มอแน เป็นผู้ริเริ่มศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ เป็นจิตรกรคนสำคัญของฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 19 ถึง 20 เขาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1840 แต่ไปเติบโตและเรียนศิลปะที่เมืองเลออาฟวร์ ในนอร์ม็องดีทางเหนือของฝรั่งเศส จนอายุ 19 ปีจึงได้มาล่าฝันการเป็นศิลปินต่อในกรุงปารีส ได้เรียนศิลปะเพิ่มและได้พบกับศิลปินที่มีความคิดต่อศิลปะแนวใหม่คล้ายๆกันหลายคน รวมทั้งเอดัวร์ มาแน และปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ ในปี 1865 มอแนได้พบกับ Camille Doncieux ซึ่งมาเป็นนางแบบให้และต่อมาได้เป็นภรรยาคนแรกของเขา มอแนเขียนภาพที่มี Camille อยู่ในภาพด้วยจำนวนมาก ที่โดดเด่นได้แก่ Camille (The Woman in the Green Dress), Women in the Garden, Woman with a Parasol
มอแนกับเพื่อนหลายคนช่วยกันผลักดันภาพเขียนแนวใหม่จนได้จัดแสดงนิทรรศการครั้งแรกในกรุงปารีสเมื่อปี 1874 มอแนใช้ภาพ ‘Impression, Sunrise’ เป็นภาพหนึ่งในการจัดแสดงซึ่งต่อมาชื่อภาพถูกนำไปใช้เรียกศิลปะแนวใหม่ว่าอิมเพรสชันนิสม์ แต่พวกเขาไม่ประสบความสำเร็จและยังถูกต่อต้านจากกลุ่มนิยมศิลปะดั้งเดิม ทำให้มอแนต้องอยู่อย่างยากจนข้นแค้นยาวนานถึง 20 ปี
ปี 1883 มอแนย้ายไปอยู่ที่เมืองจิแวร์นีย์ ในนอร์ม็องดี และทำสวนดอกไม้ขนาดใหญ่ ใช้เป็นสถานที่เขียนภาพไปตลอดจนถึงบั้นปลายของชีวิต ภาพชุด Water Lilies ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เขียนจากสวนหลังบ้านของเขาเอง ช่วงหลังมอแนนิยมเขียนภาพชุดที่มีองค์ประกอบเดียวกันแต่ต่างมุมมอง ต่างเวลา ต่างสภาวะอากาศและแสงสี เกิดเป็นภาพชุดที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากมาย เช่น ชุด Rouen Cathedral, ชุด Poplars, ชุด Haystacks มอแนเสียชีวิตเมื่อปี 1926 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานให้ผู้คนได้ชื่นชมด้วยความ ‘ประทับใจ’ มากมาย
10 ผลงานชิ้นเอกของโกลด มอแน
2. ปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์ (Pierre-Auguste Renoir)
เรอนัวร์เป็นหนึ่งในผู้สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่ให้ความสำคัญของการใช้สีสันสะท้อนอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าให้รายละเอียดที่เหมือนจริง งานของเรอนัวร์จะใช้สีสดใสมีชีวิตชีวา เน้นความสวยงามและเสน่ห์ของผู้หญิง เรอนัวร์เกิดในปี 1841 ที่เมือง Limoges ประเทศฝรั่งเศส แต่มาเติบโตที่กรุงปารีส เรียนศิลปะรุ่นเดียวกับโกลด มอแน เขาได้รับแรงบันดาลใจในการเขียนภาพจากศิลปินรุ่นพี่หลายคนรวมทั้ง เอดัวร์ มาแน
เรอนัวร์มีผลงานเข้าร่วมในนิทรรศการศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งที่ 3 ในปี 1877 ที่เขาส่ง Dance at Le Moulin de la Galette ภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขาเข้าร่วมด้วย แต่เขามาประสบความสำเร็จกลายเป็นศิลปินยอดนิยมด้วยภาพ Madame Georges Charpentier and Her Children ที่ได้จัดแสดงในปี 1879 เรอนัวร์แต่งงานกับ Aline Charigot ผู้เป็นนางแบบให้ในภาพ Luncheon of the Boating Party และ The Large Bathers
ราวปี 1892 เรอนัวร์เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ ทำให้ต้องย้ายไปอยู่ในเมือง Cagnes-sur-Mer ที่มีอากาศอบอุ่นทางใต้ของประเทศ โรคข้ออักเสบทำให้เขาเคลื่อนไหวลำบาก แต่เขาก็ไม่ย่อท้อ ยังคงเขียนภาพอย่างต่อเนื่อง โดยได้พัฒนาอุปกรณ์ช่วยให้เขาทำงานได้ แม้แต่ตอนที่อาการรุนแรงจนนิ้วมือเป็นอัมพาตขยับไม่ได้ เขายังใช้ผ้าผูกแปรงติดกับนิ้วมือเขียนภาพจนได้ สิ่งที่ปลอบประโลมใจเขาในปั้นปลายของชีวิตคือการได้กลับไปที่พิพิธภัณฑ์ลูฟวร์เพื่อดูภาพเขียนของเขาเองที่แขวนเคียงคู่อยู่กับศิลปินชั้นนำคนอื่นๆ เขาเสียชีวิตในปี 1919 ด้วยวัย 78 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของปีแยร์-โอกุสต์ เรอนัวร์
3. ฌัก-หลุยส์ ดาวีด (Jacques-Louis David)
ฌัก-หลุยส์ ดาวีด เป็นจิตรกรชั้นนำผู้โดดเด่นแห่งยุคนีโอคลาสสิกในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ดาวีดเกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1748 พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุเพียง 9 ปี เขาจึงไปอยู่กับลุงที่เป็นสถาปนิกผู้มั่งคั่ง ด้วยความชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจเขาจึงมุ่งหน้าเรียนการเขียนภาพเพื่อเป็นจิตรกรแทนการเป็นสถาปนิกอย่างที่แม่กับลุงต้องการ ดาวีดได้เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะชั้นนำ Royal Academy ที่กรุงปารีส ปี 1774 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้รับทุนไปเรียนศิลปะที่กรุงโรมซึ่งเขาได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นนำมากมาย รวมทั้งได้เที่ยวชมซากปรักหักพังของเมืองปอมเปอีที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่ และได้ศึกษาผลงานของ Raphael ซึ่งทำให้เขาประทับใจในศิลปะแบบคลาสสิกอย่างไม่รู้ลืม
ปี 1780 ดาวีดกลับมาอยู่ที่ปารีสเริ่มสร้างผลงานและชื่อเสียงพร้อมกับสอนลูกศิษย์จำนวนมาก ผลงานชั้นยอดชิ้นแรกเป็นภาพ Oath of the Horatii ตามมาด้วยภาพ Death of Socrates ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เทียบเท่ากับภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีนของ Michelangelo และภาพในห้องราฟาเอลที่พระราชวังวาติกันของ Raphael ระหว่างการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เริ่มต้นในปี 1789 ดาวีดเข้าร่วมกับฝ่ายปฏิวัติและได้เขียนภาพเหตุการณ์ประวัติศาสตร์การลอบสังหาร Marat นักคิดนักเขียนและหัวหอกสำคัญของฝ่ายปฏิวัติขณะอยู่ในอ่างอาบน้ำในชื่อภาพ The Death of Marat ซึ่งกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา นอกจากนี้ดาวีดยังเขียนภาพเหมือนบุคคลที่เป็นผลงานชั้นยอดมากมาย อย่างเช่นภาพ Portrait of Madame Récamier และภาพ Portrait of Émilie Sériziat and Her Son
หลังการปฏิวัตินโปเลียน โบนาปาร์ตได้เป็นจักรพรรดิแห่งฝรั่งเศส พระองค์ชื่นชอบผลงานของดาวีดและให้เขาเป็นจิตรกรแห่งราชสำนัก ดาวีดจึงมีผลงานชิ้นเยี่ยมที่เป็นภาพของนโปเลียนหลายภาพอย่างเช่นภาพ Napoleon Crossing the Alps และภาพ The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries รวมทั้งผลงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา The Coronation of Napoleon ภาพเขียนสีน้ำมันขนาดยาวเกือบ 10 เมตร สูงกว่า 6 เมตร ซึ่งดาวีดใช้เวลาเขียนภาพนี้นานกว่า 3 ปี หลังจากนโปเลียนหมดอำนาจเขาจึงเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม และเสียชีวิตที่นั่นในปี 1825 ดาวีดไม่เพียงมีผลงานภาพเขียนชั้นยอดมากมายเท่านั้น เขายังมีลูกศิษย์ที่ต่อมากลายเป็นศิลปินชั้นนำแห่งยุคอีกหลายคน รวมทั้ง Jean-Auguste-Dominique Ingres และ François Gérard
10 ผลงานชิ้นเอกของฌัก-หลุยส์ ดาวีด
4. ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ (Jean-Auguste-Dominique Ingres)
ฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์ เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคนีโอคลาสสิกผู้ได้รับการยกย่องว่าเขียนภาพเปลือยผู้หญิงได้สวยที่สุด แอ็งกร์เกิดเมื่อปี 1780 ที่เมือง Montauban ประเทศฝรั่งเศส เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะที่เมือง Toulouse ซึ่งครอบครัวย้ายมาอยู่เมื่อปี 1791 พออายุ 17 ปีเขาไปศึกษาศิลปะต่อในสตูดิโอของ Jacques-Louis David ที่กรุงปารีส แอ็งกร์เป็นลูกศิษย์ David นาน 4 ปี จนปี 1801 เขาชนะการแข่งขัน Prix de Rome ได้ทุนไปศึกษาต่อที่กรุงโรม แต่สถาบันมีปัญหาด้านการเงินทำให้เขาต้องรอนานหลายปี ระหว่างที่รอเขาได้รับงานเขียนภาพพร้อมกับพัฒนาฝีมือโดยนำเอาเทคนิคที่ศึกษาจากภาพเขียนยุคเรอเนสซองส์ผสมผสานกับสิ่งที่เรียนรู้จาก David กลายเป็นสไตล์เฉพาะตัวซึ่งปรากฏในผลงานชั้นยอดชิ้นแรกๆคือภาพ Napoleon I on his Imperial Throne ก่อนที่เขาจะไปกรุงโรมในปี 1806
ระหว่างศึกษาที่สถาบัน Académie de France ในกรุงโรมแอ็งกร์ส่งภาพเขียนกลับมายังปารีสเพื่อประเมินความก้าวหน้าตามข้อกำหนดของนักเรียนทุน หลายภาพที่เขาส่งมาเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมที่กลายเป็นภาพดังในเวลาต่อมา ซึ่งรวมทั้งภาพ The Valpinçon Bather และภาพ Jupiter and Thetis หลังจบการศึกษาในปี 1811 แอ็งกร์ยังทำงานเขียนภาพที่โรมต่ออีกระยะหนึ่งก่อนที่จะเดินทางไปเมืองเนเปิลส์เพื่อเขียนภาพให้กษัตริย์แห่งเนเปิลส์ในปี 1814 ซึ่งเขาเขียนให้หลายภาพรวมทั้งภาพสำคัญหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาคือภาพ Grande Odalisque ปี 1820 แอ็งกร์ย้ายไปอยู่ที่เมืองฟลอเรนซ์และสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์มีหลายภาพที่โดดเด่น ภาพ The Vow of Louis XIII ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์งานศิลปะอย่างมาก
หลังจากกลับมาอยู่ที่ปารีสแอ็งกร์ได้สร้างผลงานอันยอดเยี่ยมอีกมากมาย อย่างเช่นภาพ The Apotheosis of Home และภาพ Portrait of Monsieur Bertin ปี 1834 แอ็งกร์กลับไปอยู่ที่โรมอีกครั้งทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Académie de France นาน 6 ปี ก่อนจะกลับมาเป็นอาจารย์ที่สถาบัน Ecole des Beaux-Arts ในปารีส พร้อมกับสร้างภาพเขียนชั้นยอดของเขาต่อไป แม้ขณะที่อายุมากกว่า 70 ปีแล้วแอ็งกร์ยังเขียนภาพได้อย่างยอดเยี่ยม ปี 1856 เขาเขียนภาพ The Source ซึ่งเขาทำค้างไว้ตั้งแต่ปี 1820 จนเสร็จสมบูรณ์และกลายเป็นหนึ่งในภาพผู้หญิงเปลือยที่สวยที่สุด หลังจากนั้นอีกหลายปีเขายังได้เขียนภาพ The Turkish Bath ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงอย่างมากอีกภาพหนึ่ง แอ็งกร์เสียชีวิตเมื่อปี 1867 ด้วยวัย 86 ปี ทิ้งผลงานชั้นยอดเอาไว้มากมาย แม้ตัวแอ็งกร์เองคิดว่าเขาเป็นจิตรกรเขียนภาพประวัติศาสตร์ แต่ผู้คนส่วนใหญ่กลับคิดว่าภาพเหมือนบุคคลคือมรดกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขา
10 ผลงานชิ้นเอกของฌ็อง-โอกุสต์-ดอมีนิก แอ็งกร์
5. แอดการ์ เดอกา (Edgar Degas)
แอดการ์ เดอกา เป็นศิลปินผู้โดดเด่นในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเป็นทั้งจิตรกร ประติมากร และช่างภาพพิมพ์คนสำคัญของฝรั่งเศส เดอกาเกิดที่กรุงปารีสเมื่อปี 1834 เขาชอบการเขียนภาพตั้งแต่เด็กแต่ต้องเข้าเรียนวิชากฎหมายตามความต้องการของพ่อ จากนั้นจึงได้เรียนศิลปะที่สถาบัน École des Beaux-Arts ปี 1856 เดอกาเดินทางไปอิตาลีศึกษาและคัดลอกภาพเขียนของศิลปินชั้นครูยุคเรอเนสซองส์หลายคนรวมทั้ง Michelangelo, Raphael และ Titian เขาฝึกฝีมืออยู่ที่อิตาลีถึง 3 ปีและยังคัดลอกภาพในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อีกหลายปี ทำให้เขามีฝีมือการเขียนลายเส้นที่สวยงามที่สุดคนหนึ่ง ระหว่างที่อยู่ในอิตาลีเขาได้เริ่มต้นสร้างภาพเขียนชิ้นเอกชิ้นแรกคือภาพ Portrait of the Bellelli Family
เดอกากลับปารีสในปี 1859 และเริ่มสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์อยู่หลายปีก่อนจะเปลี่ยนแนวหลังจากได้เจอกับ Édouard Manet ปี 1864 เขาย้ายไปอยู่ที่เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกาอยู่พักหนึ่งหลังเสร็จสิ้นภารกิจการเป็นทหารเกณฑ์ในสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย ที่นั่นเขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยม A Cotton Office in New Orleans แม้เดอกาจะเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ แต่เขาไม่เขียนภาพกลางแจ้งเหมือนศิลปินคนอื่น เขาชอบเขียนภาพในสตูดิโอและชอบเขียนภาพนักเต้นบัลเลต์เป็นพิเศษ ผลงานของเขากว่าครึ่งหนึ่งเป็นภาพนักเต้นที่มีลายเส้นและท่วงท่าการเคลื่อนไหวที่งดงามอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา ผลงานชิ้นเยี่ยมในบรรดาภาพเหล่านี้ได้แก่ภาพ The Ballet Class, Ballet Rehearsal และ The Dance Class
เดอกาชอบเขียนภาพบรรยากาศในคาเฟ่ เขามีผลงานชั้นยอดที่เป็นทั้งภาพนักร้องในคาเฟ่และผู้ที่มาดื่มกินจำนวนมาก ภาพ In a Café (The Absinthe Drinker) เป็นหนึ่งในภาพที่ยอดเยี่ยมและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา เดอกายังชอบเขียนภาพนู้ดผู้หญิงในหลากหลายอิริยาบถ, ภาพบรรยากาศในสนามแข่งม้า รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลด้วย นอกจากงานเขียนภาพแล้วเขายังมีผลงานด้านประติมากรรมที่มีความโดดเด่นเช่นกัน เดอกาผู้ได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรคลาสสิกแต่วาดภาพสมัยใหม่เสียชีวิตในปี 1917 ด้วยวัย 83 ปี โดยไม่ได้แต่งงานกับใครแม้จะมีความใกล้ชิดกับผู้หญิงหลายคน เขาทุ่มเทเวลาทั้งชีวิตสร้างงานศิลปะที่เขารักเหนือสิ่งอื่นใด
10 ผลงานชิ้นเอกของแอดการ์ เดอกา
6. เอดัวร์ มาแน (Édouard Manet)
เอดัวร์ มาแน เป็นจิตรกรชาวฝรั่งเศสคนแรกๆที่ฉีกแนวการเขียนภาพแบบดั้งเดิมมาเป็นการเขียนภาพชีวิตสมัยใหม่ เป็นคนสำคัญในการเปลี่ยนจากศิลปะแบบสัจนิยมมาเป็นแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเกิดเมื่อปี 1832 ที่กรุงปารีส มาแนชอบวาดรูปตั้งแต่เด็กแต่พ่ออยากให้เป็นนักกฎหมายเหมือนตัวเองจึงต้องเรียนตามใจพ่อ กว่าจะได้เริ่มเรียนศิลปะจริงจังก็ตอนอายุได้ 18 ปีแล้ว เขาเรียนเขียนภาพกับ Thomas Couture นาน 6 ปี พอมีเวลาว่างเขาก็ไปคัดลอกภาพเขียนชื่อดังในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ระหว่างปี 1853-1856 เดินทางไปในเยอรมัน, อิตาลี และเนเธอร์แลนด์เพื่อศึกษาผลงานของศิลปินเลื่องชื่อ ก่อนจะกลับมาเป็นจิตรกรมืออาชีพที่ปารีสในปี 1856
มาแนเริ่มต้นด้วยการเขียนภาพแบบสัจนิยมเป็นหลัก มีการเขียนภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนานบ้างเล็กน้อย เขาค่อยๆพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นแบบฉบับของตัว จนถึงปี 1862 จึงได้เขียนภาพสำคัญชิ้นแรกคือภาพ Music in the Tuileries ปีต่อมาเขาสร้างผลงานชิ้นเอก 2 ภาพคือภาพ Luncheon on the Grass และ Olympia ซึ่งทั้งสองภาพได้รับการวิพากษ์วิจารณ์และโต้เถียงกันอย่างมาก เพราะบรรดานักวิจารณ์และผู้เชี่ยวชาญศิลปะรุ่นเก่ายังรับการนำเสนอแบบใหม่ในงานของเขาไม่ได้ แต่ต่อมาทั้งสองภาพนี้กลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงโด่งดังมากที่สุดของเขาและยังเป็นต้นธารแห่งศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กำเนิดโดยกลุ่มศิลปินรุ่นหลังที่เป็นเพื่อนของเขาหลายคน รวมทั้ง Claude Monet และครอบครัวที่เขาใช้เป็นแบบในภาพเขียนชั้นยอดของเขาหลายภาพ หนึ่งในนั้นคือภาพ Boating
มาแนชอบเขียนภาพที่มีฉากหลังเป็นภูมิทัศน์เมืองปารีส ภาพ The Railway เป็นอีกผลงานหนึ่งที่ได้รับการชื่นชอบมาก เขาเขียนภาพเหมือนได้อย่างยอดเยี่ยมและมีเสน่ห์ในสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว อย่างเช่นภาพ Berthe Morisot with a Bouquet of Violets มาแนมีช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์อยู่ราว 20 ปี ซึ่งเขาได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้จำนวนมาก ภาพเขียนสำคัญชิ้นสุดท้ายของเขาคือภาพ A Bar at the Folies-Bergère ซึ่งเขียนเสร็จในปี 1882 หลังจากนั้นเขาจะเขียนแต่ภาพขนาดเล็กพวกภาพเหมือนและภาพดอกไม้ในแจกัน มาแนเสียชีวิตในปี 1883 ด้วยวัย 51 ปี ผลงานการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพแบบใหม่ของเขาถือเป็นนวัตกรรมที่มีอิทธิพลต่อศิลปินรุ่นต่อมานำไปใช้สร้างสรรค์ศิลปะสมัยใหม่
10 ผลงานชิ้นเอกของเอดัวร์ มาแน
7. เออแฌน เดอลาครัว (Eugène Delacroix)
เออแฌน เดอลาครัว เป็นศิลปินคนสำคัญของฝรั่งเศสผู้ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้นำของศิลปะแบบโรแมนติก เขาเกิดเมื่อปี 1798 ที่เมืองเล็กๆใกล้กรุงปารีสและเติบโตที่นั่น ปี 1815 เดอลาครัวเรียนการเขียนภาพกับ Pierre-Narcisse Guérin จิตรกรชาวปารีสในสไตล์นีโอคลาสสิกของ Jacques-Louis David แต่เขากลับได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องการใช้สีกับการเคลื่อนไหวจาก Peter Paul Rubens และศิลปินชาวเวนิสในยุคเรอเนสซองส์ และได้รับอิทธิพลจากเพื่อนศิลปินแนวโรแมนติกของเขาหลายคน รวมทั้งนักเปียนโน Frédéric Chopin และนักเขียน George Sand ปี 1822 เดอลาครัวมีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือภาพ The Barque of Dante ซึ่งถือกันว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงลักษณะการเล่าเรื่องจากแบบนีโอคลาสสิกมาเป็นแบบโรแมนติก
อีกสองปีต่อมาเดอลาครัวคลอดผลงานชิ้นเอกคือภาพ The Massacre at Chios ที่เขาเสนอภาพความน่ากลัวของการทำลายล้างของสงครามในเหตุการณ์สังหารหมู่บนเกาะ Chios ได้อย่างยอดเยี่ยม ตามมาด้วยภาพ Greece on the Ruins of Missolongh ในเหตุการณ์เดียวกันซึ่งสะท้อนความรู้สึกของชาวกรีซที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ ปี 1827 เดอลาครัวมีผลงานชั้นยอดออกมาอีกคราวนี้เป็นเรื่องราวจากบทละครในชื่อภาพ The Death of Sardanapalus ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ศิลปะอย่างมาก เขาใช้เวลาเพียง 5 ปีสร้างชื่อจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นจิตรกรชื่อดังชั้นแนวหน้าของประเทศ ปี 1830 ฝรั่งเศสเกิดเหตุการณ์ July Revolution การปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 เดอลาครัวเขียนภาพ Liberty Leading the People เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวโดยเขาเสนอภาพของเทพีแห่งสันติภาพนำหน้าผู้คนข้ามอุปสรรคและคนที่ล้มลง ในมือของเธอถือธง 3 สีซึ่งต่อมากลายเป็นธงชาติฝรั่งเศส และภาพนี้ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา
ปี 1832 เดอลาครัวเดินทางไปยังสเปนและประเทศในทวีปแอฟริกาเหนือในภารกิจทางการทูตที่โมร็อคโคหลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองอัลจีเรีย ตัวเขาเองก็ต้องการหนีจากความศิวิไลซ์ของปารีสไปสัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมในประเทศเหล่านั้น ในการเดินทางครั้งนี้เดอลาครัวได้เขียนภาพวิถีชีวิตของคนแถบแอฟริกาเหนือกว่า 100 ภาพ หลายภาพเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมของเขาอย่างเช่นภาพ Women of Algiers in their Apartment และภาพ Entry of the Crusaders in Constantinople ต่อมาเดอลาครัวหันไปรับงานเขียนภาพฝาผนังในอาคารสาธารณะ รวมทั้งเขียนภาพปูนเปียกที่โบสถ์ด้วย พออายุมากขึ้นเดอลาครัวซึ่งมีปัญหาการติดเชื้อในลำคอมักจะออกไปพักผ่อนในกระท่อมของเขาที่ Champrosay นอกกรุงปารีส เขาเสียชีวิตในปี 1863 ในวัย 65 ปี
10 ผลงานชิ้นเอกของเออแฌน เดอลาครัว
ปอล เซซาน เป็นจิตรกรคนสำคัญชาวฝรั่งเศสในลัทธิประทับใจยุคหลังผู้วางรากฐานแนวคิดสู่ศิลปะสมัยใหม่ที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงในศตวรรษที่ 20 เซซานเกิดเมื่อปี 1839 ที่เมือง Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส หลังจากต้องเรียนกฎหมายตามความต้องการของพ่อที่เป็นนายธนาคารอยู่นาน ปี 1861 เขาจึงได้โอกาสไปเรียนศิลปะที่กรุงปารีสและได้รู้จักคลุกคลีอยู่กับกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน โดยเฉพาะ Camille Pissarro ที่สอนการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์แก่เขาและยังได้เขียนภาพด้วยกันอยู่หลายปี เซซานจึงเปลี่ยนแนวจากการใช้สีมืดทึบในช่วงแรกๆมาเป็นสีสว่างสดใสขึ้น ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The House of Hanged Man, ภาพ L’Estaque, Melting Snow และภาพ A Modern Olympia
ต้นทศวรรษ 1880 เซซานย้ายไปอยู่ที่ Provence ที่ซึ่งเขาได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire มาก หากใครได้ดูภาพทิวทัศน์ภูเขาลูกนี้ที่เขาเขียนไว้ทั้งหมดหลายสิบภาพก็จะเห็นพัฒนาการในสไตล์การเขียนภาพของเขาได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าภาพ Montagne Sainte-Victoire เป็นผลงานได้รับการยกย่องในลำดับต้นๆ นอกจากนี้เซซานยังมีผลงานการเขียนภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเองอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Boy in the Red Vest และ Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair เป็นต้น
หลังจากปี 1990 เซซานต้องประสบกับปัญหาในชีวิตหลายอย่าง เขาเป็นโรคเบาหวาน รวมทั้งแยกกันอยู่กับภรรยา แต่เขายังคงทำงานเขียนภาพอย่างต่อเนื่องผลิตผลงานชั้นยอดออกมามากมาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแนวคิดและสไตล์สู่ความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้น ผลงานระดับสุดยอดของเขาก็เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ อย่างเช่นภาพ The Card Players และ The Bathers รวมทั้งภาพหุ่นนิ่งที่มักมีลูกแอปเปิลเป็นองค์ประกอบหลักที่เขาเขียนไว้หลายสิบภาพด้วยกัน เซซานเสียชีวิตในปี 1906 ขณะมีอายุ 67 ปี ทิ้งมรดกเป็นผลงานภาพเขียนมากกว่า 1,000 ภาพ ผลงานของเขาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างลัทธิประทับใจกับลัทธิคิวบิสม์ หลายคนให้การยกย่องเขาเป็น “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่”
10 ผลงานชิ้นเอกของปอล เซซาน
ปอล โกแก็ง เป็นศิลปินคนสำคัญอีกคนหนึ่งในลัทธิประทับใจยุคหลังชาวฝรั่งเศส เขาได้พัฒนาการเขียนภาพแนวใหม่หลุดพ้นจากความเป็นอิมเพรสชั่นนิสม์ปูทางสู่ศิลปะสมัยใหม่ โกแก็งเกิดเมื่อปี 1848 ที่กรุงปารีส เขาไม่เคยเรียนศิลปะที่สถาบันใดมาก่อนแต่ชอบเขียนภาพ เริ่มจากยามว่างจากงานในอาชีพนายหน้าค้าหุ้นและจริงจังมากขึ้นจนกระทั่งหันมาเขียนภาพอย่างเดียวตั้งแต่ปี 1882 โกแก็งเป็นเพื่อนกับศิลปินในกลุ่มอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน เขาเขียนภาพด้วยกันกับ Camille Pissarro, Paul Cézanne และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ Vincent van Gogh ผู้ที่ชื่นชอบเขาเป็นพิเศษและได้เขียนภาพด้วยกันที่เมือง Arles ซึ่งเป็นที่มาของภาพดัง The Painter of Sunflowers และเหตุการณ์เฉือนใบหูตัวเองของ van Gogh
โกแก็งเริ่มเขียนภาพในแนวอิมเพรสชั่นนิสม์แต่เขาได้พัฒนาสไตล์จนเป็นแบบฉบับของตัวเอง ภาพ Vision After the Sermon ในปี 1888 เป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จของเขา ตามมาด้วยภาพ The Yellow Christ ในปีถัดมา ปี 1891 เขาออกเดินทางล่าฝันหนีจากดินแดนแห่งประเพณีนิยมและจอมปลอมอย่างกรุงปารีสไปใช้ชีวิตอยู่ที่เกาะตาฮิติ ที่นั่นเขาได้เขียนภาพทิวทัศน์ของเกาะและชีวิตความเป็นอยู่ของชาวตาฮิติในสไตล์อันเป็นเอกลักษณ์ของตัวเองออกมามากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Tahitian Women on the Beach, Hail Mary รวมทั้งภาพ When Will You Marry? ที่กลายเป็นหนึ่งในภาพเขียนที่มีราคาแพงที่สุดในโลก
หลังจากกลับมากรุงปารีสในปี 1893 โกแก็งยังคงเขียนภาพชีวิตชาวตาฮิตาต่อไป อย่างเช่นภาพ Day of the God แต่เขาอยู่ที่ปารีสได้อีกไม่นานเพราะเขารักชีวิตการเป็นชาวเกาะเสียแล้ว ปี 1895 เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เกาะตาฮิติอย่างถาวร พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดเพิ่มอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Where Do We Come From? What Are We? Where Are We Going? และภาพ O Taiti (Nevermore) ช่วงบั้นปลายชีวิตโกแก็งย้ายไปพักอาศัยอยู่อย่างสงบในบ้านหลังเล็กๆที่เกาะ Marquesas อันห่างไกล เขาเสียชีวิตในปี 1903 ด้วยวัย 56 ปี หลังจากที่เขาจากไปชื่อเสียงกลับยิ่งเพิ่มพูนและผลงานของเขามีอิทธิพลต่อศิลปินสมัยใหม่รุ่นหลังจำนวนมาก รวมทั้ง Pablo Picasso และ Henri Matisse
10 ผลงานชิ้นเอกของปอล โกแก็ง
10. โอกุสต์ รอแด็ง (Auguste Rodin)
โอกุสต์ รอแด็ง เป็นประติมากรชาวฝรั่งเศสผู้มีผลงานโดดเด่นที่สุดในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ถึงต้นศตวรรษที่ 20 เขาเกิดเมื่อปี 1840 ที่กรุงปารีส ตอนอายุ 14 ปีเข้าเรียนศิลปะที่โรงเรียนเล็กๆจนถึงปี 1857 รอแด็งพยายามสอบเข้าสถาบัน École des Beaux-Arts ถึงสามครั้งแต่ก็ต้องผิดหวังเพราะผลงานที่เขานำเสนอยังไม่เข้าตากรรมการ เขาจึงออกจากโรงเรียนมาทำงานเลี้ยงชีพด้วยการเป็นช่างฝีมือทำชิ้นงานเครื่องประดับและงานตกแต่งทางสถาปัตย์ ปี 1875 เดินทางไปอิตาลีศึกษาผลงานของ Michelangelo และ Donatello ซึ่งช่วยปลดปล่อยเขาจากการสร้างประติมากรรมตามหลักวิชาและกระตุ้นอัจฉริยภาพทางศิลปะของเขาออกมา ปี 1877 เขาได้สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกคือรูปปั้นสำริด The Age of Bronze และตามมาด้วยรูปปั้น St. John the Baptist Preaching ในปี 1880 ซึ่งได้รับการชื่นชมอย่างสูงส่งผลให้รอแด็งกลายเป็นประติมากรมีชื่อเสียงในวัย 40 ปี
ปี 1880 รอแด็งรับงานสร้างประตูทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ศิลปะที่มีแผนจะสร้างในอนาคต เป็นงานสำคัญชิ้นใหญ่ที่ชื่อ The Gates of Hell เขาได้แรงบันดาลใจในการสร้างงานชิ้นนี้จากบทกวีเรื่อง Divine Comedy ของ Dante Alighieri กวีคนสำคัญของอิตาลี รอแด็งตั้งใจส่งมอบงานชิ้นนี้ในปี 1885 แต่เอาเข้าจริงเขาทำต่อเนื่องจนกระทั่งเขาเสียชีวิตเป็นเวลา 37 ปี The Gates of Hell ประกอบด้วยรูปปั้นย่อยถึง 186 ชิ้น มีหลายชิ้นถูกเขานำไปขยายเป็นผลงานชิ้นใหญ่ต่างหากและมีชื่อเสียงอย่างมาก โดยเฉพาะรูปปั้น The Thinker ซึ่งเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดและมีการหล่อซ้ำเพื่อติดตั้งในสถานที่สำคัญทั่วโลกหลายสิบแห่ง รวมทั้งรูปปั้น The Kiss และ The Three Shades ซึ่งมีชื่อเสียงไม่แพ้กัน
รอแด็งยังมีผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก อย่างเช่นรูปปั้น The Burghers of Calais, Monument to Balzac และ The Walking Man เป็นต้น พอถึงทศวรรษ 1990 เขาก็กลายเป็นประติมากรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก ผลงานประติมากรรมของเขาเป็นที่ต้องการอย่างสูงทั่วโลก ที่จริงรอแด็งยังมีผลงานด้านอื่นอีกจำนวนมากทั้งภาพเขียน ภาพวาด และภาพพิมพ์นับพันชิ้น แต่ความดังในงานประติมากรรมของเขาได้บดบังผลงานด้านอื่นจนมิด หลายคนให้การยกย่องเขาเทียบชั้นกับ Michelangelo เลยทีเดียว รอแด็งเสียชีวิตขณะมีอายุ 77 ปี ในปี 1917 ปีเดียวกันกับการเสียชีวิตของ Rose Beuret ภรรยาคู่ชีวิตที่อยู่ด้วยกันกว่า 50 ปีแต่เพิ่งแต่งงานกันก่อนเธอเสียชีวิตเพียง 2 สัปดาห์
10 ผลงานชิ้นเอกของโอกุสต์ รอแด็ง
ข้อมูลและภาพจาก ranker, timeout, wikipedia, britannica