เด็กกำพร้าสู้ชีวิตตามหาความฝัน
คาราวัจโจเป็นชาวอิตาลีเดิมชื่อ Michelangelo Merisi เกิดเมื่อปี 1571 ที่เมืองมิลาน ตอนเขาอายุ 5 ปีครอบครัวย้ายหนีภัยกาฬโรคที่ระบาดทั่วมิลานไปอยู่ที่เมือง Caravaggio แต่ก็หนีไม่พ้น ในปีถัดมาพ่อของเขาเสียชีวิตพร้อมๆกับญาติอีกหลายคน พอถึงปี 1584 แม่ของเขาก็เสียชีวิตไปอีกคน เขาจึงกลายเป็นเด็กกำพร้า ยังดีที่ในปีเดียวกับที่แม่เสียชีวิตเขาได้เรียนศิลปะกับ Simone Peterzano ผู้เป็นลูกศิษย์ของ Titian ในช่วงระยะเวลา 4 ปีที่เขาอยู่กับ Peterzano นอกจากจะได้เรียนรู้เทคนิคการเขียนภาพจากผู้เป็นอาจารย์แล้ว คาราวัจโจยังได้ไปชมผลงานของศิลปินชั้นครูที่เมืองเวนิสหลายคนอย่างเช่น Giorgione และ Titian รวมทั้งได้ศึกษางานของ Leonardo da Vinci ซึ่งมีผลงานสำคัญอยู่ที่เมืองมิลานหลายชิ้น
พออายุได้ 21 ปีในปี 1592 คาราวัจโจก็เดินทางไปกรุงโรมเพื่อหางานทำและสร้างชื่อเสียงตามวิถีของศิลปินหน้าใหม่ของอิตาลีส่วนใหญ่ในสมัยนั้น เขามาถึงโรมในสภาพตัวเปล่า ไม่มีที่อยู่ ไม่มีเงิน ต้องต่อสู้ดิ้นรนเอาตัวรอด จนมาได้งานเป็นผู้ช่วยเขียนภาพพวกภาพดอกไม้และผลไม้ให้กับจิตรกรผู้มีชื่อเสียงแล้วหลายคน กรุงโรมในเวลานั้นมีการสร้างโบสถ์และปราสาทใหม่จำนวนมากจึงมีความต้องการภาพเขียนไปประดับอาคารเพิ่มมากขึ้น เป็นโอกาสของเหล่าจิตรกรชั้นนำทั้งหลายที่จะได้แสดงฝีมือและเป็นโอกาสของศิลปินหน้าใหม่อย่างเขาด้วยเช่นกัน และต่อมาไม่นานกรุงโรมก็มีศิลปินดาวรุ่งกำเนิดขึ้นมาประดับวงการอีกคนหนึ่งด้วยผลงานที่น่าทึ่งอย่างเช่นภาพ Young Sick Bacchus และ Boy with a Basket of Fruit
ศิลปินดาวรุ่งจอมเทคนิคแสงเงา
ราวปี 1595 คาราวัจโจออกมาทำงานของตัวเองและเริ่มขายภาพเขียนผ่านทางตัวแทน ผลงานชั้นยอดหลายชิ้นของเขาก็เริ่มปรากฏ ภาพเขียนของเขาแสดงชีวิตประจำวันของผู้คนได้งดงามและน่าสนใจ โดยเฉพาะการแสดงอารมณ์ความรู้สึกบนใบหน้าและท่าทาง อย่างเช่นภาพ The Fortune Teller และภาพ The Cardsharps ภาพหลังยิ่งโดดเด่นในการถ่ายทอดเรื่องราวอย่างมีชีวิตชีวา เช่น การแอบดู การซ่อนไพ่ การส่งสัญญาณมือ รวมไปถึงรอยขาดที่ถุงมือ เป็นต้น และภาพนี้ไปเข้าตาคาร์ดินัล Francesco Maria del Monte ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญศิลปะเข้า del Monte ชื่นชอบผลงานของคาราวัจโจมากและให้การสนับสนุนโดยให้คาราวัจโจไปทำงานเขียนภาพอยู่ในบ้านของเขาเอง จึงมีผลงานยอดเยี่ยมอีกหลายชิ้นทยอยกันออกมา ได้แก่ ภาพ Bacchus, The Lute Player และ Boy Bitten by a Lizard
คาราวัจโจเริ่มเขียนภาพในแนวศาสนาซึ่งสร้างความสำเร็จให้กับเขาอย่างมาก เขาเสนอภาพที่เกี่ยวกับศาสนาในรูปแบบใหม่มีความเป็นชีวิตจริงมากกว่ายุคก่อน เป็นภาพที่แปลกใหม่เร้าอารมณ์สมจริง บางครั้งก็สะเทือนขวัญชนิดที่ไม่เคยมีศิลปินผู้ใดกล้าทำมาก่อน อย่างเช่นภาพ Judith Beheading Holofernes การเขียนภาพในแบบภาพสว่างในความมืดด้วยเทคนิคการให้แสงและเงาที่กลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาปรากฏขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงนี้ ผลงานของคาราวัจโจได้นำภาพศาสนาในจินตนาการเพ้อฝันกลับคืนสู่ความเป็นจริง ผลงานหลายชิ้นของเขากลายเป็นต้นแบบให้ศิลปินรุ่นเดียวกันทำตาม เช่นภาพ Saint Catherine of Alexandria, Saint Francis of Assisi in Ecstasy และ Judith Beheading Holofernes เป็นต้น ผลงานที่ยอดเยี่ยมได้สร้างชื่อเสียงให้กับคาราวัจโจอย่างมาก เขาจึงกลายเป็นศิลปินดาวรุ่งที่โดดเด่นที่สุด
จิตรกรผู้โด่งดังที่สุดแห่งกรุงโรม
ปี 1599 คาราวัจโจได้รับการว่าจ้างให้เขียนภาพชิ้นใหญ่เพื่อใช้ตกแต่งในโบสถ์ซึ่งทำให้อาชีพจิตรกรของเขาพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด ได้แก่ภาพ The Calling of Saint Matthew ที่เป็นผลงานชิ้นเอกและมีชื่อเสียงมากที่สุดของเขาและถือเป็นหนึ่งในต้นแบบของจิตรกรรมยุคบาโรก อีกภาพหนึ่งคือ Martyrdom of Saint Matthew ทั้งสองภาพใช้เทคนิคการเขียนภาพสว่างในความมืดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขา และภาพทั้งสองก็โด่งดังเกรียวกราวอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นคาราวัจโจก็กลายเป็นจิตรกรเนื้อหอมที่มีงานต่อเนื่องตลอดไม่เคยขาดมือ
เทคนิคการเขียนภาพสว่างในความมืดของคาราวัจโจทำให้การเข้าถึงอารมณ์ในภาพยกระดับไปสู่จุดที่ไม่เคยมีมาก่อน ขณะเดียวกันการนำเสนอภาพที่เป็นชีวิตจริงอย่างคมคายและบางครั้งก็ดุเดือดรุนแรงของเขาได้สร้างความแปลกใหม่ให้กับวงการ นักวิจารณ์ศิลปะบางคนที่ยังรับความเปลี่ยนแปลงนี้ไม่ได้ก็ว่ากล่าวประณามเขาต่างๆนานา แต่คาราวัจโจยังคงเดินหน้าในแนวทางของตัวเองต่อไป เขาได้สร้างผลงานชั้นยอดออกมาอีกจำนวนมาก เช่นภาพ Entombment, Supper at Emmaus และ Amor Vincit Omnia เป็นต้น ชื่อเสียงของเขาสั่งสมเพิ่มพูนขึ้นตลอดเวลาจนในที่สุดเขาก็กลายเป็นจิตรกรผู้โด่งดังที่สุดแห่งกรุงโรม
ศิลปินเลือดเดือดใจนักเลง
นิสัยส่วนตัวคาราวัจโจเป็นคนที่ชอบทะเลาะเบาะแว้งมีเรื่องกับคนอื่นอยู่เสมอตั้งแต่เด็ก ตอนที่ออกจากเมืองมิลานมาอยู่ที่กรุงโรมสมัยยังเป็นวัยรุ่นนั้นสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากมีเรื่องทะเลาะวิวาทกันแล้วมีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับบาดเจ็บ พอมาอยู่ที่กรุงโรมก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิมโดยเฉพาะหลังจากมีชื่อเสียงแล้วกลับยิ่งมีปัญหา ว่ากันว่าพอคาราวัจโจทำงานได้สักสองอาทิตย์ก็มักจะเดินลอยชายถือดาบเที่ยวเตร่ในตอนกลางคืนและพร้อมที่จะหาเรื่องทะเลาะหรือต่อสู้กับผู้อื่นอยู่เสมอเป็นเดือนๆ มีหลักฐานเรื่องนี้เป็นบันทึกรายงานของตำรวจและการขึ้นศาลของเขาจำนวนหลายหน้า
ปี 1606 มีเรื่องทะเลาะกันรุนแรงกับเด็กหนุ่มคนหนึ่งนัยว่าเป็นปัญหาเรื่องหนี้การพนัน แล้วเขาพลั้งมือไปฆ่าเด็กหนุ่มคนนั้นโดยไม่ตั้งใจ ก่อนหน้านี้พอมีเหตุทะเลาะวิวาททำร้ายร่างกายกันบรรดาผู้อุปถัมภ์ของคาราวัจโจซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลจะช่วยเหลือปกป้องเขาได้เสมอ แต่คราวนี้เรื่องมันใหญ่เกินไปพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ทำให้เขาต้องหนีออกนอกเขตปกครองของกรุงโรม จุดหมายคือเมืองเนเปิลส์ที่เป็นเขตอิทธิพลของครอบครัว Colonna family ซึ่งมีความใกล้ชิดกับครอบครัวของคาราวัจโจมาตั้งแต่รุ่นพ่อ
หนีคดีไปสร้างชื่อถึงต่างแดน
ด้วยอิทธิพลของ Colonna family และชื่อเสียงของเขาเองเมื่อมาอยู่ที่เมืองเนเปิลส์เขาก็ได้รับการว่าจ้างงานชิ้นสำคัญของโบสถ์ในเมืองได้แก่ภาพ Seven Works of Mercy และ Madonna of the Rosary ซึ่งเขาก็ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม แต่คาราวัจโจอยู่ที่เนเปิลส์ได้ไม่นานนัก ปี 1607 เขาย้ายไปอยู่ที่ประเทศมอลตาซึ่งเป็นเกาะอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี โดยหวังว่า Alof de Wignacourt อาจารย์ของผู้ปกครองคนหนึ่งของมอลตาจะสามารถช่วยเขาเรื่องคดีฆ่าคนตายได้ซึ่ง de Wignacourt ก็ต้อนรับและดูแลเขาอย่างดี ที่มอลตาคาราวัจโจมีผลงานสำคัญหลายชิ้นอย่างเช่น The Beheading of Saint John the Baptist และ Saint Jerome Writing แต่ในปีต่อมาเขาทะเลาะกับอัศวินแห่งมอลตาและทำร้ายอัศวินบาดเจ็บสาหัส เขาจึงถูกจับกุมและถูกขับไล่ออกจากมอลตา
คาราวัจโจไปอยู่ที่เกาะซีซิลิได้เกือบปีพร้อมกับฝากผลงานภาพเขียนที่ยอดเยี่ยมไว้ที่นั่นหลายชิ้น แต่ด้วยความหวาดระแวงกลัวมีคนมาแก้แค้นจึงย้ายกลับไปอยู่ที่เมืองเนเปิลส์อีกครั้งในปี 1609 ระหว่างนี้เขาได้เขียนภาพชิ้นเยี่ยมอีกหลายชิ้นอย่างเช่นภาพ The Denial of Saint Peter รวมทั้งภาพ Salome with the Head of John the Baptist ซึ่งใบหน้าของศีรษะขาดที่วางบนถาดเป็นใบหน้าของเขาเอง เขาส่งภาพนี้ไปให้ Alof de Wignacourt เพื่อขออภัย และภาพ David with the Head of Goliath ซึ่งใบหน้าของโกไลแอทเป็นใบหน้าของเขาเองเช่นกัน เขาส่งภาพนี้ไปให้พระคาร์ดินัล Scipione Borghese ผู้เป็นหลานของพระสันตปาปาหวังให้ช่วยเขาได้รับอภัยโทษในคดีฆ่าคนตาย ปี 1610 คาราวัจโจลงเรือเดินทางตั้งใจไปกรุงโรมเพื่อขออภัยโทษ แต่ระหว่างทางเขาป่วยเสียชีวิตที่เมือง Porto Ercole แคว้นทัสคานี ในวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น
ผลงานยิ่งใหญ่ของศิลปินใจนักเลง
ภาพเขียนของคาราวัจโจมีความทันสมัย นำเสนอมุมมองที่แปลกใหม่ เร้าอารมณ์สมจริงด้วยเทคนิคการใช้แสงและเงาที่เหนือชั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเขียนภาพสว่างในความมืดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวนั้นยอดเยี่ยมมาก ถึงแม้ว่าเขาจะมีช่วงเวลาผลิตงานศิลปะออกมาไม่นานนักเพราะเสียชีวิตขณะมีอายุเพียง 39 ปี แต่ผลงานเกือบทุกชิ้นของเขาเป็นผลงานชั้นยอดที่สร้างความตื่นตะลึงและประทับใจแก่ผู้ชมตลอดมา และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันยอดเยี่ยมของเขา
Beginnings in Rome (1592–1595)
Successful Period in Rome (1595–1600)
Most Famous Period in Rome (1600–1606)
Naples – Malta – Sicily (1606-1610)
จริงหรือที่เขาคือศิลปินรักร่วมเพศ?
คาราวัจโจไม่เคยแต่งงาน ไม่เคยมีลูก และน่าสนใจยิ่งที่ตลอดชีวิตการเป็นจิตรกรเขาไม่เคยวาดรูปผู้หญิงเปลือยเลย แต่ขณะเดียวกันกลับมีภาพเขียนของเขาจำนวนมากที่เป็นภาพเด็กผู้ชายที่แสดงอาการโหยหาและเซื่องซึมซึ่งดูเหมือนจะอ้อนวอนและเสนอผู้ชมด้วยผลไม้ ไวน์ ดอกไม้ และตัวพวกเขาเอง นั่นทำให้หลายคนเชื่อว่าเขามีความเบี่ยงเบนเป็นพวกรักร่วมเพศ อย่างไรก็ตามเชื่อกันว่าคาราวัจโจมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้หญิงที่ชื่อ Lena ผู้เป็นนางแบบให้กับเขาในภาพ Madonna of Loreto นอกจากนี้คาราวัจโจยังปกปิดความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกโสเภณีหลายคนที่เขาเขียนภาพเหมือนให้อีกด้วย เรื่องนี้มีการถกเถียงกันมากในหมู่นักประวัติศาสตร์ศิลปะแต่ไม่มีข้อพิสูจน์ที่แน่นอน และดูเหมือนว่าข้อสรุปอาจจะมีแนวโน้มว่าคาราวัจโจมีคู่รักเป็นทั้งผู้ชายและผู้หญิง
ศิลปินต้นแบบตำนานแห่งยุคบาโรก
คาราวัจโจมีความสามารถเป็นเลิศในการแสดงฉากในวินาทีสำคัญของเหตุการณ์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เข้าถึงอารมณ์ความรู้สึกด้วยสีหน้าท่าทางและองค์ประกอบอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เทคนิคแสงและเงาในการเขียนภาพสว่างในความมืดที่ถึงแม้ว่าเขาไม่ได้เป็นคนแรกที่ใช้เทคนิคนี้ แต่เป็นคนแรกที่ใช้เทคนิคนี้ได้อย่างยอดเยี่ยมเหนือชั้นกว่าใครๆ สไตล์การเขียนภาพของเขาโดยเฉพาะในภาพ The Calling of Saint Matthew และ Martyrdom of Saint Matthew ได้ส่งอิทธิพลต่อศิลปินหนุ่มในกรุงโรมอย่างมากกลายเป็นสิ่งล้ำสมัยสำหรับจิตรกรหนุ่มผู้ทะเยอทะยานทุกคน
ผลงานของคาราวัจโจนำไปสู่การเขียนภาพแนวใหม่ที่เรียกว่าสไตล์บาโรก อิทธิพลของเขาสามารถเห็นได้ทั้งทางตรงและทางอ้อมในภาพเขียนของศิลปินชั้นนำในยุคบาโรกหลายคน รวมทั้ง Rembrandt และ Peter Paul Rubens นักวิจารณ์และนักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายคนให้การยกย่องคาราวัจโจอย่างสูงโดยบอกว่า “หากไม่มีคาราวัจโจ Rembrandt และ Vermeer คงไม่โด่งดังขนาดนี้” และ “นอกจาก Michelangelo ไม่มีจิตรกรอิตาลีคนใดที่ทรงอิทธิพลเทียบเท่าคาราวัจโจ” ดังนั้นศิลปินใจนักเลงคนนี้จึงเป็นต้นแบบตำนานแห่งยุคบาโรกโดยแท้
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, caravaggio.org, caravaggio-foundation.org