10 สุดยอดศิลปินเอก/จิตรกรเอกชาวดัตช์-เฟลมิชกับ 10 ผลงานชิ้นเอก

ศิลปะดัตช์โดยเฉพาะด้านจิตรกรรมมีความโดดเด่นมาตั้งแต่ยุคเริ่มแรกในศตวรรษที่ 15 และต่อเนื่องถึงยุคฟื้นฟูศิลปวิทยาดัตช์และเฟลมิช (Dutch and Flemish Renaissance) ในศตวรรษที่ 16 แต่มาเจริญรุ่งเรืองสุดขีดในศตวรรษที่ 17 ที่เป็นยุคทองของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Golden Age) ซึ่งมีศิลปินดัตช์ชั้นแนวหน้าของโลกหลายต่อหลายคน แม้กระทั่งในช่วงหลังศตวรรษที่ 18 ถึงศตวรรษที่ 20 ศิลปะดัตช์ก็ยังคงมนต์เสน่ห์ดึงดูดใจผู้คนไม่เสื่อมคลาย โดยเฉพาะช่วงอิมเพรสชั่นนิสม์ยุคหลังที่ปรากฏศิลปินเอกของโลกผู้มีผลงานสุดมหัศจรรย์ขึ้นบนแผ่นดินเนเธอร์แลนด์ ศิลปะดัตช์ซึ่งสร้างสรรค์โดยชาวดัตช์และชาวเฟลมิชที่อยู่ทางตอนใต้และมีความใกล้ชิดกันมากจนแทบแยกกันไม่ออกจึงมีความโดดเด่นตลอดมาตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน

และต่อไปนี้คือ 10 สุดยอดศิลปินเอกชาวดัตช์-เฟลมิชที่มีชื่อเสียงมากที่สุดกับ 10 ผลงานชิ้นเอกของพวกเขา

1. วินเซนต์ แวนโก๊ะ (Vincent van Gogh)Vincent-van-Gogh-00.jpg

แวนโก๊ะเป็นหนึ่งในศิลปินที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลมากที่สุดในประวัติศาสตร์ศิลปะตะวันตก ผลงานของเขาโดดเด่นด้วยความงดงาม เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก และมีสีสันสดใส แต่ชีวิตจริงของเขากลับหม่นหมองทุกข์ระทม เขาเกิดที่ประเทศเนเธอร์แลนด์ในปี 1853 เป็นเด็กที่เคร่งขรึมจริงจังและคิดมาก เขาต้องทำงานหลายอย่างตั้งแต่เป็นวัยรุ่น แต่ไม่เคยประสบความสำเร็จ ก่อนที่จะหันมาสนใจและเริ่มต้นเขียนภาพในวัย 27 ปี และในปี 1885 เขาก็มีผลงานสำคัญชิ้นแรกคือ The Potato Eaters

ปี 1886 แวนโก๊ะย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีสที่ซึ่งเขาได้เรียนรู้เทคนิคและแนวทางใหม่ในการเขียนภาพ ได้พบกับศิลปินยุคนั้นหลายคนรวมทั้งปอล โกแก็ง เขาได้พัฒนาฝีมือในการเขียนภาพและสร้างแนวทางของตัวเองที่มีสีสันสดใสขึ้น ต่อมาในปี 1888 เขาย้ายไปอยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศสที่เมือง Arles และ Saint-Rémy ที่อยู่ใกล้กัน สองปีที่นี่เป็นจุดสูงสุดของการเป็นศิลปินของแวนโก๊ะ เขาสร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น Sunflowers, Café Terrace at Night, Irises รวมทั้งผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา The Starry Night

แวนโก๊ะต้องทนทุกข์กับความเจ็บป่วยและอาการโรคจิตผิดปกติ เขาไม่ค่อยใส่ใจต่อสุขภาพ ไม่ค่อยกินอาหารแต่ดื่มจัด เคยคลุ้มคลั่งถึงขั้นใช้มีดโกนตัดใบหูข้างซ้ายของตัวเอง จนในที่สุดเขาก็จบชีวิตด้วยการยิงตัวเองเมื่อปี 1890 ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี

แวนโก๊ะเหมือนเป็นผู้แพ้ตลอดมา ชีวิตล้มเหลว ถูกประนามว่าเป็นคนบ้า แต่ในช่วงเวลาเพียง 10 ปีของการเป็นจิตรกร เขามีผลงานภาพเขียนกว่า 800 ภาพ แม้ว่าตลอดชีวิตเขาจะขายภาพเขียนได้เพียงภาพเดียว คนซื้อยังเป็นเพื่อนศิลปินของเขาเอง แต่จากฝีแปรงที่หยาบและหนาไม่เหมือนใครกลับถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกได้อย่างยอดเยี่ยม กลายเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่น หลังจากเขาเสียชีวิตภาพเขียนของเขากลับโด่งดังเป็นที่ต้องการ แต่ละภาพถูกซื้อขายด้วยราคาที่แพงลิบลิ่ว

10 ผลงานชิ้นเอกของวินเซนต์ แวนโก๊ะ

Vincent-van-Gogh-01The Starry Night

 

Vincent-van-Gogh-02

Sunflowers

Vincent-van-Gogh-03

Irises

Vincent-van-Gogh-04

Wheat Field with Cypresses

Vincent-van-Gogh-05

Café Terrace at Night

Vincent-van-Gogh-06

Portrait of Dr. Gachet

Vincent-van-Gogh-07

Almond Blossoms

Vincent-van-Gogh-08

Self-Portrait with Bandaged Ear

Vincent-van-Gogh-09

Starry Night Over the Rhone

Vincent-van-Gogh-10

The Potato Eaters

 

2. แรมบรันต์ (Rembrandt)Rembrandt-00

แรมบรันต์เป็นทั้งจิตรกร ช่างพิมพ์ และช่างเขียนแบบ เป็นศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อีกคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ศิลปะ ผลงานของเขามีส่วนทำให้เนเธอร์แลนด์เข้าสู่ยุคทองที่รุ่งเรืองสุดขีดในช่วงศตวรรษที่ 17 แรมบรันต์ศึกษาและเรียนศิลปะที่บ้านเกิดจนอายุได้ 19 ปี จึงไปเรียนศิลปะที่อัมสเตอร์ดัมช่วงสั้นๆกับศิลปินดังยุคนั้น แล้วกลับมาทำงานเป็นศิลปินที่บ้านเกิด เขามีชื่อเสียงตั้งแต่วัยเยาว์ มีลูกศิษย์คนแรกที่ต่อมาเป็นศิลปินดังเช่นกันตั้งแต่อายุ 22 ปี

ปี 1632 แรมบรันต์ย้ายไปปักหลักอยู่ที่อัมสเตอร์ดัม แต่งงานและมีสตูดิโอของตัวเอง สร้างผลงานชั้นยอดมากมายที่นี่ เช่น The Anatomy Lesson of Dr. Nicolaes Tulp, Danaë และ The Night Watch ที่เป็นผลงานที่โด่งดังที่สุดของเขา

ผลงานของแรมบรันต์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องแสงและเงา ที่ทำให้ภาพสวยงามดูมีมิติ สามารถบอกระยะตื้นลึกของภาพได้เสมือนจริง เป็นที่ยอมรับของนักวิทยาศาสตร์และนักศิลปศาสตร์จนนำชื่อของเขามาใช้เป็นหนึ่งในประเภทของการจัดแสงถ่ายภาพคือ Rembrandt Lighting

แม้ว่าแรมบรันต์จะประสบความสำเร็จในการเป็นศิลปิน คุณครู และผู้แทนจำหน่ายงานศิลปะ แต่ด้วยการใช้ชีวิตที่โอ่อ่าอวดรวยจึงทำให้เขากลายเป็นบุคคลล้มละลายในปี 1656 ทรัพย์สมบัติของเขารวมถึงของสะสมที่เป็นงานศิลปะและวัตถุโบราณถูกนำออกประมูลขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ กระนั้นก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นไม่ได้กระทบกับการทำงานเลย เขายังคงสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องจวบจนวาระสุดท้ายของชีวิตในปี 1669

10 ผลงานชิ้นเอกของแรมบรันต์

Rembrandt-01The Night Watch

 

Rembrandt-02

The Anatomy Lesson of Dr. Nicolaes Tulp

Rembrandt-03

Danaë

Rembrandt-04

The Jewish Bride

Rembrandt-05

Bathsheba at Her Bath

Rembrandt-06

Belshazzar’s Feast

Rembrandt-07

Self-Portrait with Two Circles

Rembrandt-08

Flora

Rembrandt-09

Woman Bathing in a Stream

Rembrandt-10

Syndics of the Drapers’ Guild

 

3. โยฮัน เฟอร์เมร์ (Johan Vermeer)Johan-Vermeer-00

เฟอร์เมร์ เป็นชาวดัตช์ เกิดเมื่อปี 1632 ที่เมืองเดลฟท์ ประเทศเนเธอร์แลนด์ เขาแต่งงานมีครอบครัวและอาศัยอยู่ที่เมืองเดลฟท์ตลอดชีวิต ไม่มีใครรู้เรื่องราวของเขามากนัก รู้เพียงว่าเขาทุ่มเทให้กับการเขียนภาพ เขาทำงานอย่างช้าๆด้วยความประณีต ประกอบกับเสียชีวิตไปด้วยวัยเพียง 43 ปี จึงมีผลงานค่อนข้างน้อย

เฟอร์เมร์ถูกลืมไปเกือบสองร้อยปีเนื่องจากผลงานของเขาถูกคิดว่าเป็นผลงานของคนอื่น จนกระทั่งในปี 1866 มีงานวิจัยของ Thoré-Bürger ที่เป็นนักวิจารณ์งานศิลปะได้ระบุว่ามีชิ้นงานกว่า 70 ภาพเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ (ปัจจุบันได้รับการยอมรับว่าเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ 34 ภาพ) ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของเฟอร์เมร์ก็เริ่มโด่งดังขึ้น ได้รับการยกย่องว่าเป็นจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในสมัยยุคทองของเนเธอร์แลนด์ ทัดเทียมกับแรมบรันต์

ผลงานของเฟอร์เมร์มีเอกลักษณ์โดดเด่นในเรื่องการจัดแสง ภาพเขียนของเฟอร์เมร์ได้รับการยกย่องว่าเหมือนจริงที่สุด เหมือนกับภาพถ่ายมากที่สุด ซึ่งมาจากความประณีตในการเขียนภาพและเทคนิคการจัดแสงที่ยอดเยี่ยมของเขา จนช่างภาพในยุคหลังนิยมเอาเทคนิคการจัดแสงของเขามาใช้ในการถ่ายภาพ อย่างเช่นภาพ Girl With A Pearl Earring ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในผลงานของเขา สาวน้อยในภาพเหลียวหลังกลับมาในจังหวะที่แสงสาดมาตกกระทบทำมุมพอดีกับฉากหลังที่เป็นสีมืดทึบ ทำให้เธอโดดเด่นเป็นที่ชื่นชอบลุ่มหลงของผู้คนทั่วโลก

10 ผลงานชิ้นเอกของโยฮัน เฟอร์เมร์

Johan-Vermeer-01Girl with a Pearl Earring

 

Johan-Vermeer-02

The Art of Painting

Johan-Vermeer-03

The Little Street

Johan-Vermeer-04

The Milkmaid

Johan-Vermeer-05

View of Delft

Johan-Vermeer-06

Woman Holding a Balance

Johan-Vermeer-07

The Astronomer

Johan-Vermeer-08

A Young Woman standing at a Virginal

Johan-Vermeer-09

The Lacemaker

Johan-Vermeer-10

Officer and Laughing Girl

 

4. ยัน ฟัน ไอก์ (Jan van Eyck)jan-van-eyck-00

ยัน ฟัน ไอก์ เป็นศิลปินคนสำคัญและเป็นหนึ่งในผู้สร้างจิตรกรรมเนเธอร์แลนด์เริ่มแรกซึ่งเกิดขึ้นในช่วงเวลาใกล้เคียงกับการเริ่มต้นยุคเรอเนสซองส์ในอิตาลี เขาเป็นคนแรกๆที่ได้พัฒนาเทคนิคการเขียนภาพด้วยสีน้ำมันจนได้ผลงานที่ยอดเยี่ยม ยัน ฟัน ไอก์เกิดระหว่างปี 1380 – 1390 ที่เมือง Maaseik ซึ่งปัจจุบันอยู่ในประเทศเบลเยียม ปี 1422 – 1425 เขาเป็นจิตรกรของราชสำนักฮอลแลนด์ที่เมืองเฮก ต่อมาได้เป็นจิตรกรแห่งราชสำนักเบอร์กันดีอีกหลายปี จนถึงปี 1429 จึงย้ายไปอยู่ที่เมืองบรูชซึ่งเป็นเมืองหลวงของเขตเฟลมิชของประเทศเบลเยียมและอยู่ที่นั่นไปตลอดชีวิต

ผลงานชิ้นสำคัญของยัน ฟัน ไอก์คือฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ (Ghent Altarpiece) ที่เป็นบานพับภาพขนาด 3.4 x 4.6 เมตร ประกอบด้วยภาพ 12 ภาพซึ่ง Hubert van Eyck ผู้เป็นพี่ชายของเขาเป็นผู้ออกแบบและวางโครงสร้างทั้งหมดของภาพแต่ต้องมาเสียชีวิตในปี 1426 ฟัน ไอก์ ผู้น้องจึงรับหน้าที่เป็นผู้เขียนภาพจนเสร็จหลังการเสียชีวิตของพี่ชาย 6 ปี แต่ละภาพของฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ล้วนสวยงามน่าประทับใจ โดยเฉพาะ 3 ภาพตรงกลางแถวบนที่เป็นภาพของพระเยซู พระแม่มารี และนักบุญจอห์นนั้นเป็นภาพที่งดงามวิจิตรอย่างมาก นอกจากนี้ยัน ฟัน ไอก์ยังมีผลงานภาพเขียนแนวศาสนาที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Annunciation และ Madonna of Chancellor Rolin

ช่วงเวลาหลังจากเสร็จงานเขียนภาพฉากประดับแท่นบูชาเกนต์ถือเป็นช่วงสูงสุดในชีวิตการเป็นจิตรกรของยัน ฟัน ไอก์ เพราะเป็นช่วงที่เขาสร้างผลงานชั้นยอดออกมาอย่างต่อเนื่องมากมาย หนึ่งในนั้นคือภาพ The Arnolfini Portrait ซึ่งเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา ภาพนี้ถูกเขียนออกมาอย่างสวยงามมีมิติน่าประทับใจ ได้รับการยกย่องให้เป็นภาพต้นแบบและมีความซับซ้อนมากที่สุดภาพหนึ่งของจิตรกรรมตะวันตก ยัน ฟัน ไอก์ยังเป็นศิลปินอีกคนหนึ่งที่เขียนภาพเหมือนบุคคลได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพ Man in a Red Turban, Portrait of a Man with a Blue Chaperon รวมทั้ง Portrait of Jan de Leeuw และอีกหลายภาพได้ยืนยันความสำเร็จในด้านนี้ของเขาได้เป็นอย่างดี ยัน ฟัน ไอก์เสียชีวิตในปี 1441 ที่เมืองบรูช

10 ผลงานชิ้นเอกของยัน ฟัน ไอก์

jan-van-eyck-01The Arnolfini Portrait

 

jan-van-eyck-02

The Ghent Altarpiece

jan-van-eyck-03

The Annunciation

jan-van-eyck-04

Madonna of Chancellor Rolin

jan-van-eyck-05

Man in a Red Turban

jan-van-eyck-06

Madonna and Child with Canon Joris van der Paele

jan-van-eyck-07

Portrait of a Man with a Blue Chaperon

jan-van-eyck-08

Portrait of Jan de Leeuw

jan-van-eyck-09

The Lucca Madonna

jan-van-eyck-10

Portrait of Margaret van Eyck

 

5. ปีเตอร์ พอล รูเบนส์ (Peter Paul Rubens)peter-paul-rubens-00

รูเบนส์ เป็นจิตรกรยุคบาโรกที่ได้รับการยกย่องว่ามีอิทธิพลมากที่สุดของเฟลมิช (เบลเยียม) สไตล์การเขียนภาพของเขามีเอกลักษณ์โดดเด่นที่ลักษณะการเคลื่อนไหว สีสัน และมีชีวิตชีวา มีความเชี่ยวชาญทั้งการเขียนภาพเหมือน ภาพทิวทัศน์ ภาพแนวศาสนาและเรื่องจากตำนาน รูเบนส์เกิดเมื่อปี 1577 ที่เมือง Siegen ประเทศเยอรมัน เนื่องจากครอบครัวหนีภัยการทำลายล้างทางศาสนา พอรูเบนส์อายุได้ 12 ปี หลังการตายของพ่อ 2 ปี เขาจึงกลับไปอยู่ที่เมืองแอนต์เวิร์ป (Antwerp) บ้านเกิดของพ่อ รูเบนส์เรียนศิลปะกับจิตรกรชั้นนำของเมืองแอนต์เวิร์ปหลายคน เรียนจบและเริ่มการเป็นมืออาชีพในปี 1598 ระหว่างปี 1600 – 1608 รูเบนส์พักอาศัยอยู่ในอิตาลีศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคนทั้งที่เวนิสและโรม เขาคัดลอกผลงานของศิลปินรุ่นเก่าและรับจ้างเขียนภาพไปด้วย ปี 1606 รูเบนส์มีผลงานที่ยอดเยี่ยมมากคือภาพ Portrait of Marchesa Brigida Spinola-Doria

ปลายปี 1608 รูเบนส์กลับมาที่เมืองแอนต์เวิร์ปและเปิดสตูดิโอของตัวเองรับงานเขียนภาพเหมือนบุคคลและเขียนภาพให้กับโบสถ์ต่างๆในเมือง ภาพเหมือนของตัวเองคู่กับภรรยา Isabella Brant ชื่อภาพ The Honeysuckle Bower ในโอกาสที่ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 1609 นับเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมอีกชิ้นหนึ่ง ตลอดกว่า 10 ปีที่เขาเขียนภาพแนวศาสนาให้กับศาสนจักรมีผลงานชั้นยอดเกิดขึ้นมากมาย โดยเฉพาะภาพที่ฉากประดับแท่นบูชาของรูเบนส์มีความโดดเด่นมาก เช่น ภาพ The Descent from the Cross และภาพ The Elevation of the Cross เป็นต้น นอกจากนี้รูเบนส์ยังมีผลงานในแนวเรื่องจากตำนานและจากคัมภีร์ไบเบิลที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก รวมทั้งภาพ Daniel in the Lions’ Den

ระหว่างปี 1621 – 1630 รูเบนส์ได้รับมอบหมายให้ทำภารกิจด้านการทูต เขาต้องเดินทางไปมาหลายประเทศทั้งสเปน อังกฤษ และเนเธอร์แลนด์เพื่อพยายามนำความสงบมาสู่เนเธอร์แลนด์ของสเปนและสาธารณรัฐดัตช์ ซึ่งเขาก็ทำหน้าที่ได้ดีจนได้รับตำแหน่งอัศวิน ปี 1630 หลังจากภรรยาเสียชีวิตได้ 4 ปี รูเบนส์ในวัย 53 ปีแต่งงานใหม่กับสาวน้อยวัย 16 ปี Helena Fourment และเธอผู้นี้เป็นแรงบันดาลใจให้กับเขาในการเขียนภาพชิ้นเยี่ยมอีกหลายภาพซึ่งจะออกในแนวยั่วยวนกามารมณ์แต่ก็เป็นผลงานเลื่องชื่อของเขา อย่างเช่นภาพ The Judgement of Paris และภาพ The Three Graces ช่วงบั้นปลายชีวิตรูเบนส์ซื้อที่ดินนอกเมืองแอนต์เวิร์ปและใช้เวลาอยู่ที่นั่นค่อนข้างมาก พร้อมกับเขียนภาพทิวทัศน์ที่ยอดเยี่ยมไว้หลายภาพ รวมทั้งภาพ A View of Het Steen in the Early Morning เขาเสียชีวิตในปี 1640 ด้วยวัย 62 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของปีเตอร์ พอล รูเบนส์

peter-paul-rubens-01The Descent from the Cross

 

peter-paul-rubens-02

Samson and Delilah

peter-paul-rubens-03

The Elevation of the Cross

peter-paul-rubens-04

Daniel in the Lions’ Den

peter-paul-rubens-05

The Honeysuckle Bower

peter-paul-rubens-06

Portrait of Marchesa Brigida Spinola-Doria

peter-paul-rubens-07

The Judgement of Paris

peter-paul-rubens-08

The Three Graces

peter-paul-rubens-09

Assumption of the Virgin

peter-paul-rubens-10

A View of Het Steen in the Early Morning

 


6. ปีเตอร์ เบรอเคิล (Pieter Bruegel the Elder)
pieter-bruegel-00

เบรอเคิล (ผู้พ่อ) เป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดของดัตช์และเฟลมิช (เบลเยียม) ในยุคเรอเนสซองส์ เขาเป็นทั้งจิตรกรและช่างภาพพิมพ์ ผลงานภาพเขียนในแนวภาพทิวทัศน์และวิถีชีวิตแบบชาวชนบทของเขาโดดเด่นมาก งานเบรอเคิลมีอิทธิพลต่อการเข้าสู่ยุคทองแห่งจิตรกรรมของเนเธอร์แลนด์ ทั้งลูกและหลานของเขาต่างเป็นจิตรกรชื่อดังในสไตล์ที่แตกต่างกันจนถึงศตวรรษที่ 18 เบรอเคิลเกิดในราวปี 1525 – 1530 ที่เมือง Breda ทางตอนใต้ของเนเธอร์แลนด์ เรียนศิลปะที่เมือง Antwerp นาน 5 ปี จากนั้นเดินทางไปอิตาลีเพื่อศึกษาและหาประสบการณ์เพิ่มเติม กลับมาที่ Antwerp ราวปี 1555 และเริ่มทำงานออกแบบและวาดภาพร่างสำหรับแกะสลักทำภาพพิมพ์ให้กับ Hieronymus Cock ภาพพิมพ์จากฝีมือการออกแบบและวาดภาพของเขาได้รับความนิยม Cock ขายภาพพิมพ์จากผลงานของเบรอเคิลไปทั่วยุโรปจำนวนหลายพันภาพ

ต่อมาเบรอเคิลหันมาสนใจสร้างผลงานภาพเขียนอย่างจริงจัง เขาเป็นคนแรกๆที่เลือกเขียนภาพทิวทัศน์และวิถีชีวิตคนแทนที่จะยึดติดอยู่กับการเขียนภาพเทพเจ้าหรือแนวความเชื่อทางศาสนา เริ่มมีผลงานที่โดดเด่นจากภาพ Netherlandish Proverbs ที่เสนอเรื่องราวตามสุภาษิตของชาวเนเธอร์แลนด์ ตามมาด้วยภาพทิวทัศน์ที่งดงามยิ่งในภาพ Landscape with the Fall of Icarus ที่เขียนจากตำนานซึ่งเป็นภาพเดียวที่เขาเขียนเกี่ยวกับเทพเจ้า ปี 1562 เบรอเคิลเขียนภาพที่น่าประทับใจยิ่งชื่อภาพ The Triumph of Death นำเสนอภาพมนุษยชาติถูกโจมตีโดยกองทัพแห่งความตาย สะท้อนความกลัวการมาถึงของวันสิ้นสุดของโลกได้อย่างน่าสนใจ

ปี 1563 เบรอเคิลแต่งงานและย้ายไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์อย่างถาวรตลอดชีวิต พร้อมกับสร้างผลงานชั้นยอดมากมาย อย่างเช่นภาพ The Tower of Babel ที่เขียนจากเรื่องในคัมภีร์ไบเบิล ผลงานภาพเขียนในช่วงบั้นปลายของชีวิตที่เสนอภาพทิวทัศน์ตามฤดูกาลพร้อมกับวิถีชีวิตของผู้คนหลายภาพมีความสวยงามและโดดเด่นมาก เช่น ภาพ The Hunters in the Snow และภาพ The Harvesters เป็นเรื่องน่าเสียดายมากที่ศิลปินผู้โดดเด่นคนนี้ไม่มีโอกาสและเวลาที่ยาวนานในการสร้างผลงานเท่ากับศิลปินดังอีกหลายคน มิฉะนั้นเราอาจได้ชมผลงานที่ยอดเยี่ยมยิ่งกว่านี้ เบรอเคิลเสียชีวิตในช่วงสูงสุดของชีวิตการศิลปินเมื่อปี 1569 ด้วยวัยราว 40 ปีต้นๆเท่านั้น

10 ผลงานชิ้นเอกของปีเตอร์ เบรอเคิล

pieter-bruegel-01The Hunters in the Snow

 

pieter-bruegel-02

The Tower of Babel

pieter-bruegel-03

Landscape with the Fall of Icarus

pieter-bruegel-04

The Harvesters

pieter-bruegel-05

The Peasant Wedding

pieter-bruegel-06

Netherlandish Proverbs

pieter-bruegel-07

The Wedding Dance

pieter-bruegel-08

Census at Bethlehem

pieter-bruegel-09

The Triumph of Death

pieter-bruegel-10

Winter Landscape with Skaters and Bird Trap

 

7. อันโตน ฟัน ไดก์ (Antoon van Dyck)antoon-van-dyck-00

ฟัน ไดก์ เป็นศิลปินยุคบาโรกที่โดดเด่นของเฟลมิช (เบลเยียม) ผู้ซึ่งได้กลายเป็นจิตรกรเอกแห่งราชสำนักอังกฤษ และยังเป็นผู้ริเริ่มคนสำคัญในเรื่องการใช้สีน้ำและการทำภาพพิมพ์กัดกรด (Etching) เขาเกิดเมื่อปี 1599 ที่เมืองแอนต์เวิร์ปในครอบครัวที่มั่งคั่ง ฟัน ไดก์เรียนศิลปะกับจิตรกรในเมืองบ้านเกิด เขามีพรสวรรค์และพัฒนาการทางศิลปะสูงมาก อายุแค่ 16 ปีก็เปิดสตูดิโอเขียนภาพของตัวเองและได้รับการยอมรับเป็นศิลปินอาชีพก่อนอายุครบ 19 ปี เขาทำงานเป็นผู้ช่วยคนสำคัญของ Peter Paul Rubens ศิลปินชาติเดียวกันที่กำลังดังสุดขีดอยู่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะไปทำงานให้กับราชสำนักอังกฤษที่กรุงลอนดอนในปี 1620 ที่นี่เขาได้เห็นผลงานของ Titian ซึ่งมีส่วนในการพัฒนาการเขียนภาพของเขา

ปี 1621 เขาไปปักหลักอยู่ที่เมืองเจนัวรับงานเขียนภาพและเดินทางไปยังหลายเมืองในอิตาลีเพื่อศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครู ฟัน ไดก์เขียนภาพในหลากหลายแนวทั้งเรื่องจากพระคัมภีร์ เรื่องจากตำนาน แต่งานที่โดดเด่นของเขาคือการเขียนภาพเหมือนบุคคล ตลอดกว่า 10 ปีที่อยู่ในอิตาลีเขาเขียนภาพเหมือนจำนวนมากซึ่งล้วนเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะภาพ Marchesa Elena Grimaldi สวยงามน่าประทับใจมาก จนถึงปี 1632 ฟัน ไดก์ที่ยังคงติดต่อกับราชสำนักอังกฤษอยู่เสมอได้กลับไปเขียนภาพให้กับราชสำนักอังกฤษอีกครั้ง และคราวนี้ทำให้เขาขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิตการเป็นจิตรกร

ฟัน ไดก์เขียนภาพของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ซึ่งมีส่วนสูงไม่ถึง 150 ซม.ได้อย่างองอาจสง่างาม หลังจากนั้นเขาจึงเป็นเพียงคนเดียวที่ได้เขียนภาพของพระองค์ และภาพเหมือนของพระเจ้าชาลส์ที่ 1 ก็กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา อย่างเช่นภาพ Charles I at the Hunt และภาพ Charles I in Three Positions ที่เขียนเพื่อเป็นต้นแบบให้ Gian Lorenzo Bernini สร้างรูปปั้นครึ่งตัวให้กับพระองค์ ฟัน ไดก์เขียนภาพเหมือนของกษัตริย์และราชนิกุลจำนวนมากด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายแต่งามสง่า อย่างเช่นภาพ Portrait of Lord John Stuart and his brother Lord Bernard Stuart จนกลายเป็นต้นแบบและมีอิทธิพลในอังกฤษนานถึง 150 ปี ฟัน ไดก์ได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินและได้รับโซ่ทองพระราชทานซึ่งเขาแสดงไว้ในภาพเหมือนตัวเอง Self-portrait with a Sunflower เขาเสียชีวิตที่กรุงลอนดอนในปี 1641 ด้วยวัย 42 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของอันโตน ฟัน ไดก์

antoon-van-dyck-01Charles I at the Hunt

 

antoon-van-dyck-02

Charles I in Three Positions

antoon-van-dyck-03

Equestrian Portrait of Charles I

antoon-van-dyck-04

Charles I and His Wife Henrietta Maria with Their Eldest Children Charles and James

antoon-van-dyck-05

Self-portrait with a Sunflower

antoon-van-dyck-06

Portrait of James Stuart, Duke of Richmond

antoon-van-dyck-07

Philip, Lord Wharton

antoon-van-dyck-08

Marchesa Elena Grimaldi

antoon-van-dyck-09

Queen Henrietta Maria with Sir Jeffrey Hudson

antoon-van-dyck-10

Portrait of Lord John Stuart and his brother Lord Bernard Stuart

 

8. ฟรันส์ ฮัลส์ (Frans Hals)frans-hals-00

ฟรันส์ ฮัลส์ เป็นจิตรกรคนสำคัญในยุคทองของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Golden Age) ด้วยผลงานการเขียนภาพเหมือนบุคคลที่โดดเด่น ฮัลส์เกิดเมื่อปี 1582 เมือง Antwerp แต่เขาใช้ชีวิตอยู่ที่ Haarlem เมืองใหญ่ทางตอนเหนือของสาธารณรัฐดัตช์เกือบตลอดชีวิตหลังจากย้ายมาตั้งแต่เด็ก ฮัลส์เริ่มต้นอาชีพด้วยการเป็นช่างซ่อมงานศิลปะให้กับสภาเมืองนานหลายปีก่อนที่จะรับงานเขียนภาพเอง จนถึงปี 1616 จึงมีผลงานสำคัญชิ้นแรกเป็นภาพเหมือนกลุ่มบุคคลขนาดใหญ่ชื่อภาพ The Banquet of the Officers of the St George Militia Company ซึ่งต่อมาเขาได้เขียนภาพเหมือนกลุ่มบุคคลอีกจำนวนมากจนกลายเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในวิวัฒนาการของภาพเขียนแนวนี้ในศตวรรษที่ 17

ผลงานสร้างชื่อของฮัลส์ได้แก่การเขียนภาพเหมือนบุคคลด้วยฝีมือที่ยอดเยี่ยม นอกจากรายละเอียดเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับที่มีความประณีตละเอียดละออแล้ว ผิวพรรณและใบหน้าของบุคคลในภาพยังประกอบด้วยสีสันและแสงเงาที่ให้มิติสมจริงมาก อย่างเช่นในผลงานภาพ Catharina Hooft with her Nurse และ Willem van Heythuysen Posing with a Sword นอกจากนี้ภาพเหมือนของฮัลส์ยังมีเสน่ห์ที่การแสดงอารมณ์บนใบหน้าและท่าทางที่มีชีวิตชีวาอันเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งในสไตล์การเขียนภาพของเขา ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Laughing Cavalier ที่เป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดภาพหนึ่งของเขา, ภาพ The Lute Player และภาพ Yonker Ramp and his Sweetheart

แต่สไตล์ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นในยุคเดียวกันกลับเป็นฝีแปรงแบบหยาบๆที่สะบัดอย่างรวดเร็วแต่มีอิสระและพริ้วไหวซึ่งเพิ่มความมีชีวิตชีวาและแปลกใหม่ให้กับภาพอย่างมากอันปรากฏในผลงานเลื่องชื่อของเขาหลายชิ้น อย่างเช่นภาพ The Gypsy Girl และ Malle Babbe เป็นต้น สไตล์การเขียนภาพแบบนี้ได้รับการยกย่องและสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นหลังในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Vincent van Gogh ที่ชื่นชอบเขามากเป็นพิเศษ ฮัลส์สร้างผลงานยอดเยี่ยมมากมายอยู่ที่เมือง Haarlem จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1666 ด้วยวัย 84 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของฟรันส์ ฮัลส์

frans-hals-01Laughing Cavalier

 

frans-hals-02

The Gypsy Girl

frans-hals-03

Meagre Company

frans-hals-04

Willem van Heythuysen Posing with a Sword

frans-hals-05

Malle Babbe

frans-hals-06

Catharina Hooft with her Nurse

frans-hals-07

Marriage Portrait of Isaac Massa and Beatrix van der Laen

frans-hals-08

The Lute Player

frans-hals-09

Yonker Ramp and his Sweetheart

frans-hals-10

The Banquet of the Officers of the St George Militia Company

 

9. ยัน สเตน (Jan Steen)jan-steen-00

ยัน สเตน เป็นจิตรกรชาวดัตช์ในในยุคทองของเนเธอร์แลนด์ (Dutch Golden Age) อีกคนหนึ่งที่มีความโดดเด่นกับผลงานภาพเขียนชีวิตประจำวันที่แฝงอารมณ์ขันและเต็มไปด้วยสีสัน สเตนเกิดที่เมือง Leiden เมื่อปี 1626 ในครอบครัวเจ้าของกิจการโรงเหล้า แต่เริ่มทำงานเป็นผู้ช่วยของจิตรกรเขียนภาพซึ่งต่อมากลายเป็นพ่อตาของเขาอยู่หลายปีก่อนจะมาทำกิจการโรงเหล้าของตัวเองแต่ไม่ประสบความสำเร็จ จึงกลับมาเขียนภาพและในปี 1654 เขาก็มีผลงานชิ้นสำคัญชิ้นแรกคือภาพ Adolf and Catharina Croeser

หลังจากนั้นสเตนได้สร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ถึงแม้เขาจะเขียนภาพในหลากหลายแนวแต่ส่วนใหญ่จะเป็นภาพชีวิตประจำวันซึ่งเขาถ่ายทอดออกมาได้อย่างมีชีวิตชีวาแต่มักจะเต็มไปด้วยความวุ่นวายยุ่งเหยิง จนถูกนำไปใช้เป็นสุภาษิตของชาวดัตช์ที่ว่ายุ่งเหยิงเหมือน “บ้านของสเตน” ภาพของสเตนดูผิวเผินเหมือนนำเสนอแค่อารมณ์ขันและความสนุกสนาน แต่ที่จริงแล้วเขาได้แฝงความนัยและคำเตือนถึงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมไว้ด้วย

สเตนทำงานเขียนภาพกว่า 20 ปีมีผลงานราว 800 ภาพแต่หลงเหลืออยู่ราว 350 ภาพ ผลงานเด่นของสเตนได้แก่ภาพ The Dancing Couple, Beware of Luxury, Children Teaching a Cat to Dance, Rhetoricians at a Window ฯลฯ และอีกมากมาย ช่วงบั้นปลายชีวิตเขาได้เป็นนายกสมาคมศิลปินแห่งเมือง Leiden และเปิดร้านเหล้าซึ่งกลายเป็นที่สมาคมระหว่างเพื่อนศิลปินจนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1679 ขณะมีอายุ 53 ปี

10 ผลงานชิ้นเอกของยัน สเตน

jan-steen-01The Dancing Couple

 

jan-steen-02

Adolf and Catharina Croeser

jan-steen-03

Beware of Luxury

jan-steen-04

The Feast of Saint Nicholas

jan-steen-05

Children Teaching a Cat to Dance

jan-steen-06

Doctor’s Visit

jan-steen-07

Peasants before an Inn

jan-steen-08

Rhetoricians at a Window

jan-steen-09

As the Old Sing, So Pipe the Young

jan-steen-10

Skittle Players outside an Inn

 

10. ดาฟิด เตอเนียร์ส (David Teniers the Younger)david-teniers-the-younger-00

ดาฟิด เตอเนียร์ส เป็นจิตรกรชาวเฟลิชคนสำคัญแห่งยุคบาโรกในช่วงศตวรรษที่ 17 ผู้เชี่ยวชาญในการเขียนภาพได้หลากหลายแนว แต่มีชื่อเสียงมากกับผลงานภาพชีวิตชาวชนบท เตอเนียร์สเกิดที่เมือง Antwerp เมื่อปี 1610 เขาเกิดในตระกูลศิลปินทั้งพ่อและน้องชายสามคนล้วนเป็นจิตรกร ตัวเขาเองยังแต่งงานกับหลานสาวของจิตรกรใหญ่ Pieter Bruegel the Elder เตอเนียร์สทำงานเขียนภาพอยู่ที่เมืองบ้านเกิดจนมีชื่อเสียงและได้เป็นนายกสมาคมศิลปินของเมือง Antwerp ในช่วงปี 1644 – 1645

ผลงานของเตอเนียร์สส่วนใหญ่เป็นภาพชีวิตชาวชนบท เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนารูปแบบของภาพเขียนแนวนี้ เตอเนียร์สนำเสนอภาพชีวิตที่หลากหลายได้อย่างน่าสนใจ เช่น ฉากในโรงเตี๊ยม, ป้อมยาม, ห้องของนักเล่นแร่แปรธาตุ หรือบรรยากาศงานรื่นเริงและการละเล่นต่างๆ ประกอบกับฝีมือการเขียนภาพที่ละเมียดละไมและแสดงความรู้สึกของบุคคลในภาพได้อย่างเข้าถึงอารมณ์ ภาพเขียนของเขาจึงได้รับการยกย่องเป็นอย่างมาก ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Guardroom with the Deliverance of Saint Peter, Smokers and Drinkers, A Family Concert on a Terrace และ Peasants Merry-Making เป็นต้น

ปี 1650 เตอเนียร์สไปเป็นจิตรกรส่วนพระองค์ของอาร์ชดยุก (Archduke) ที่กรุงบรัสเซลส์ซึ่งเขาได้รับมอบหมายให้เป็นผู้ดูแลหอศิลป์ในพระราชวังของอาร์ชดยุก รวมทั้งจัดหาผลงานศิลปะมาเก็บสะสมเพิ่มเติมที่หอศิลป์ด้วย และนั่นเป็นที่มาของผลงานภาพเขียนชุดสำคัญของเขาคือภาพห้องแกลเลอรี่ของอาร์ชดยุกที่เต็มไปด้วยภาพเขียนชั้นดี เตอเนียร์สเขียนภาพห้องแกลเลอรี่ไว้ทั้งหมด 10 ภาพซึ่งถือว่าเป็นผลงานชิ้นเอกของเขา ภาพ The Archduke Leopold Wilhelm in his Painting Gallery in Brussels เป็นหนึ่งในภาพชุดนี้ที่โดดเด่นที่สุด เตอเนียร์สใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์จนกระทั่งเสียชีวิตในปี 1690

10 ผลงานชิ้นเอกของดาฟิด เตอเนียร์ส

david-teniers-the-younger-01The Archduke Leopold Wilhelm in his Painting Gallery in Brussels

 

david-teniers-the-younger-02

Guardroom with the Deliverance of Saint Peter

david-teniers-the-younger-03

Carnival:’The King Drinks’

david-teniers-the-younger-04

Smokers and Drinkers

david-teniers-the-younger-05

A Family Concert on a Terrace

david-teniers-the-younger-06

An Old Peasant caresses a Kitchen Maid in a Stable

david-teniers-the-younger-07

An Alchemist in His Laboratory

david-teniers-the-younger-08

Card Players

david-teniers-the-younger-09

Peasants Merry-Making

david-teniers-the-younger-10

View of Drij Toren at Perk, with David Teniers’ family

 

ข้อมูลและภาพจาก  wikipedia, ranker, timeout, britannica

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *