1. เลโอนาร์โด ดา วินชี (Leonardo da Vinci)
ดา วินชี เป็นศิลปินผู้มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งยุคเรอเนสซองส์ เกิดที่หมู่บ้าน Vinci ใกล้เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อปี 1452 เขาเติบโตและเรียนศิลปะที่บ้านเกิดจนมีอายุได้ 20 ปีจึงได้เป็นศิลปินมืออาชีพอย่างเต็มตัว เริ่มมีผลงานที่ฉายแววความเป็นอัฉริยะด้านศิลปะด้วยภาพ Adoration of the Magi ก่อนที่จะออกจากฟลอเรนซ์ไปอยู่ที่เมืองมิลานในปี 1482 ดา วินชี ทำงานอยู่ที่มิลานนานถึง 17 ปี พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดมากมาย รวมทั้ง The Last Supper, Virgin of the Rocks, Lady with an Ermine และ Vitruvian Man ที่เป็นหนึ่งในบรรดาภาพสเก็ตช์อันลือลั่นซึ่งเป็นความสามารถที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวยากจะมีใครเทียบได้
ปี 1503 ดา วินชี กลับมาอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์อีกครั้งหนึ่ง และคราวนี้ได้สร้างผลงานภาพเขียนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ‘Mona Lisa’ เขาใช้เวลาในการเขียนภาพสุดพิเศษนี้นานหลายปี ในปี 1515 ดา วินชี เดินทางไปกรุงปารีสเพื่อรับตำแหน่งจิตรกรเอกและวิศวกรของราชสำนักฝรั่งเศส พร้อมกับหิ้วภาพสุดรักสุดหวงที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ไปด้วย แล้วไม่ได้กลับมาที่อิตาลีอีกเลย
ดา วินชี เสียชีวิตในปี 1519 มีอายุรวม 67 ปี ทิ้งผลงานชั้นยอดไว้มากมายทั้งผลงานด้านศิลปะและด้านวิทยาศาสตร์ ดา วินชี ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้รอบรู้ เชี่ยวชาญในศาสตร์ต่างๆเกือบทุกสาขา เป็นศิลปินเอก นักวิทยาศาสตร์ นักประดิษฐ์ ฯลฯ เขาคือ ‘บุรุษแห่งยุคเรอเนสซองส์’ อย่างแท้จริง
10 ผลงานชิ้นเอกของเลโอนาร์โด ดา วินชี
2. ไมเคิลแองเจโล (Michelangelo)
ไมเคิลแองเจโล เป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และสถาปนิก เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ทัดเทียมกับเลโอนาร์โด ดา วินชี เขาเกิดเมื่อปี 1475 ที่เมืองอาเรซโซ ประเทศอิตาลี แต่ไปเล่าเรียนและเติบโตที่เมืองฟลอเรนซ์ อายุ 15 ปีก็เริ่มมีผลงานด้านประติมากรรม ปี 1497 เดินทางไปทำงานที่กรุงโรม และเมื่ออายุ 24 ปี ไมเคิลแองเจโลได้สร้างงานประติมากรรมชิ้นสำคัญของโลกคือ Pietà
เขากลับมาที่ฟลอเรนซ์ในปี 1499 คราวนี้เขามีโอกาสทำงานชิ้นสำคัญที่ค้างเติ่งมาเกือบ 40 ปีคืองานแกะสลักรูปเดวิด (David) เขารับงานนี้ตอนอายุ 26 ปี ใช้เวลาราว 4 ปีจึงแล้วเสร็จและกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ระหว่างเวลาช่วงนี้ไมเคิลแองเจโลยังได้สร้างผลงานอีกหลายชิ้น รวมทั้งภาพเขียน Doni Tondo และ Manchester Madonna
ปี 1505 ไมเคิลแองเจโลกลับมาที่โรมอีกครั้งเพื่อรับงานสร้างสุสานของพระสันตะปาปา Pope Julius II ซึ่งมีผลงานรูปแกะสลัก Moses และ Dying Slave รวมอยู่ด้วย และในระหว่างนี้เองเขาก็ได้สร้างผลงานสำคัญยิ่งใหญ่อีกชิ้นหนึ่งคือภาพเขียนบนเพดานโบสถ์น้อยซิสติน (Sistine Chapel Ceiling) บนพื้นที่กว่า 500 ตรม. ประกอบด้วยภาพกว่า 300 ภาพ และหนึ่งในนั้นเป็นภาพเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ The Creation of Adam
ไมเคิลแองเจโลกลับไปทำงานที่ฟลอเรนซ์อีก คราวนี้นานกว่า 20 ปีก่อนจะได้กลับมาที่โรม ปี 1534 เขาได้สร้างภาพเขียนชิ้นใหญ่บนผนังแท่นบูชาที่โบสถ์น้อยซิสตินคือภาพ The Last Judgement ที่ใช้เวลาทำถึง 8 ปี และในปี 1546 เขาได้รับงานใหญ่ชิ้นสุดท้ายคือการออกแบบมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่มีโดมใหญ่เด่นสง่าเป็นสัญลักษณ์ เขาเสียชีวิตในปี 1564 ด้วยวัย 88 ปี ก่อนที่โดมจะสร้างเสร็จ
10 ผลงานชิ้นเอกของไมเคิลแองเจโล
3. ซานโดร บอตติเชลลี (Sandro Botticelli)
บอตติเชลลีเป็นศิลปินที่โดดเด่นในยุคเรอเนสซองส์ตอนต้น ก่อนหน้ายุคของดา วินชีและไมเคิลแองเจโล เขาเกิดในปี 1445 ที่เมืองฟลอเรนซ์ ตอนเด็กฝึกเป็นช่างทอง พอเป็นวัยรุ่นจึงเปลี่ยนมาเป็นจิตรกร ผลงานส่วนใหญ่ทำให้กับตระกูลเมดิชีซึ่งเป็นผู้ปกครองเมืองฟลอเรนซ์ บอตติเชลลีมีชื่อเสียงรุ่งโรจน์อย่างยาวนานภายใต้การอุปถัมภ์ของตระกูลนี้ เคยเป็นคณะกรรมการพิจารณาที่ตั้งรูปแกะสลักเดวิดของไมเคิลแองเจโลร่วมกับดา วินชี แต่ในช่วงปั้นปลายชีวิตชื่อเสียงต้องตกต่ำด่างพร้อยตามผู้อุปภัมภ์ที่หมดอำนาจ เขาจึงไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร แต่ผลงานของเขามิได้ด้อยค่าลงยืนยงเรื่อยมาจวบจนปัจจุบัน
ภาพเขียนของบอตติเชลลีเป็นสไตล์โบราณ แต่โดดเด่นที่ความอ่อนหวานประณีตงดงาม อย่างเช่น ภาพ The Birth of Venus และ Primavera ที่มีชื่อเสียงและได้รับการยอมรับมากที่สุด ไปจนถึงภาพ Portrait of a Young Woman และ Madonna of the Book บอตติเชลลียังได้ร่วมสร้างภาพเฟรสโกที่ผนังของโบสถ์น้อยซิสตินเช่นเดียวกับศิลปินชั้นนำในยุคนั้น แม้ว่าจะไม่ใช่งานที่เขาถนัดมากนักแต่ผลงานภาพ Trial of Moses ก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม
บอตติเชลลีหลงรักผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ Simonetta Vespucci แต่ไม่สมหวังเพราะเธอแต่งงานแล้ว หลายคนเชื่อว่าเธอคือนางแบบในภาพของบอตติเชลลีหลายภาพรวมทั้ง The Birth of Venus และ Portrait of a Young Woman ทั้งๆที่เธอเสียชีวิตไปก่อนที่เขาจะเขียนภาพเหล่านั้นหลายปี บอตติเชลลีเคยขอร้องไว้ว่าให้ฝังร่างของเขาไว้แทบเท้าของเธอ และความหวังของเขาก็เป็นจริงในอีก 34 ปีต่อมาเมื่อเขาเสียชีวิตในปี 1510
10 ผลงานชิ้นเอกของซานโดร บอตติเชลลี
ราฟาเอล เป็นจิตรกรและสถาปนิกผู้มีผลงานโดดเด่น เป็นหนึ่งในสามศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ต่อจากเลโอนาร์โด ดา วินชีและไมเคิลแองเจโล เขาเกิดเมื่อปี 1483 ที่เมือง Urbino ประเทศอิตาลี เรียนศิลปะและฝึกฝนการเขียนภาพตั้งแต่เด็ก พออายุได้ 17 ปีก็เริ่มเป็นศิลปินมืออาชีพด้วยการตระเวนรับงานเขียนภาพให้กับโบสถ์ต่างๆในเมืองแถบบ้านเกิด เป็นศิลปินรุ่นใหม่ที่มีผลงานยอดเยี่ยมอย่างเช่นภาพ The Marriage of the Virgin จนเริ่มมีชื่อเสียงและเป็นที่ต้องการตัวไปทำงาน
ปี 1504 ราฟาเอลย้ายไปปักหลักอยู่ที่เมืองฟลอเรนส์ ทำให้เขามีโอกาสได้ศึกษาผลงานของบรมครูอย่างเลโอนาร์โด ดา วินชีและคู่แข่งคนสำคัญในอนาคตคือไมเคิลแองเจโล รวมทั้งศิลปินดังอีกหลายคน ราฟาเอลซึมซับอิทธิพลของศิลปะแบบฟลอเรนส์แต่ยังคงรักษาสไตล์ของตัวเองเอาไว้ด้วย ผลงานของเขาเริ่มมีความซับซ้อนและมีชีวิตชีวามากขึ้น ผลงานเด่นในช่วงนี้คือภาพ Madonna and Child with Saint John the Baptist
ปลายปี 1508 ราฟาเอลเดินทางไปกรุงโรมและอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต เขาได้ทำงานสำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตที่พระราชวังวาติกัน ราฟาเอลเขียนภาพในห้องที่เรียกว่า “Raphael Rooms” เป็นภาพปูนเปียก (Fresco) ขนาดใหญ่หลายภาพ และหนึ่งในนั้นคือภาพ The School of Athens ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมทำให้ราฟาเอลได้รับมอบหมายให้เขียนภาพในวาติกันเพิ่มอีกจำนวนมาก และยังได้เป็นสถาปนิกในงานสร้างมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ด้วย เขาทำงานให้กับสำนักวาติกันนานถึง 12 ปี พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดมากมายรวมทั้งภาพ Sistine Madonna และ Transfiguration
นอกจากภาพเขียนแนวศาสนาและตำนานแล้วราฟาเอลยังเขียนภาพเหมือนบุคคลได้ยอดเยี่ยมมากเช่นกัน ผลงานภาพเหมือนของเขาหลายภาพได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในภาพเหมือนที่ดีที่สุดในยุคนั้น โดยเฉพาะภาพ La Fornarina, La Donna Velata (The woman with the veil) และ Portrait of Baldassare Castiglione ราฟาเอลเสียชีวิตในปี 1520 ด้วยวัยเพียง 37 ปี แม้ว่าเขามีช่วงเวลาทำงานไม่มากนักแต่ผลงานกลับยิ่งใหญ่และเป็นหนึ่งในศิลปินที่ได้รับการยกย่องชื่นชมมากที่สุด
10 ผลงานชิ้นเอกของราฟาเอล
ทิเชียนเป็นจิตรกรคนสำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 16 ของเมืองเวนิส เขาได้รับการยกย่องในฐานะจิตรกรชั้นยอดตั้งแต่อายุยังน้อยและคงชื่อเสียงระดับสูงสุดไว้ตลอดชีวิตที่ยืนยาว ทิเชียนเกิดราวปี 1488 – 1490 เรียนการเขียนภาพกับศิลปินดังแห่งเมืองเวนิสตั้งแต่อายุ 10 ปี แล้วทำงานเป็นผู้ช่วยของจิตรกรอื่นระยะหนึ่งก่อนที่จะออกมารับงานเองพร้อมกับการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง ทิเชียนเป็นจิตรกรที่ครบเครื่องมากเขียนภาพได้ดีทุกแนวทั้งภาพเหมือน ภาพภูมิทัศน์ ภาพแนวศาสนา รวมทั้งเรื่องจากตำนาน และมีการพัฒนาเทคนิคและสไตล์การเขียนภาพอยู่ตลอด ภาพ A Man with a Quilted Sleeve เป็นผลงานภาพเหมือนช่วงแรกๆของอาชีพที่ได้รับการยกย่องมาก ทิเชียนเขียนภาพเหมือนชั้นยอดอีกมากมายหลายสิบภาพตลอดช่วงเวลาอีกหลายสิบปีต่อมา เช่น ภาพ Pope Paul III and His Grandsons และ Self-Portrait (1567) เป็นต้น
ระหว่างปี 1516 – 1518 ทิเชียนใช้เวลาราว 2 ปี เขียนภาพแนวศาสนาเป็นภาพหลังแท่นบูชาขนาดใหญ่ชื่อ Assumption of the Virgin บนผนังโบสถ์ในเมืองเวนิส นี่คือผลงานชิ้นเอกที่ส่งให้เขากลายเป็นจิตรกรชั้นนำ ทิเชียนประสบความสำเร็จกับการเขียนภาพแนวนี้อย่างต่อเนื่อง มีผลงานที่โดดเด่นอีกจำนวนมาก หนึ่งในนั้นคือภาพ Pesaro Madonna แต่ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับทิเชียนมากที่สุดน่าจะเป็นภาพในแนวเรื่องจากตำนานซึ่งเขามีผลงานชิ้นเยี่ยมช่วงแรกด้วยภาพ Sacred and Profane Love ตามมาด้วยภาพ Bacchus and Ariadne ช่วงต้นทศวรรษ 1530 ทิเชียนเริ่มเขียนภาพเปลือยของเทพธิดาวีนัสในท่าเอนตัวนอนอันเป็นที่มาของภาพ Venus of Urbino ซึ่งเสร็จในปี 1538 และได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา และตามมาด้วยภาพเขียนแนวนี้อีกหลายภาพซึ่งล้วนงดงามยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน อย่างเช่นภาพ Danaë with Nursemaid ที่เขียนในปี 1554
ทิเชียนสร้างผลงานเป็นเวลายาวนานกว่า 60 ปี เขาเสียชีวิตด้วยกาฬโรคที่ระบาดในเวนิสในปี 1576 ด้วยวัยกว่า 90 ปี ผลงานในช่วงท้ายตอนอายุมากก็ยังคงยอดเยี่ยมเช่นเดิม ภาพ Allegory of Prudence ที่เขียนเสร็จในปี 1570 ไม่เพียงแต่แสดงถึงฝีมือที่ไม่เคยตกเลย ยังแสดงถึงความก้าวหน้าทั้งด้านเทคนิคและการนำเสนอเรื่องราวที่คมคายลึกซึ้งมากขึ้นอีก ว่ากันว่าหากทิเชียนเสียชีวิตไปตอนอายุ 40 ปีเขาก็ยังเป็นจิตรกรชั้นยอดในสมัยนั้น แต่เขาอยู่ทำงานต่อเนื่องอีก 50 ปีและยังพัฒนาฝีมืออยู่เสมอ เขาจึงเป็นสุดยอดศิลปินแห่งยุค เป็นบรมครูที่สร้างแรงบันดาลใจและมีอิทธิพลต่อศิลปินชั้นนำรุ่นต่อมาอีกมากมายหลายรุ่น
10 ผลงานชิ้นเอกของทิเชียน
คาราวัจโจ เป็นจิตรกรคนสำคัญในช่วงต้นศตวรรษที่ 17 ของอิตาลี ผลงานของเขาได้แผ่อิทธิพลต่อวงการจิตรกรรมของอิตาลีที่เป็นช่วงปลายยุคเรอเนสซองส์และมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อการเริ่มต้นของยุคบาโรก คาราวัจโจเกิดเมื่อปี 1571 ที่เมืองมิลาน เรียนศิลปะกับ Simone Peterzano ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Titian ศิลปินใหญ่ยุคก่อนหน้าอยู่ 4 ปี และได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคน รวมทั้ง Giorgione และ Leonardo da Vinci ซึ่งมีผลงานสำคัญอยู่ที่เมืองมิลานหลายชิ้น พออายุได้ 21 ปีเขาก็เดินทางไปกรุงโรมเพื่อหางานทำและสร้างชื่อเสียงตามวิถีของศิลปินหน้าใหม่ของอิตาลีส่วนใหญ่ในสมัยนั้น
ที่กรุงโรมตอนแรกคาราวัจโจทำงานเขียนภาพให้กับศิลปินที่มีชื่อเสียงแล้วหลายคน จนถึงราวปี 1595 เขาก็ออกมาทำงานของตัวเองและเริ่มขายภาพเขียนผ่านทางตัวแทน ผลงานชั้นยอดหลายชิ้นของเขาก็เริ่มปรากฏ รวมทั้งภาพ The Cardsharps ที่ไปเข้าตาคาร์ดินัล Francesco Maria del Monte ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะ del Monte ชื่นชอบผลงานของคาราวัจโจมากและให้การสนับสนุนโดยให้คาราวัจโจไปทำงานเขียนภาพอยู่ในบ้านของเขาเอง จึงมีผลงานยอดเยี่ยมอีกหลายชิ้นทยอยกันออกมา ได้แก่ ภาพ Bacchus, The Lute Player และ Boy Bitten by a Lizard หลังจากนั้นคาราวัจโจจึงเริ่มทำงานให้กับทางศาสนจักร ผลงานในแนวศาสนาของเขากลับยิ่งโดดเด่นด้วยสไตล์และเทคนิคที่ไม่เหมือนใคร
คาราวัจโจประสบความสำเร็จกับการเขียนภาพในแนวศาสนาอย่างมาก เขาเสนอภาพที่แปลกใหม่เร้าอารมณ์สมจริง บางครั้งก็สะเทือนขวัญชนิดที่ไม่เคยมีศิลปินผู้ใดกล้าทำมาก่อน อย่างเช่นภาพ Judith Beheading Holofernes การเขียนภาพในแบบภาพสว่างในความมืดด้วยเทคนิคการให้แสงและเงาที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นเดียวกันและรุ่นหลังอีกหลายรุ่น ภาพ The Calling of Saint Matthew ที่เป็นผลงานชิ้นเอกและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของจิตรกรรมยุคบาโรก คาราวัจโจยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมในแนวศาสนาอีกมากมายหลายสิบภาพ รวมทั้งภาพ Supper at Emmau และ Entombment
นิสัยส่วนตัวคาราวัจโจเป็นคนที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งมีเรื่องกับคนอื่นอยู่เสมอ ปี 1606 มีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงแล้วเขาพลั้งมือไปฆ่าเด็กหนุ่มคนหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เขาต้องหนีไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์ซึ่งตอนนั้นอยู่นอกเขตกฎหมาย คาราวัจโจสร้างผลงานอันทรงคุณค่าไว้ที่โบสถ์ในเมืองเนเปิลส์หลายชิ้น จากนั้นได้ย้ายไปอยู่ที่มอลตาก็มีปัญหาเดิมๆอีก จึงย้ายไปอยู่ที่ซิซิลีอีกพักหนึ่งก่อนที่จะกลับมาอยู่ที่เมืองเนเปิลส์อีกครั้ง แต่ละที่ที่เขาไปอยู่คาราวัจโจได้สร้างผลงานชั้นยอดเอาไว้เสมอ ถึงปี 1610 คาราวัจโจลงเรือเดินทางตั้งใจไปกรุงโรมเพื่อขออภัยโทษ แต่ระหว่างทางเขาป่วยเสียชีวิตที่เมือง Porto Ercole แคว้นทัสคานี ในวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น
10 ผลงานชิ้นเอกของคาราวัจโจ
โดนาเตลโล เป็นสุดยอดประติมากรแห่งยุคเรอเนสซองส์ผู้เชี่ยวชาญในงานประติมากรรมด้วยวัสดุเกือบทุกชนิดโดยเฉพาะอย่างยิ่งหินอ่อนและสำริด เขาเกิดที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี เมื่อราวปี 1386 โดนาเตลโลเริ่มเรียนศิลปะกับช่างทองในท้องถิ่น แล้วไปฝึกงานกับช่างโลหะและประติมากรคนหนึ่งของเมืองฟลอเรนซ์ ได้รู้จักกับ Filippo Brunelleschi ที่ภายหลังเป็นสถาปนิกและวิศวกรผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของอิตาลี ราวปี 1404 – 1407 ทั้งสองคนร่วมกันไปขุดค้นซากปรักหักพังของกรุงโรมยุคโบราณเพื่อศึกษาศิลปะคลาสสิกจนถูกเรียกเป็นพวกนักล่าสมบัติ ความรู้และประสบการณ์ที่เขาได้รับในคราวนั้นมีส่วนสำคัญในการพลิกโฉมหน้าของศิลปะอิตาลีในศตวรรษที่ 15 และเขายังได้รับอิทธิพลด้านศิลปะโกธิคจาก Brunelleschi อีกด้วย
ปี 1408 โดนาเตลโลเริ่มสร้างผลงานที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเดิมด้วยงานสร้างรูปปั้นแกะสลักหินอ่อนสไตล์โกธิค หลังจากนั้น 3 ปีเขาก็เริ่มสร้างผลงานชิ้นเยี่ยม Saint Mark เป็นรูปแกะสลักหินอ่อนเช่นกัน ตามมาด้วยรูปหินอ่อน St. John the Evangelist ในปี 1415 ซึ่งเริ่มเปลี่ยนสไตล์จากโกธิคเป็นใช้เทคนิคแบบโบราณ โดนาเตลโลเริ่มมีชื่อเสียงเลื่องลือในฐานะประติมากรผู้มีเทคนิคใหม่ๆและสร้างสรรค์ผลงานที่มีความโดดเด่นด้านการแสดงอารมณ์บนใบหน้าและท่าทางของร่างกายที่งดงาม ราวปี 1425 โดนาเตลโลกับ Michelozzo สถาปนิกดังอีกคนร่วมกันสร้างหลุมฝังศพที่งามสง่าของบุคคลสำคัญหลายแห่งและผลงานของเขาก็กลายเป็นต้นแบบให้กับงานสร้างหลุมฝังศพบุคคลสำคัญในยุคต่อมา
ราวปี 1430 โดนาเตลโลสร้างผลงานชิ้นเอกคือรูปปั้น David ซึ่งกลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา David เป็นรูปหล่อสำริดท่ายืนแบบอิสระไม่มีการค้ำยันใดๆชิ้นแรกที่สร้างขึ้นในยุคเรอเนสซองส์ นอกจากฝีมืองานปั้นงานหล่อที่ทำออกมาอย่างสวยงามสมบูรณ์แบบแล้ว ผลงานชิ้นนี้ยังมีเสน่ห์ตรงท่าทางการยืนถือดาบเท้าสะเอวและจ้องมองไปที่ศีรษะของโกไลแอทที่ใต้อุ้งเท้าพร้อมกับรอยยิ้มอันลึกลับที่สื่ออารมณ์ได้สมจริง รวมทั้งการสวมหมวกและรองเท้าบูทที่เป็นเอกลักษณ์ หลังจากนั้นโดนาเตลโลยังสร้างผลงานไว้อีกมากมายในหลายสถานที่ เช่น งานรูปหล่อสำริด Equestrian Statue of Gattamelata เป็นอนุสาวรีย์ที่เมืองแพดัว, งานแกะสลักหินอ่อนชิ้นใหญ่ Cantoria ที่เมืองฟลอเรนซ์ และงานประติมากรรมแบบนูนต่ำ The Feast of Herod ที่เมืองเซียนา เป็นต้น โดนาเตลโลเสียชีวิตในปี 1466 ด้วยวัย 80 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของโดนาเตลโล
8. จีอัน โลเรนโซ แบร์นินี (Gian Lorenzo Bernini)
แบร์นินี เป็นประติมากรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในศตวรรษที่ 17 และยังเป็นสถาปนิกผู้โดดเด่นอย่างยิ่งอีกด้วย เขาคือผู้สร้างและพัฒนางานประติมากรรมสไตล์บาโรก แบร์นินีเกิดเมื่อปี 1598 ที่เมืองเนเปิลส์ ประเทศอิตาลี พ่อเป็นประติมากรมากฝีมือ เขาจึงเรียนศิลปะและงานแกะสลักหินอ่อนจากพ่อตั้งแต่เด็ก ตอนอายุ 8 ปีครอบครัวย้ายไปอยู่ที่กรุงโรมเนื่องจากพ่อได้รับงานชิ้นใหญ่ที่นั่น เขาจึงช่วยพ่อทำงานพร้อมกับฝึกฝนพัฒนาฝีมือและศึกษาผลงานของศิลปินยุคเรอเนสซองส์รวมทั้งงานของ Michelangelo ไปด้วย ด้วยวัยเพียง 20 ปีต้นๆเท่านั้นเขาก็สร้างผลงานยอดเยี่ยมออกมามากมาย ที่โดดเด่นเป็นพิเศษได้แก่รูปปั้นหินอ่อน Apollo and Daphne และ The Rape of Proserpina
ปี 1629 แบร์นินีได้รับการแต่งตั้งเป็นสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ และเขาได้สร้างผลงานที่โดดเด่นในมหาวิหารนั่นคือ St. Peter’s Baldachin ซุ้มเหนือหลุมฝังศพเซนต์ปีเตอร์ทำด้วยสำริดออกแบบเป็นเสาเกลียว 4 เสาและหลังคาในสไตล์บาโรกสวยงามอย่างยิ่ง ผลงานด้านสถาปัตยกรรมของแบร์นินีก็ยอดเยี่ยมเช่นกัน ที่โดดเด่นมากได้แก่งานสร้างจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ แบร์นินีได้ออกแบบแนวเสาระเบียงโค้ง St. Peter’s Colonnades เพิ่มความโอ่อ่าอลังการให้กับมหาวิหารอย่างมากจนกลายเป็นเอกลักษณ์ ผลงานอีกอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับเขาไม่น้อยคืองานออกแบบน้ำพุ เขาออกแบบสร้างน้ำพุในโรมไว้หลายแห่งซึ่งล้วนงดงามตระการตาโดยเฉพาะที่ Fountain of the Four Rivers
ปี 1665 แบร์นินีถูกเชิญตัวไปทำงานให้ราชสำนักฝรั่งเศสที่กรุงปารีส แต่ด้วยแนวคิดทางศิลปะที่แตกต่างกันมากเขาจึงไม่ประสบความสำเร็จที่นั่น แต่ก็ยังทิ้งผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้ชิ้นหนึ่งเป็นรูปปั้นครึ่งตัวของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 Bust of Louis XIV แบร์นินีสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาตลอดการทำงานที่ยาวนานกว่า 60 ปีของเขา ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาก็ยังมีผลงานประติมากรรมประดับหลุมฝังศพที่ยอดเยี่ยมได้แก่ Blessed Ludovica Albertoni และ Tomb of Pope Alexander แบร์นินีเสียชีวิตที่กรุงโรมในปี 1680 ในวัย 81 ปี ด้วยผลงานด้านประติมากรรมและสถาปัตยกรรมที่โดดเด่นเหนือใครเขาจึงถูกยกย่องเป็นไมเคิลแองเจโลแห่งศตวรรษที่ 17
10 ผลงานชิ้นเอกของจีอัน โลเรนโซ แบร์นินี
9. อาร์เตมีเซีย เจนตีเลสกี (Artemisia Gentileschi)
เจนตีเลสกี เป็นจิตรกรผู้หญิงหนึ่งเดียวแห่งยุคบาโรกที่มีความสามารถและชื่อเสียงทัดเทียมกับจิตรกรชายชั้นนำในยุคเดียวกัน เธอเกิดในปี 1593 ที่กรุงโรม ประเทศอิตาลี เป็นลูกของจิตรกรที่พอจะมีชื่อเสียงผู้ซึ่งได้รับอิทธิพลจากงานของ Caravaggio และสิ่งนั้นได้ถ่ายทอดต่อไปยังลูกสาวผู้เต็มไปด้วยพรสวรรค์ในการเขียนภาพ อายุแค่ 17 ปีเจนตีเลสกีก็เริ่มสร้างความฮือฮาด้วยภาพเขียนแรกของเธอคือภาพ Susanna and the Elders ตามมาด้วยภาพ Danae แต่น่าเศร้าใจที่เธอถูกข่มขืนโดยอาจารย์ผู้สอนศิลปะของเธอเอง เมื่อเธอฟ้องศาลเธอยังถูกทรมานเพื่อป้องกันการแจ้งความเท็จ หลังจากชนะคดีเธอได้แต่งงานกับศิลปินผู้หนึ่งและย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์บ้านเกิดของสามีพร้อมกับสร้างผลงานจนมีชื่อเสียงโด่งดัง
เจนตีเลสกีเป็นผู้หญิงเพียงคนเดียวที่ได้รับการยอมรับเข้าเป็นสมาชิกของสถาบันศิลปะแห่งฟลอเรนซ์ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นจำนวนมากมาย โดยเฉพาะภาพ Judith Slaying Holofernes ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเธอ ภาพนี้ได้ถ่ายทอดอารมณ์ออกมาอย่างชัดเจนมากจนหลายคนคิดว่าเธอเขียนภาพนี้ด้วยพลังแห่งความแค้นที่มีต่ออาจารย์ผู้ข่มขืนเธอ ปี 1621 เจนตีเลสกีกลับไปอยู่ที่กรุงโรมหลังจากมีปัญหากับสามีที่ใช้จ่ายเกินตัว และที่โรมเธอสร้างผลงานชั้นยอดอีกมากมายรวมทั้งภาพ Judith and Her Maidservant, ภาพ Venus and Cupid (Sleeping Venus) และภาพ Esther and Ahasuerus
ปี 1630 เจนตีเลสกีย้ายไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์และอยู่ที่นั่นไปจนตลอดชีวิต เธอยังคงสร้างผลงานชั้นยอดต่อไปและยังได้เขียนภาพอีกแนวหนึ่งให้กับวิหารในเมืองอย่างเช่นภาพ The Birth of Saint John the Baptist ปี 1638 เจนตีเลสกีไปทำงานให้กับราชสำนักอังกฤษที่กรุงลอนดอนร่วมกับพ่อและมีผลงานชิ้นเยี่ยมเป็นภาพเหมือนตัวเองคือภาพ Self-Portrait as the Allegory of Painting ซึ่งเป็นภาพที่ดูเหมือนจะบ่งบอกถึงพลังความสามารถของผู้หญิงผ่านทางการเป็นจิตรกร เธอกลับมาอยู่ที่เนเปิลส์ตอนเริ่มเกิดสงครามกลางเมืองอังกฤษในปี 1642 และเสียชีวิตตอนเกิดโรคระบาดครั้งใหญ่ที่พรากชีวิตศิลปินชาวเนเปิลส์ไปเกือบหมดเมื่อราวปี 1656
10 ผลงานชิ้นเอกของอาร์เตมีเซีย เจนตีเลสกี
5. อันโตนิโอ คาโนวา (Antonio Canova)
อันโตนิโอ คาโนวา เป็นประติมากรชาวอิตาลีหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคนีโอคลาสสิกผู้มีผลงานประติมากรรมหินอ่อนที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงอย่างยิ่ง คาโนวาเกิดเมื่อปี 1757 ที่เมือง Possagno สาธารณรัฐเวนิส เขาเติบโตในเหมืองหินของคุณปู่ซึ่งเป็นทั้งช่างตัดหินและประติมากรจึงสามารถแกะสลักหินอ่อนเป็นตั้งแต่ยังมีอายุไม่ถึง 10 ปี พออายุได้ 13 ปีเขาไปเป็นลูกศิษย์ของประติมากรมีชื่อเสียง Giuseppe Bernardi ที่เมืองเวนิสอยู่ 2 ปี จากนั้นเริ่มรับงานเองผลงานแรกเป็นรูปแกะสลักหินอ่อน 2 ชิ้น Orpheus และ Eurydice เสร็จในปี 1777 ซึ่ง Orpheus ได้รับการยกย่องมากและคาโนวาเริ่มเป็นที่รู้จักในแวดวงชนชั้นสูงของเมืองเวนิส อีก 2 ปีต่อมาเขาสร้างผลงาน Daedalus and Icarus ซึ่งได้รับการชื่นชอบมากเช่นกัน ก่อนที่เขาจะก้าวไปสู่เวทีใหญ่ที่กรุงโรมในปี 1780
ที่โรมคาโนวาใช้เวลาในการศึกษาผลงานของ Michelangelo และยังไปดูเมืองโบราณอีกหลายแห่ง ระหว่างปี 1783 -1787 เขาออกแบบและสร้างอนุสาวรีย์หลุมฝังศพพระสันตปาปา Clement XIV ต่อด้วยของพระสันตปาปา Clement XIII ซึ่งเสร็จในปี 1792 จากนั้นได้สร้างรูปแกะสลักหินอ่อน Psyche Revived by Cupid’s Kiss ซึ่งไม่เพียงได้รับการยกย่องเป็นประติมากรรมชิ้นเอกแห่งยุคนีโอคลาสสิก ยังถือเป็นพัฒนาการแห่งศิลปะแบบโรแมนติกอีกด้วย หลังจากนั้นไม่นานคาโนวาก็กลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคนหนึ่งของยุโรป มีลูกค้าเป็นบุคคลสำคัญและสมาชิกในราชวงศ์ต่างๆทั่วทั้งยุโรป รวมทั้งจักรพรรดินโปเลียนที่คาโนวาสร้างรูปปั้นชั้นยอดให้หลายชิ้น เช่น Venus Victrix และ Napoleon as Mars the Peacemaker
คาโนวาเดินทางไปอังกฤษหลายครั้งได้เยี่ยมชมประติมากรรมหินอ่อนเอลกิน (Elgin Marbles) รวมทั้งไปดูแลการติดตั้งผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งคือ The Three Graces ก่อนจะกลับอิตาลีทำงานแกะสลักรูปปั้น Venus Italica ที่สร้างขึ้นทดแทนรูปปั้น Venus de’ Medici ซึ่งถูกนโปเลียนยึดครองไป ความโด่งดังของคาโนวาไปไกลถึงสหรัฐอเมริกาที่ได้จ้างเขาทำรูปปั้นของ George Washington ซึ่งถูกส่งถึงรัฐนอร์ทแคโรไลนาในปี 1821 แต่น่าเสียดายที่มันถูกทำลายจากไฟไหม้หลังจากจัดแสดงได้เพียง 10 ปี คาโนวาทุ่มเทเวลาให้กับการแกะสลักรูปปั้นแทบไม่หยุดหย่อน ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตยังได้สร้างผลงานชิ้นเยี่ยมให้กับราชวงศ์อังกฤษคือรูปปั้น Mars and Venus คาโนวาเสียชีวิตในปี 1822 ด้วยวัย 64 ปี เขาเป็นศิลปินที่สร้างงานศิลปะมาตลอดชีวิตและไม่เคยแต่งงาน
10 ผลงานชิ้นเอกของอันโตนิโอ คาโนวา
ข้อมูลและภาพจาก ranker, timeout, wikipedia, britannica