แม้ว่างานวิจัยส่วนใหญ่เกี่ยวกับเกลียวมรณะจะมุ่งเน้นไปที่แมลงวันผลไม้ นักวิทยาศาสตร์คิดว่างานวิจัยเหล่านี้สามารถนำเสนอข้อมูลเชิงลึกสำหรับวาระสุดท้ายของชีวิตมนุษย์ได้เช่นกัน
“เราเชื่อว่านี่เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการของการเสียชีวิตตามกำหนดการทางพันธุกรรม” Laurence Mueller หัวหน้าภาควิชานิเวศวิทยาและชีววิทยาวิวัฒนาการที่มหาวิทยาลัยแห่งแคลิฟอร์เนีย กล่าว
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมามีงานวิจัยหลายชิ้นเกี่ยวกับแมลงวันผลไม้แสดงให้เห็นว่าเกลียวมรณะสามารถรู้ได้จากการลดลงของอัตราการสืบพันธุ์ เช่น ในปี 2015 นักวิจัยพบว่าวันแรกที่แมลงวันผลไม้ตัวเมียหยุดวางไข่คือตัวบ่งชี้ที่สำคัญของการเสียชีวิต การวางไข่ของพวกมันจะเริ่มลดลงราว 10 วันก่อนที่จะหยุดวางไข่ นักวิจัยคิดว่าสิ่งที่นำแมลงวันผลไม้ไปสู่ความตายส่งผลต่อความสามารถในการสืบพันธุ์ในช่วงวาระสุดท้ายของพวกมัน
สอดคล้องกับงานวิจัยในปี 2002 ซึ่งพบว่าร้อยละ 97 ของแมลงวันผลไม้เมดิเตอร์เรเนียนตัวผู้เริ่มนอนหงายประมาณ 16 วันก่อนที่จะตาย
ในงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่งนักวิทยาศาสตร์สังเกตแมลงวันผลไม้ ไส้เดือนฝอย และปลาม้าลาย เพื่อดูว่าลำไส้ของพวกมันมีการรั่วไหลเพิ่มมากขึ้นก่อนที่จะตายหรือไม่ นักวิจัยได้ทดสอบการรั่วไหลโดยการให้อาหารย้อมสีกับสัตว์แต่ละชนิด หากการซึมผ่านเพิ่มขึ้นสีจะรั่วไหลเข้าไปในร่างกายทำให้พวกมันเปลี่ยนสี สีฟ้าสำหรับแมลงวันผลไม้และปลาม้าลาย สีเขียวเรืองแสงสำหรับไส้เดือนฝอย ผลการวิจัยสรุปว่าการรั่วไหลของลำไส้เป็นเครื่องหมายแห่งความตายในทั้งสามสายพันธุ์
Mueller กล่าวว่าเกลียวมรณะในมนุษย์อาจจะเป็นความไร้ความสามารถบางอย่างที่เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนก่อนที่จะตาย สำหรับมนุษย์มีความท้าทายในการทำวิจัยด้วยเหตุผลทั้งทางด้านจริยธรรมและชีวภาพ แต่การศึกษาเรื่องเกลียวมรณะในสิ่งมีชีวิตอื่นๆสามารถให้แนวทางในเรื่องนี้แก่นักวิจัยได้
Mueller กล่าวถึงการวิจัยในขั้นต่อไปที่อาจจะมีการคัดเลือกสายพันธุ์แมลงวันผลไม้เพื่อสร้างกลุ่มที่มีช่วงเวลาของเกลียวมรณะที่แตกต่างกัน
“เมื่อคุณสร้างประชากรที่มีความแตกต่างทางพันธุกรรมในลักษณะนั้น คุณจะสามารถค้นหาว่ายีนอะไรที่ทำให้ช่วงเวลาของเกลียวมรณะลดลงได้” Mueller กล่าว ยีนของมนุษย์บางส่วนคล้ายกับยีนของแมลงวันผลไม้ มียีนที่ทำให้เกิดโรคในมนุษย์ถึง 75 เปอร์เซ็นต์ที่ปรากฏอยู่ในยีนของแมลงวันผลไม้
Mueller กล่าวว่างานวิจัยไม่ได้เกี่ยวข้องกับการหยุดความตายหรือแม้กระทั่งทำให้การตายช้าลง แต่เขาเห็นว่ามันเป็นวิธีที่จะปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้คนเมื่อพวกเขามาถึงช่วงสุดท้ายของชีวิต และอาจช่วยประหยัดเงินจำนวนมหาศาลในการรักษาโรคในวาระสุดท้ายของชีวิต
“การศึกษาของเราจะไม่ส่งผลกระทบว่าเมื่อไรคุณจะตาย เราเพียงต้องการที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดีจนถึงวันที่คุณสิ้นลม” เขากล่าว
ข้อมูลและภาพจาก livescience, bbc