นักเรียนทุนผู้หลงใหลศิลปะคลาสสิก
ดาวีดเกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1748 พ่อของเขาเสียชีวิตตอนที่เขาอายุเพียง 9 ปี เขาจึงไปอยู่กับลุงที่เป็นสถาปนิกผู้มั่งคั่งซึ่งดูแลเรื่องการศึกษาของเขาอย่างดี ให้เขาเรียนในโรงเรียนชั้นแนวหน้า แต่ดาวีดกลับหมกมุ่นอยู่กับการวาดรูปแม้กระทั่งในชั่วโมงเรียนยังแอบซ่อนตัววาดรูปอยู่ที่หลังโต๊ะคุณครู ด้วยความชอบการวาดรูปเป็นชีวิตจิตใจเขาจึงมุ่งหน้าเรียนการเขียนภาพเพื่อเป็นจิตรกรแทนการเป็นสถาปนิกอย่างที่แม่กับลุงต้องการ ดาวีดได้เข้าเรียนที่สถาบันศิลปะชั้นนำ Royal Academy ที่กรุงปารีส เขาเข้าร่วมการแข่งขันชิงทุนการศึกษา Prix de Rome แม้เขาต้องผิดหวังถึงสามปีซ้อน แต่ในปี 1774 เขาชนะการแข่งขันด้วยภาพ Erasistratus Discovering the Cause of Antiochus’ Disease ได้รับทุนไปเรียนศิลปะที่กรุงโรมสมใจ
ในอิตาลีดาวีดได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นนำมากมายอย่างเช่น Poussin และ Caravaggio เขาสเก๊ตซ์ผลงานอันทรงคุณค่าเหล่านั้นไว้ในสมุดภาพของเขาถึง 12 เล่มซึ่งเขานำไปใช้เป็นแบบอย่างตลอดชีวิต ปี 1799 ดาวีดได้พบกับ Raphael Mengs ผู้ชื่นชอบในศิลปะคลาสสิก เขาสนใจกับแนวคิดการเขียนภาพแนวใหม่ของ Mengs ซึ่งมีอิทธิพลต่อการพัฒนาวิธีเขียนภาพของเขาในเวลาต่อมา ดาวีดได้เที่ยวชมซากปรักหักพังของเมืองปอมเปอีและเมืองเฮอร์คิวเลเนียมที่เพิ่งขุดขึ้นใหม่อันนำมาซึ่งความเชื่อในพลังของวัฒนธรรมคลาสสิกอย่างลึกซึ้ง นอกจากนี้ในระหว่างการเที่ยวชมเขายังได้ศึกษาผลงานของศิลปินสมัยเรอเนสซองส์อย่างขะมักเขม้น และเป็น Raphael ที่ทำให้เขาประทับใจในศิลปะแบบคลาสสิกอย่างไม่รู้ลืม
แรกสร้างผลงานก็สร้างความฮือฮา
พอกลับมาที่กรุงปารีสในปี 1780 ดาวีดก็เริ่มสร้างผลงานในแนวภาพประวัติศาสตร์ตามถนัด แค่งานชิ้นแรกภาพ Belisarius Begging for Alms ก็ประสบความสำเร็จอย่างสูงในนิทรรศการศิลปะ Salon ตามมาด้วยผลงานเด่นๆอีกหลายชิ้นโดยเฉพาะภาพ Andromache Mourning Hector โดดเด่นมากส่งผลให้เขาได้รับเลือกเป็นสมาชิกผู้ทรงเกียรติของสถาบัน Académie Royale ในปี 1784 จากนั้นเขาได้รับงานเขียนภาพชิ้นสำคัญจากรัฐบาลซึ่งเขายืนยันว่าต้องไปเขียนในอิตาลีและมันได้นำมาซึ่งทิศทางอันแจ่มชัดในการเขียนภาพแบบนีโอคลาสสิก
ภาพที่ว่าคือ Oath of the Horatii ดาวีดใช้วิธีเขียนภาพสไตล์คลาสสิกผสมผสานกับการแสดงความแตกต่างทางอารมณ์อย่างรุนแรงระหว่างผู้ชายกับผู้หญิงในภาพและขับเน้นบรรยากาศและมิติของภาพด้วยการให้แสงและเงาในแบบละครเวที เมื่อภาพนี้ถูกนำไปแสดงใน Salon ปี 1785 ได้สร้างความฮือฮาในวงการและได้รับการยกย่องอย่างสูง อีกสองปีต่อมาดาวีดสั่นสะเทือนวงการอีกครั้งด้วยภาพ The Death of Socrates ที่ได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์เทียบเท่ากับภาพบนเพดานโบสถ์น้อยซิสทีนของ Michelangelo และภาพในห้องราฟาเอลที่พระราชวังวาติกันของ Raphael และยังตามมาด้วยผลงานภาพประวัติศาสตร์และภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมอีกมากมาย ดาวีดจึงกลายเป็นศิลปินชั้นนำผู้โดดเด่นของประเทศมีลูกศิษย์เป็นศิลปินชั้นนำมากมายหลายสิบคน รวมทั้ง Jean-Auguste-Dominique Ingres และ François Gérard
ศิลปินผู้โดดเด่นกับการปฏิวัติฝรั่งเศส
เมื่อการปฏิวัติฝรั่งเศสเริ่มต้นในปี 1789 ดาวีดเข้าร่วมเป็นผู้สนับสนุนฝ่ายปฏิวัติที่มี Maximilien Robespierre เป็นผู้นำ เขาได้บันทึกเหตุการณ์สำคัญที่ฝ่ายปฏิวัติรวมตัวกันที่สนามเทนนิสกล่าวคำสาบานจะร่วมกันต่อสู้จนกว่าจะมีรัฐธรรมนูญในภาพ The Oath of the Tennis Court ต่อมาดาวีดได้ร่วมเป็นสมาชิกในคณะผู้ปกครองชุดแรกในช่วงการปฏิวัติฝรั่งเศสที่เรียกว่า National Convention และเป็นหนึ่งในผู้ที่ลงคะแนนเสียงให้ประหารชีวิตพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ด้วยกิโยตีน การตัดสินใจของดาวีดทำให้ Marguerite Charlotte ภรรยาของเขาซึ่งสนับสนุนกษัตริย์ถึงกับขอหย่ากับเขา
ปี 1793 Jean-Paul Marat นักคิดนักเขียนและหัวหอกสำคัญของฝ่ายปฏิวัติถูกลอบสังหารขณะอยู่ในอ่างอาบน้ำโดย Charlotte Corday หญิงสาวผู้เชื่อว่าการจบชีวิต Marat จะป้องกันการเกิดสงครามกลางเมืองและช่วยยุติความรุนแรงปั่นป่วนทั่วประเทศได้ ดาวีดเขียนภาพ The Death of Marat เพื่อเป็นอนุสรณ์การจากไปของเพื่อนของเขาได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพนี้มักถูกนำไปเปรียบเทียบกับประติมากรรม Pietà ของ Michelangelo จนถูกเรียกขานเป็น “Pietà of the Revolution” และกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา
เมื่อ Robespierre ผู้นำฝ่ายปฏิวัติหมดอำนาจถูกจับและถูกประหารชีวิต ดาวีดก็ถูกจับขังคุกสองครั้งในช่วงปี 1794 – 1795 ภรรยาที่แยกทางกันมาเยี่ยมเขาในคุกทำให้ดาวีดเกิดไอเดียในการเขียนภาพ The Intervention of the Sabine Women ซึ่งเขาใช้เวลาเขียนเกือบ 4 ปี ผลงานชิ้นเยี่ยมนี้ได้นำเขาไปอยู่ในความสนใจและชื่นชอบของนายพลนโปเลียนผู้เป็นวีรบุรุษสงครามของชาติ ในช่วงเวลานี้เขายังมีผลงานภาพเหมือนชิ้นเยี่ยมอีกมากมายรวมทั้งภาพ Portrait of Émilie Sériziat and Her Son
จิตรกรเอกของจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่
ปี 1804 หลังจากนโปเลียนได้ขึ้นครองอำนาจสูงสุดเป็นจักรพรรดิคนแรกของฝรั่งเศสดาวีดก็ได้เป็นจิตรกรแห่งราชสำนัก ได้รับมอบหมายให้เขียนภาพซึ่งเป็นผลงานที่สำคัญที่สุดและยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาคือภาพ The Coronation of Napoleon ซึ่งเป็นการบันทึกเหตุการณ์สำคัญแห่งประวัติศาสตร์ในพิธีราชาภิเษกของนโปเลียนที่มหาวิหาร Notre Dame เป็นภาพเขียนสีน้ำมันขนาดยาวเกือบ 10 เมตร สูงกว่า 6 เมตรที่ยิ่งใหญ่ตระการตาแสดงเหตุการณ์ขณะที่นโปเลียนกำลังสวมมงกุฏให้จักรพรรดินีโฌเซฟีนต่อหน้าพระสันตปาปา พระบรมวงศานุวงศ์ และบรรดาบุคคลสำคัญของชาติ โดยดาวีดเขียนภาพตัวเองลงในภาพนี้ด้วยเป็นคนที่ยืนอยู่บนสแตนด์กลางภาพเหนือที่นั่งของมารดาของนโปเลียน เขาใช้เวลาเขียนภาพนี้นานกว่า 3 ปี
ดาวีดยังมีผลงานชิ้นเยี่ยมที่เป็นภาพของนโปเลียนอีกหลายภาพอย่างเช่นภาพ Napoleon Crossing the Alps และภาพ The Emperor Napoleon in His Study at the Tuileries รวมทั้งภาพพิธีมอบตราสัญลักษณ์อินทรีซึ่งเป็นภาพเขียนชิ้นใหญ่มากอีกชิ้นหนึ่งคือภาพ Distribution of the Eagle Standards นอกจากนี้ในช่วงเวลาแห่งความยิ่งใหญ่ของนโปเลียนดาวีดยังมีผลงานชิ้นเยี่ยมอื่นๆอีกอย่างเช่นภาพ Portrait of Madame Récamier และภาพ Portrait of Pope Pius VII เป็นต้น ดาวีดเจริญรุ่งเรืองในอาชีพการงานตลอดช่วงเวลาที่จักรวรรดิของนโปเลียนเรืองอำนาจ เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นอัศวินและเป็นนายทหารระดับผู้บัญชาการ แต่พอถึงยุคที่นโปเลียนตกต่ำทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
หลบภัยการเมืองจบชีวิตในต่างแดน
สถานการณ์ทางการเมืองพลิกผันเปลี่ยนแปลง ปี 1814 นโปเลียนแพ้สงครามถูกบังคับให้สละราชบัลลังก์ ราชวงศ์บูร์บงกลับคืนสู่อำนาจอีกครั้ง ดาวีดซึ่งอยู่ในฝ่ายปฏิวัติและฝ่ายนโปเลียนที่มีส่วนในการสำเร็จโทษพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 เป็นหนึ่งในรายชื่อผู้ที่ต้องถูกเนรเทศออกนอกประเทศ แม้ว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 18 กษัตริย์พระองค์ใหม่จะพระราชทานอภัยโทษและเสนอให้ดาวีดดำรงตำแหน่งจิตรกรราชสำนักต่อไปแต่เขาปฏิเสธและเลือกเนรเทศตัวเองไปอยู่ที่กรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ใช้ชีวิตช่วงที่เหลืออยู่กับภรรยาที่กลับมาแต่งงานกันใหม่
ที่บรัสเซลส์ดาวีดได้สอนลูกศิษย์ชาวเบลเยียมหลายคนและเขียนภาพชิ้นเยี่ยมอีกหลายภาพ ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ Cupid and Psyche , Portrait of the Sisters Zénaïde and Charlotte Bonaparte รวมทั้งภาพ Mars Being Disarmed by Venus and the Three Graces ซึ่งเป็นผลงานชิ้นสุดท้ายของเขา ดาวีดเสียชีวิตจากอุบัติเหตุถูกรถม้าชนในปี 1825 ขณะมีอายุ 77 ปี ร่างของเขาถูกฝังอยู่ที่บรัสเซลล์ ขณะเดียวกันภาพ The Death of Marat อันโด่งดังซึ่งเขานำติดตัวมาด้วยก็ถูกเก็บรักษาอยู่ที่บรัสเซลล์จนถึงปัจจุบัน
ผลงานตราตรึงใจของปรมาจารย์ศิลปิน
ภาพเขียนของดาวีดเป็นต้นแบบสไตล์การเขียนภาพแบบศิลปะนีโอคลาสสิกที่มีรายละเอียดประณีตงดงามสมบูรณ์แบบอย่างศิลปะคลากสิก แต่มีความทันสมัยในด้านการใช้เทคนิคแสงเงาและการแสดงออกด้านอารมณ์ ดาวีดมีผลงานชั้นยอดมากมายตลอดช่วงการเป็นจิตรกรที่ยาวนานหลายสิบปี และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานที่งดงามตราตรึงใจเหล่านั้น
Early Period (1769 – 1789)
French Revolution Period (1789 – 1799)
Napoleon Period (1799 – 1815)
Later Period (1815 – 1825)
นอกจากผลงานภาพเขียนอันเยี่ยมยอดด้วยสไตล์การเขียนภาพแบบใหม่ที่นำพาโลกศิลปะสู่ยุคใหม่แล้ว ฌัก-หลุยส์ ดาวีดยังเป็นอาจารย์สอนลูกศิษย์จำนวนมาก ทายาททางศิลปะของเขาหลายคนเป็นศิลปินชั้นยอดแห่งยุคที่ช่วยกันสร้างสรรค์ศิลปะนีโอคลาสสิกให้เจริญรุ่งเรืองครองใจผู้ชมอย่างยาวนานและมีส่วนสำคัญต่อการที่ฝรั่งเศสขึ้นเป็นผู้นำด้านศิลปะของโลก ดาวีดจึงเป็นปรมาจารย์ต้นแบบศิลปะนีโอคลาสสิกที่มีผลงานภาพเขียนงดงามตราตรึงใจยากจะมีผู้ใดเสมอเหมือน
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, jacqueslouisdavid.org, britannica