออกมาโดยตลอดและมีผลงานที่ยอดเยี่ยมเพิ่มเติมอีกมากมาย อย่างเช่นภาพ The Dance of Life เป็นต้น
มุงค์มีชีวิตที่จมอยู่กับความทุกข์ความเศร้ามาโดยตลอด คนที่เขารักตายจากเขาเร็วเกินไป แม่เสียชีวิตด้วยวัณโรคตอนเขาอายุ 5 ปี พี่สาวสุดที่รักจากไปด้วยโรคเดียวกันตอนเขาอายุ 14 ปี น้องสาวคนหนึ่งเป็นโรคผิดปกติทางจิตตั้งแต่เด็ก พ่อเสียไปตอนเขาอายุ 26 ปี ส่วนน้องชายอีกคนก็ตายหลังจากแต่งงานไม่กี่เดือน ตัวเขาเองก็มีปัญหาทะเลาะกับแฟนจนต้องเลิกรากันไป เขามีชีวิตอย่างโดดเดี่ยวกับความทรงจำอันเศร้าหมองซึมลึกจนเป็นโรคซึมเศร้าต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลอยู่นานกว่าจะหาย ผลงานหลายชิ้นได้สะท้อนความรู้สึกเปลี่ยวเหงาปั่นป่วนหวาดวิตกภายในจิตใจของเขาเอง เมื่อเขาเสียชีวิตในวัย 80 ปีในปี 1944 มุงค์ได้มอบผลงานภาพเขียนกว่า 1,000 ภาพและผลงานอื่นทั้งหมดให้กับรัฐบาลนอร์เวย์
10 ผลงานชิ้นเอกของเอ็ดเวิร์ด มุงค์
4. กุสตาฟ คลิมต์ (Gustav Klimt)
กุสตาฟ คลิมต์ เป็นจิตรกรคนสำคัญในลัทธิสัญลักษณ์นิยมชาวออสเตรียผู้มีผลงานเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร คลิมต์เกิดเมื่อปี 1862 ที่เขตชานเมืองของกรุงเวียนนา เข้าเรียนที่โรงเรียนศิลปะที่กรุงเวียนนาทางด้านการเขียนภาพสถาปัตยกรรมในแนวอนุรักษ์นิยม ปี 1880 คลิมต์กับน้องชายและเพื่อนอีกคนหนึ่งเริ่มรับงานเขียนภาพพวกจิตรกรรมฝาผนังและเพดาน ในอีกราว 10 ปีต่อมาเขาก็เริ่มพัฒนาแนวทางการเขียนภาพของตัวเองโดยใช้เทพธิดาเปลือยเป็นสัญลักษณ์และองค์ประกอบสำคัญในภาพ มีผลงานที่โดดเด่นหลายภาพอย่างเช่นภาพ Judith and the Head of Holofernes
ปี 1897 คลิมต์กับเพื่อนศิลปินหัวก้าวหน้าได้ตั้งกลุ่ม Vienna Secession เพื่อแสดงผลงานศิลปะสมัยใหม่ที่ไม่จำกัดสไตล์ เขาเขียนภาพ Beethoven Frieze ซึ่งมีขนาดใหญ่มากลงบนผนังในห้องนิทรรศการของกลุ่มในปี 1902 และมันถูกเก็บรักษาไว้กลายเป็นผลงานสำคัญอีกชิ้นหนึ่ง คลิมต์ก้าวเข้าสู่ “ยุคทอง” ของเขาเมื่อได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพที่มีการใช้ลวดลายและการตกแต่งแบบอาร์ตนูโวกับการใช้แผ่นทองคำเปลวมาเป็นสีหลักในภาพได้อย่างลงตัวโดยเฉพาะในผลงานชิ้นเอกคือภาพ The Kiss ซึ่งเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา และภาพ Portrait of Adele Bloch-Bauer I ซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กันและมักถูกเรียกเป็น “โมนาลิซาแห่งออสเตรีย” รวมทั้งผลงานที่ยอดเยี่ยมในสไตล์นี้อีกจำนวนมาก
หลังพ้นจากยุคทองผลงานของคลิมต์มีสีสันมากขึ้นแต่ยังคงการใช้ลวดลายการตกแต่งแบบอาร์ตนูโวอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวเอาไว้ ผลงานที่โดดเด่นในยุคหลังได้แก่ภาพ Death and Life ซึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศในนิทรรศการศิลปะนานาชาติที่กรุงโรมในปี 1911 รวมทั้งภาพ The Virgin ที่มีลวดลายและสีสันสะดุดตา คลิมต์เสียชีวิตเมื่อปี 1915 ด้วยวัย 55 ปี ทิ้งผลงานภาพเขียนที่แพงระยับเอาไว้จำนวนมาก ภาพ Portrait of Adele Bloch-Bauer I ถูกซื้อไปด้วยราคา 135 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2006 กลายเป็นภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในเวลานั้น ภาพ Water Serpents II ถูกซื้อในราคา 183 ล้านดอลลาร์และภาพ Portrait of Adele Bloch-Bauer II ในราคา 150 ล้านดอลลาร์ในอีกหลายปีต่อมา
10 ผลงานชิ้นเอกของกุสตาฟ คลิมต์
5. อ็องรี มาติส (Henri Matisse)
อ็องรี มาติส เป็นจิตรกรผู้โดดเด่นในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ชาวฝรั่งเศส หนึ่งในผู้นำคนสำคัญของลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) และเป็นคู่แข่งคนสำคัญของ Pablo Picasso มาติสเกิดเมื่อปี 1869 ที่เมือง Nord ทางเหนือสุดของฝรั่งเศส เขาหันหลังให้กับการเป็นนักกฎหมายที่เรียนจบมาไปเริ่มเรียนศิลปะตอนอายุ 22 ปี มาติสเรียนเขียนภาพในแบบดั้งเดิมแต่กลับมาชื่นชอบสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์โดยเฉพาะช่วงยุคหลัง จึงละทิ้งสีเอิร์ทโทนที่ใช้มาตลอดหลายปีในผลงานช่วงแรกมาเป็นสีสว่างสดใส และมีผลงานสำคัญชิ้นแรกในแบบนีโอ-อิมเพรสชั่นนิสม์ในปี 1904 คือภาพ Luxury, Calm and Pleasure
มาติสกับเพื่อนกลุ่มหนึ่งได้เริ่มสร้างสรรค์ผลงานในแนวใหม่ที่ให้ความสำคัญกับสีไม่เน้นรายละเอียดรูปทรง โดยการใช้สีเข้มสดตัดกันอย่างรุนแรง ให้ความรู้สึกสดใสร้อนแรงและดุดัน ซึ่งต่อมาถูกเรียกว่าลัทธิโฟวิสม์ที่หมายถึงสัตว์ป่า ผลงานเลื่องชื่อของมาติสส่วนใหญ่อยู่ในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Blue Nude, Woman with a Hat, Joy of Life, The Open Window, Green Stripe ฯลฯ รวมทั้งภาพ The Dance หนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ในทศวรรษต่อมาเขาลดการใช้สีที่ตัดกันอย่างรุนแรงลงแต่ยังคงการเขียนรูปทรงง่ายๆแบบ 2 มิติ มีผลงานที่โดดเด่นมากคือภาพ Bathers by a River
ปี 1917 มาติสย้ายจากปารีสไปอยู่ที่เมืองนีซบนชายฝั่งทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ประเทศ ผลงานของเขามีความนุ่มนวลอ่อนโยนมากขึ้น มาติสเขียนภาพในหลากหลายเรื่องราวแต่ส่วนใหญ่เป็นภาพผู้หญิง ซึ่งมีทั้งแบบโป๊เปลือยในแทบทุกอิริยาบถนับร้อยภาพ และแบบที่ใส่ชุดสวยหรูในห้องที่ตกแต่งอย่างดีมีสีสันแปลกตาอีกจำนวนมาก อย่างเช่นภาพ Woman in a Purple Coat เป็นต้น ปี 1941 หลังการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งในช่องท้องเขาต้องอยู่แต่บนเตียงกับรถเข็นเขียนภาพไม่ได้ มาติสจึงหันไปทำงานศิลปะตัดกระดาษ เริ่มจากชิ้นเล็กๆจนเป็นชิ้นใหญ่ที่ซับซ้อนกลายเป็นผลงานศิลปะอีกแบบหนึ่งของเขา มาติสเสียชีวิตในปี 1954 ขณะมีอายุ 84 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของอ็องรี มาติส
ฟรีดา คาห์โล เป็นจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศเม็กซิโกโดยเฉพาะภาพเหมือนของเธอมีความโดดเด่นมาก คาห์โลเกิดเมื่อปี 1907 ที่ชานกรุงเม็กซิโกซิตี ตอนหกขวบเธอเป็นโปลิโอขาขวาลีบ ตอนอายุ 18 ปีรถบัสที่เธอนั่งชนกับรถราง เธอบาดเจ็บสาหัสเกือบตาย ต้องนอนรักษาตัวหลายเดือน และนั่นเป็นจุดพลิกผันที่ทำให้เธอหันมาสนใจศิลปะ คาห์โลเริ่มเขียนภาพทั้งที่ยังนอนติดเตียงจนกระทั่งได้รู้จักและแต่งงานกับ Diego Rivera ศิลปินชื่อดังของเม็กซิโกในปี 1929 เธอติดตามสามีไปสหรัฐอเมริกาพร้อมกับทำงานเขียนภาพไปด้วย และได้ร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการประจำปี 1931 ของเมืองซานฟรานซิสโกด้วยภาพ Frieda and Diego Rivera
หลังจากกลับมาเม็กซิโกคาห์โลมีปัญหาด้านสุขภาพอีกหลายอย่าง เธอต้องเข้าผ่าตัดไส้ติ่ง, แท้งลูก 2 ครั้ง และตัดนิ้วเท้าที่เนื้อตายทิ้ง ขณะที่ความสัมพันธ์กับสามีก็เลวร้ายเกิดความร้าวฉานเพราะเขาเป็นคนเจ้าชู้นอกใจเธอหลายครั้งและยังมีความสัมพันธ์กับน้องสาวของเธอเองอีกจนทั้งคู่ต้องหย่ากัน ถึงคาห์โลจะมีปัญหามากมายแต่ผลงานการเขียนภาพกลับยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในช่วงปี 1937 – 1940 เธอสร้างผลงานชั้นยอดมากมาย และยังเดินทางไปร่วมในนิทรรศการหลายแห่งทั้งที่กรุงนิวยอร์กและกรุงปารีส ได้พบปะกับศิลปินดังหลายคนรวมทั้ง Pablo Picasso ผลงานที่โดดเด่นที่สุดในช่วงนี้คือภาพ Self-Portrait with Thorn Necklace and Hummingbird กับภาพ The Two Fridas ซึ่งทั้งสองภาพเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเธอ
ภาพเขียนของคาห์โลนอกจากจะงดงามด้วยลายเส้นและสีสันอันสดใสแล้ว สิ่งที่เป็นจุดประทับใจอีกอย่างหนึ่งคือการสะท้อนความรู้สึกเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่เธอได้รับออกมาในรูปแบบที่แปลกใหม่ และยิ่งเด่นชัดขึ้นในผลงานช่วงหลัง อย่างเช่นในภาพ The Broken Column, Without Hope และ The Wounded Deer เป็นต้น หลังจากปี 1950 สุขภาพของคาห์โลซึ่งได้รับผลต่อเนื่องจากอุบัติเหตุร้ายแรงตอนวัยสาวก็ยิ่งแย่หนัก เธอหันไปเขียนภาพหุ่นนิ่ง (Still life) ที่มีผลไม้เป็นองค์ประกอบหลัก คาห์โลเสียชีวิตในปี 1954 มีอายุเพียง 47 ปี ผู้หญิงที่ต้องเผชิญกับปัญหาและความเจ็บปวดทั้งทางร่างกายและจิตใจตลอดชีวิตแต่กลับสร้างผลงานยิ่งใหญ่เหลือเชื่อผู้นี้ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในศิลปินที่สำคัญมากที่สุดแห่งศตวรรษที่ 20
10 ผลงานชิ้นเอกของฟรีดา คาห์โล
7. อ็องรี รูโซ (Henri Rousseau)
อ็องรี รูโซ เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสผู้เขียนภาพในแนวศิลปะไร้มายา (Naive Art) ที่มีสไตล์เป็นเอกลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวไม่มีใครเหมือน เขาเกิดเมื่อปี 1844 ที่เมือง Laval ประเทศฝรั่งเศส ถึงตอนเด็กจะมีแววศิลปินแต่รูโซไม่เคยเรียนที่โรงเรียนศิลปะใดเลย เขาทำงานเป็นเจ้าหน้าที่ศุลกากรที่กรุงปารีส เริ่มหัดเขียนภาพด้วยตัวเองตอนอายุราวสี่สิบต้นๆ พออายุ 49 ปีเขาลาออกจากงานมาเป็นศิลปินอาชีพแบบเต็มตัว ปี 1886 มีโอกาสได้ร่วมแสดงภาพในนิทรรศการของกลุ่มศิลปินอิสระ Salon des Indépendants ซึ่งเพิ่งจัดตั้งได้ไม่นานด้วยภาพ Carnival Evening
รูโซเขียนภาพในสไตล์ที่เขาพัฒนาขึ้นด้วยตัวเอง มีความเรียบง่าย จริงใจ ไร้เดียงสา คล้ายภาพวาดของเด็ก สัดส่วน การจัดองค์ประกอบ และการใช้สีในภาพแปลกประหลาดแตกต่างจากศิลปินอื่นอย่างมาก ผลงานของเขาจึงมักถูกวิจารณ์ในเชิงเหยียดหยามเป็นประจำ แต่งานของเขากลับเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการยกย่องในความอัจฉริยะจากศิลปินหนุ่มหัวก้าวหน้าหลายคน รวมทั้ง Pablo Picasso ผู้เคยซื้อภาพของรูโซจากร้านข้างถนนที่วางขายเป็นผ้าใบใช้แล้ว และจัดงานเลี้ยงฉลองเป็นเกียรติแก่เขามีกวีและศิลปินชื่อดังมาร่วมงานจำนวนมากจนกลายเป็นเหตุการณ์น่าทึ่งที่กล่าวขวัญถึงอยู่บ่อยๆ
ภาพป่าดงดิบที่มีต้นไม้ ใบไม้ ดอกไม้ที่โดดเด่นด้วยรูปร่างและสีสันอันแปลกตาเป็นเอกลักษณ์และองค์ประกอบสำคัญในผลงานสำคัญจำนวนมากของรูโซ อย่างเช่นภาพ Tiger in a Tropical Storm, The Hungry Lion Throws Itself on the Antelope, The Snake Charmer ฯลฯ รวมทั้งภาพสำคัญชิ้นสุดท้ายของเขาคือภาพ The Dream แต่ภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของเขากลับเป็นภาพ The Sleeping Gypsy ซึ่งไม่มีป่าดงดิบเป็นส่วนประกอบอยู่เลย ยามมีชีวิตอยู่รูโซเป็นตัวตลกของวงการในสายตาของนักวิจารณ์ แต่หลังจากเขาเสียชีวิตไปเมื่อปี 1910 ด้วยวัย 66 ปี เขากลับมีชื่อเสียงอย่างมาก รวมทั้งยังมีอิทธิพลอย่างสูงต่อศิลปินสมัยใหม่อีกหลายรุ่น
10 ผลงานชิ้นเอกของอ็องรี รูโซ
8. โอกุสต์ รอแด็ง (Auguste Rodin)
โอกุสต์ รอแด็ง เป็นประติมากรชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เขาเกิดเมื่อปี 1840 ที่กรุงปารีส ตอนอายุ 14 ปีเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนเล็กๆจนถึงปี 1857 รอแด็งพยายามสอบเข้าสถาบัน École des Beaux-Arts ถึงสามครั้งแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผลงานที่เขานำเสนอยังไม่เข้าตากรรมการ เขาจึงออกจากโรงเรียนมาทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างฝีมือทำชิ้นงานเครื่องประดับและงานตกแต่งทางสถาปัตย์ ปี 1875 เดินทางไปอิตาลีศึกษาผลงานของ Michelangelo และ Donatello ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาจากการสร้างประติมากรรมตามหลักวิชาและกระตุ้นอัจฉริยภาพทางศิลปะของเขาออกมา ปี 1877 เขาได้สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกคือรูปปั้นสำริด The Age of Bronze และตามมาด้วยรูปปั้น St. John the Baptist Preaching ในปี 1880 ซึ่งได้รับการชื่นชมอย่างสูงส่งผลให้รอแด็งกลายเป็นประติมากรมีชื่อเสียงในวัย 40 ปี
ปี 1880 รอแด็งรับงานสร้างประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีแผนจะสร้างในอนาคต เป็นงานสำคัญชิ้นใหญ่ที่ชื่อ The Gates of Hell เขาได้แรงบันดาลใจในการสร้างงานชิ้นนี้จากบทกวีเรื่อง Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีคนสำคัญของอิตาลี รอแด็งตั้งใจส่งมอบงานชิ้นนี้ในปี 1885 แต่เอาเข้าจริงเขาทำต่อเนื่องจนกระทั่งเขาเสียชีวิตเป็นเวลา 37 ปี The Gates of Hell ประกอบด้วยรูปปั้นย่อยถึง 186 ชิ้น มีหลายชิ้นถูกเขานำไปขยายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ต่างหากและมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะรูปปั้น The Thinker ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีการหล่อซ้ำเพื่อติดตั้งในสถานที่สำคัญทั่วโลกหลายสิบแห่ง รวมทั้งรูปปั้น The Kiss และ The Three Shades ซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
รอแด็งยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก อย่างเช่นรูปปั้น The Burghers of Calais, Monument to Balzac และ The Walking Man เป็นต้น พอถึงทศวรรษ 1900 เขาก็กลายเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ผลงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ต้องการอย่างสูงทั่วโลก ที่จริงรอแด็งยังมีผลงานด้านอื่นอีกจำนวนมากทั้งภาพเขียน ภาพวาด และภาพพิมพ์นับพันชิ้น แต่ความดังในงานประติมากรรมของเขาได้บดบังผลงานด้านอื่นจนมิด หลายคนให้การยกย่องเขาเทียบชั้นกับ Michelangelo เลยทีเดียว รอแด็งเสียชีวิตขณะมีอายุ 77 ปี ในปี 1917 ปีเดียวกันกับการเสียชีวิตของ Rose Beuret ภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันกว่า 50 ปีแต่เพิ่งแต่งงานกันก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 2 สัปดาห์
10 ผลงานชิ้นเอกของโอกุสต์ รอแด็ง
9. แจ็กสัน พอลล็อก (Jackson Pollock)
แจ็กสัน พอลล็อก เป็นจิตรกรชาวอเมริกันผู้มีอิทธิพลมากที่สุดคนหนึ่งในศิลปะสมัยใหม่ของประเทศสหรัฐอเมริกา เจ้าของสไตล์การเขียนภาพแนวนามธรรมด้วยเทคนิคหยดสี (Drip painting) อันลือลั่น พอลล็อกเกิดเมื่อปี 1912 ที่เมือง Cody รัฐไวโอมิง สหรัฐอเมริกา เริ่มเรียนหนังสือที่เมืองลอสแอนเจลิสแต่ไม่ได้เรื่องถูกไล่ออก 2 หน ปี 1930 ย้ายไปอยู่กับพี่ชายที่กรุงนิวยอร์กและเรียนศิลปะที่นั่น ปี 1938 – 1942 พอลล็อกทำงานเป็นจิตรกรเขียนภาพให้กับโครงการของรัฐบาล เขาติดดื่มสุราอย่างหนักจนเป็นโรคประสาทต้องเข้ารับการบำบัดอยู่หลายเดือน แต่หลังจากนั้นฝีมือการเขียนภาพกลับดีขึ้นและในปี 1943 ได้สร้างผลงานชิ้นสำคัญได้แก่ภาพ Mural และ The She Wolf
ปี 1947 พอลล็อกเริ่มใช้เทคนิคการหยดสีหรือเทสีลงบนผืนผ้าใบที่วางบนพื้นห้องซึ่งนำไปสู่การเขียนภาพแนวใหม่ที่กลายเป็นส่วนหนึ่งในลัทธิสำแดงพลังอารมณ์แนวนามธรรม (Abstract Expressionism) ผลงานจากการใช้เทคนิคดังกล่าวซึ่งถูกสร้างในระหว่างปี 1947 -1953 ที่โดดเด่นมากได้แก่ภาพ Number 5 ซึ่งเคยเป็นภาพที่ราคาแพงที่สุดในโลก 140 ล้านดอลลาร์เมื่อปี 2006 , ภาพ Number 17A ที่มีราคาสูงถึง 200 ล้านดอลลาร์ รวมทั้งภาพ Convergence, Blue Poles (Number 11) และอีกหลายภาพ ซึ่งทำให้พอลล็อกมีชื่อเสียงโด่งดังจนกลายเป็นจิตรกรเบอร์หนึ่งของสหรัฐอเมริกา
หลังปี 1953 พอลล็อกมีผลงานลดน้อยลง สุขภาพของเขาย่ำแย่เพราะเขากลับมาดื่มหนักจนเป็นโรคพิษสุราเรื้อรัง และยังมีปัญหากับ Lee Krasner ภรรยาที่คอยช่วยเหลือและมีส่วนอย่างมากกับความสำเร็จของเขาจากปัญหาการดื่มสุราและนอกใจมีผู้หญิงอื่น พอลล็อกเสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางรถยนต์เพราะเมาแล้วขับในปี 1956 ขณะมีอายุ 44 ปี ภายหลังจากที่เขาจากไปแล้วมีการจัดนิทรรศการแสดงผลงานครั้งใหญ่ของเขาอีกหลายครั้งทั้งในสหรัฐอเมริกาและยุโรปอันแสดงถึงความเป็นขุนพลคนสำคัญของศิลปะสมัยใหม่ในศตวรรษที่ 20 ของศิลปินขี้เมาผู้นี้
10 ผลงานชิ้นเอกของ10 ผลงานชิ้นเอกของแจ็กสัน พอลล็อก
10. แอนดี วอร์ฮอล (Andy Warhol)
แอนดี วอร์ฮอล เป็นศิลปินชาวอเมริกันผู้สร้างผลงานศิลปะแนวป็อปอาร์ต (Pop Art) ในหลากหลายมีเดียทั้งภาพเขียน ภาพพิมพ์ ภาพถ่าย ภาพยนตร์ และดนตรีที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดคนหนึ่ง วอร์ฮอลเกิดเมื่อปี 1928 ที่เมืองพิตส์เบิร์ก รัฐเพนซิลเวเนีย สหรัฐอเมริกา เข้าเรียนสาขาจิตรกรรมและการออกแบบที่สถาบันเทคโนโลยีคาร์เนกีในเมืองพิตส์เบิร์ก จบแล้วก็มุ่งหน้าไปหางานทำที่กรุงนิวยอร์ก เริ่มจากการเขียนภาพประกอบให้กับนิตยสาร แล้วขยับขยายไปทำงานด้านพาณิชย์ศิลป์แทบทุกอย่างทั้งงานออกแบบการ์ดอวยพร ปกหนังสือ ปกแผ่นเสียง ออกแบบโฆษณาสินค้า ฯลฯ ซึ่งประสบความสำเร็จด้วยดี ก่อนที่เขาจะหันมาสนใจทำงานศิลปะแนวป็อปอาร์ตจนกลายเป็นศูนย์กลางหรือเจ้าพ่อของวงการนี้ไปเลย
ผลงานศิลปะป็อปอาร์ตที่สร้างชื่อเสียงให้กับวอร์ฮอลเป็นภาพเขียนเป็นชุดเรียงต่อกันที่มีหลายแบบหลายเวอร์ชั่น โดยวอร์ฮอลนำสิ่งที่พบเห็นเป็นประจำมาสร้างเป็นศิลปะแปลกใหม่น่าสนใจในสไตล์เฉพาะตัว เริ่มจากภาพเขียนชุด Campbell’s Soup Cans ที่โด่งดังมากจนกลายเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของเขา ตามมาด้วยภาพชุด Coke Bottles, Dollar Bills และ Flowers วอร์ฮอลนำภาพคนดังของโลกจากหลายวงการมาสร้างเป็นศิลปะป็อปอาร์ตจนเป็นที่ชื่นชอบอย่างมากโดยเฉพาะภาพชุดของ Marilyn Monroe, Elvis Presley และ Mao Tse-tung เขาเป็นหนึ่งในผู้ที่มีผลงานภาพเขียนราคาแพงติดอันดับมากที่สุดเป็นรองแค่ Vincent van Gogh และ Pablo Picasso เท่านั้น
วอร์ฮอลทำสตูดิโอชื่อ “The Factory” เป็นสถานที่ผลิตผลงาน ศิลปะทุกรูปแบบภายใต้การดูแลของเขาซึ่งประสบความสำเร็จอย่างมาก วอร์ฮอลเป็นโปรดิวเซอร์ในอัลบัมแรกของวงดนตรี The Velvet Underground & Nico เขาออกแบบปกอัลบัมเองซึ่งก็คือภาพ Banana อันโด่งดัง และยังเป็นผู้สร้างและผู้กำกับภาพยนตร์มากกว่า 60 เรื่อง วอร์ฮอลมีผลงานหลากหลายมากทำงานด้านศิลปะและวงการบันเทิงแทบทุกอย่าง รวมทั้งยังเป็นคนแรกๆที่นำคอมพิวเตอร์มาสร้างศิลปะดิจิตอลอีกด้วย เขาเสียชีวิตในปี 1987 ด้วยวัย 58 ปีจบตำนานของเจ้าพ่อศิลปะป็อปอาร์ตตัวจริงที่ยังคงอยู่ในใจของคนทั่วโลกไปอีกนาน
10 ผลงานชิ้นเอกของ10 ผลงานชิ้นเอกของ10 ผลงานชิ้นเอกของแอนดี วอร์ฮอล
ข้อมูลและภาพจาก ranker, timeout, wikipedia, britannica