มุ่งมั่นหาความสำเร็จโดยไม่ย่อท้อ
ฟรันซิสโก โกยา เป็นชาวสเปน เกิดเมื่อปี 1746 ที่เมือง Fuendetodos ประเทศสเปน ครอบครัวของโกยาย้ายไปอยู่ที่เมือง Zaragoza เขาจึงได้เริ่มเรียนหนังสือในโรงเรียนแห่งหนึ่งที่นั่น พออายุ 14 ปีโกยาเรียนการเขียนภาพกับ José Luzán จิตรกรสไตล์บาโรกนาน 4 ปี ในช่วงนี้เขาได้คัดลอกภาพของจิตรกรผู้ยิ่งใหญ่ในอดีตได้แก่ Diego Velázquez และ Rembrandt van Rijn จากนั้นจึงเริ่มคิดหาแนวทางของตัวเอง โกยาย้ายไปอยู่ที่กรุงมาดริดแล้วไปเป็นลูกศิษย์ของศิลปินดัง Anton Raphael Mengs แต่เข้ากันไม่ค่อยได้การเรียนจึงล้มเหลว เขาส่งผลงานเข้าแข่งขันเพื่อชิงทุนเข้าศึกษาในสถาบัน Royal Academy of Fine Arts of San Fernando ถึงสองครั้งในปี 1763 และ 1766 แต่ก็ไม่ผ่านทั้งสองครั้ง
หลังจากพลาดหวังที่จะได้รับทุนการศึกษาโกยาจึงตัดสินใจเดินทางไปกรุงโรมซึ่งเป็นเสมือนเมืองหลวงแห่งศิลปะของยุโรปและมีต้นแบบของศิลปะคลาสสิกให้เขาได้ศึกษาเรียนรู้มากมาย ผ่านไปหลายปีในอิตาลีจนถึงปี 1771 โกยาเริ่มมีความสำเร็จขึ้นมาบ้างเมื่อเขาได้รับรางวัลที่สองในการแข่งขันเขียนภาพซึ่งจัดขึ้นที่เมืองปาร์มา รวมทั้งผลงานภาพเขียนเริ่มฉายแววความเป็นศิลปินดังอย่างเช่นภาพ The Sacrifice to Priapus เป็นต้น ในปีเดียวกันโกยาได้กลับเมือง Zaragoza ทำงานเขียนภาพให้กับโบสถ์ในเมืองและไปศึกษางานกับ Francisco Bayeu y Subías จนสนิทสนมเป็นเพื่อนกัน ต่อมาเขาได้พบรักและแต่งงานกับ Josefa Bayeu ผู้เป็นน้องสาวของเพื่อนคนนี้
บนเส้นทางการพัฒนาสู่มืออาชีพ
ด้วยความสัมพันธ์แนบแน่นกับ Francisco Bayeu ผู้เป็นอาจารย์ที่สถาบัน Royal Academy of Fine Arts of San Fernando และเป็นผู้ดูแลการผลิตพรมช่วยให้โกยาได้รับงานออกแบบและเขียนภาพต้นแบบสำหรับทอพรมให้กับโรงงานผลิตพรมของกษัตริย์สเปนในกรุงมาดริด เขาได้ทำงานนี้อย่างยาวนานตั้งแต่ปี 1775 ถึงปี 1791 มีผลงานภาพขนาดใหญ่รวม 63 ภาพซึ่งส่วนใหญ่เป็นสไตล์โรโกโกแสดงชีวิตประจำวันและกิจกรรมต่างๆของคนในสังคมทุกวัยทุกชนชั้น หลายภาพเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมโดยเฉพาะภาพ The Parasol และ The Snowstorm (Winter) มีความโดดเด่นเป็นพิเศษ พรมที่ผลิตจากภาพต้นแบบของโกยาถูกใช้แขวนประดับในปราสาทและพระราชวังหลายแห่ง
งานเขียนภาพสำหรับทอพรมได้ค่าจ้างไม่มากแต่ช่วยให้โกยาเริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จัก นอกจากนี้เขายังรับงานทำภาพพิมพ์ให้กับทางราชวงศ์ด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นการคัดลอกภาพของศิลปินชั้นครูในอดีตมาทำภาพพิมพ์ จึงเป็นโอกาสที่เขาได้ศึกษาผลงานชั้นยอดเหล่านั้นที่ถูกเก็บไว้ในพระราชวังซึ่งคนทั่วไปไม่มีโอกาสได้เห็นโดยเฉพาะผลงานของ Diego Velázquez ผู้เคยเป็นจิตรกรราชสำนักในอดีต รวมทั้งการศึกษาผลงานภาพพิมพ์ของ Rembrandt van Rijn มีส่วนต่อพัฒนาการของเขาทั้งการเขียนภาพและการทำภาพพิมพ์อย่างมาก โกยาทำภาพพิมพ์จนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ มีผลงานที่โดดเด่นในช่วงนี้ได้แก่งานที่ชื่อ The Garrotted Man หลังจากที่โกยาเป็นศิลปินเลื่องชื่อแล้วได้เคยกล่าวว่าเขารู้สึกขอบคุณต่อครูผู้ยิ่งใหญ่ 3 ท่านได้แก่ Velázquez , Rembrandt และธรรมชาติ
จิตรกรดาวรุ่งแห่งราชสำนักสเปน
ปี 1780 โกยาได้รับเลือกเป็นสมาชิกของสถาบัน Royal Academy of Fine Arts of San Fernando อันหมายถึงเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นศิลปินที่โดดเด่นของสเปน ห้าปีต่อมาเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรองผู้อำนวยการของสถาบัน ปี 1783 José Moñino ซึ่งเป็นคนโปรดของกษัตริย์สเปนว่าจ้างโกยาเขียนภาพเหมือนให้ โกยาเขียนภาพเหมือนด้วยสไตล์ที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากจิตรกรอื่นเป็นที่ชื่นชอบของบรรดาเครือญาติของกษัตริย์และบุคคลสำคัญรวมทั้งตัวกษัตริย์เองซึ่งต่างก็ว่าจ้างโกยาเขียนภาพเหมือนให้ และในปี 1786 โกยาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นจิตรกรประจำพระองค์ของพระเจ้าชาลส์ที่ 3 แห่งสเปน ผลงานเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Manuel Osorio Manrique de Zúñiga และ Christ Crucified
พระเจ้าชาลส์ที่ 4 ผู้ขึ้นครองราชย์แทนพระราชบิดาในปี 1788 โปรดปรานฝีมือการเขียนภาพของโกยาเช่นกัน จึงให้เขาดำรงตำแหน่งจิตรกรราชสำนักต่อไปและยังได้แต่งตั้งให้โกยาเป็นจิตรกรเอกของราชสำนักในปี 1790 สองปีหลังจากนั้นเขาป่วยหนักด้วยโรคร้ายที่ไม่มีใครรู้จักซึ่งส่งผลให้เขาหูหนวกอย่างถาวร แม้ว่าการเป็นคนหูหนวกจะทำให้เขาต้องโดดเดี่ยวมากขึ้นแต่กลับทำให้เขามีจินตนาการที่ก้าวไกลและมีมุมมองในเรื่องราวต่างๆลึกซึ้งกว่าเดิม ผลงานระดับสุดยอดของโกยาเกิดขึ้นภายหลังจากที่เขาหูหนวกแล้วแทบทั้งสิ้น นอกจากนี้เขายังเริ่มเขียนภาพที่ไม่มีคนจ้างโดยใช้จินตนการนึกฝันและการประดิษฐ์คิดค้นเทคนิคใหม่อันนำไปสู่การสร้างสรรค์ผลงานในสไตล์ที่แตกต่างล้ำยุคในเวลาต่อมา
ขึ้นสู่จุดสูงสุดของการเป็นศิลปิน
ปี 1795 โกยาได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการของสถาบัน Royal Academy of Fine Arts of San Fernando และกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมที่สุดคนหนึ่งของสเปน ในราวปี 1797 – 1800 โกยาเขียนภาพ The Nude Maja ให้กับ Manuel Godoy ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีสเปน เป็นภาพหญิงสาวเปลือยทั้งตัวไร้อาภรณ์ปกปิดแบบตรงๆ ชัดเจนเหมือนจริง โดยไม่เกี่ยวข้องกับเทพเจ้าใดๆเหมือนอย่างในอดีตซึ่งถือว่าเป็นการเขียนภาพลักษณะนี้ภาพแรกในวัฒนธรรมตะวันตก ต่อมาเขาเขียนภาพหญิงสาวคนเดิมในอิริยาบทเดียวกันแต่คราวนี้สวมเสื้อผ้าเรียบร้อยในภาพชื่อ The Clothed Maja ภาพทั้งสองนี้กลายเป็นภาพคู่ที่เลื่องชื่อที่สุดของโกยา สำหรับนางแบบในภาพนี้ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเป็นใครแต่เชื่อกันว่าน่าจะเป็น Pepita Tudó ที่เป็นชู้รักของ Godoy หรือไม่ก็เป็น Duchess of Alba ซึ่งมีข่าวลือว่ามีความสัมพันธ์เชิงชู้สาวกับโกยา
นอกจากภาพคู่อันโด่งดังแล้วในช่วงปี 1795 – 1805 โกยาได้สร้างผลงานชั้นยอดออกมาจำนวนมาก มีทั้งภาพเหมือนชื่อดังมากมายได้แก่ภาพ Charles IV of Spain and His Famil, The White Duchess, The Black Duchess และ Portrait of the Marchioness of Santa Cruz เป็นต้น นอกจากนี้โกยายังเขียนภาพเกี่ยวกับตำนานความเชื่อเรื่องแม่มดได้อย่างยอดเยี่ยมในภาพชุด Witches’ Sabbath และทางด้านภาพพิมพ์เขาก็มีผลงานสำคัญในชุด Los caprichos ประกอบด้วยภาพพิมพ์ 80 ภาพที่เขาต้องการตีแผ่ความโง่เขลาในสังคมสเปน โดยภาพลำดับ 43 ชื่อภาพ The Sleep of Reason Produces Monsters ได้รับความนิยมอย่างมาก
สงครามกับสไตล์ที่เปลี่ยนแปลง
กองทัพฝรั่งเศสของนโปเลียนเข้ามารุกรานสเปนในปี 1808 นำไปสู่สงครามคาบสมุทร (Peninsular War) ที่ยืดเยื้อยาวนานจนถึงปี 1814 ระหว่างสงครามโกยาเขียนภาพ The Colossus ที่แสดงยักษ์อสุรกายกำลังเดินผ่านไปขณะที่ผู้คนแผ่นหนีกระเจิดกระเจิง หลังสงครามเขาเขียนภาพจากความทรงจำในความโหดร้ายของสงคราม 2 ภาพ ภาพแรกชื่อ The Second of May 1808 แสดงการลุกฮือขึ้นต่อต้านกองทัพฝรั่งเศสที่เข้ามายึดครองสเปน อีกภาพหนึ่งชื่อภาพ The Third of May 1808 แสดงปฏิบัติการอันโหดเหี้ยมของทหารฝรั่งเศสต่อชาวสเปน โกยาเขียนภาพนี้ด้วยสไตล์ใหม่ฉีกแนวจากขนบประเพณีดั้งเดิมแต่กลับแสดงบรรยากาศ อารมณ์ความรู้สึก และความน่ากลัวของสงครามได้อย่างยอดเยี่ยม ภาพนี้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นภาพสำคัญภาพแรกของยุคศิลปะสมัยใหม่ที่เรียกได้ว่าปฏิวัติในทุกแง่มุมทั้งการนำเสนอเรื่องราวและสไตล์การเขียนภาพ และกลายเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา
ไม่เพียงแต่ภาพเขียนเท่านั้นโกยายังได้สร้างภาพพิมพ์สะท้อนความน่ากลัวและภัยพิบัติจากสงครามในชุด The Disasters of War ที่ประกอบด้วยภาพพิมพ์ 82 ภาพซึ่งเขาใช้เวลาจัดทำราว 10 ปี แต่ภาพพิมพ์ชุดนี้ไม่ได้ถูกเผยแพร่จนกระทั่งโกยาเสียชีวิตไปแล้วถึง 35 ปี ในช่วงเวลานี้โกยายังคงรับงานเขียนภาพเหมือนและยังคงความยอดเยี่ยมในผลงานไว้ได้ไม่เสื่อมคลาย มีผลงานที่โดดเด่นมากมายอย่างเช่นภาพ Majas on a Balcony, Francisca Sabasa y Garcia และ Portrait of Doña Antonia Zárate เป็นต้น
คนหูหนวกผู้ริเริ่มศิลปะสมัยใหม่
แม้ว่าโกยาจะเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงแต่พอสงครามใหญ่ผ่านพ้นไปเขารู้สึกผิดหวังที่สังคมการเมืองการปกครองของสเปนมิได้มีความก้าวหน้าปฏิรูปเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางอย่างที่คาดหวัง เขาจึงปลีกตัวจากสังคมไปอาศัยอยู่ในบ้านไร่นอกกรุงมาดริดที่ดัดแปลงเป็นสตูดิโอชื่อ The House of the Deaf Man หรือบ้านคนหูหนวก ในช่วงบั้นปลายชีวิตโกยาในวัย 75 ปีที่อยู่อย่างเดียวดายในสภาพที่สิ้นหวังทั้งร่างกายและจิตใจได้เขียนภาพ 14 ภาพในชุดที่เรียกว่า Black Paintings ลงบนผนังปูนของบ้านซึ่งเขาใช้เทคนิคที่แตกต่างออกไปจากเดิม หลังจากที่เขาเสียชีวิตราว 50 ปีภาพชุดนี้ถูกถ่ายโอนลงบนผ้าใบ หนึ่งในนั้นเป็นภาพที่โด่งดังมากคือภาพ Saturn Devouring His Son
ปี 1824 โกยาเนรเทศตัวเองออกจากสเปนไปอยู่ที่เมืองบอร์กโดซ์ ประเทศฝรั่งเศส ใช้เวลาช่วงสุดท้ายของชีวิตพัฒนาสไตล์การเขียนภาพด้วยเทคนิคใหม่ในการให้แสงเงาโดยมีการใช้สีน้อยที่สุด อย่างเช่นในภาพ The Milkmaid of Bordeaux หนึ่งในผลงานช่วงสุดท้ายของเขาที่ได้รับการชื่นชมจากนักวิจารณ์อย่างกว้างขวาง โกยาเสียชีวิตในปี 1828 ด้วยวัย 82 ปี
ผลงานล้ำค่าในสไตล์ที่แตกต่าง
โกยาเริ่มต้นอาชีพจิตรกรด้วยการเขียนภาพแนวโรโกโกซึ่งเป็นสไตล์ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุคบาโรก จากนั้นพัฒนาฝีมือจนมีสไตล์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในแนวโรแมนติกหรือศิลปะจินตนิยม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผลงานการเขียนภาพเหมือนที่เยี่ยมยอดมาก ต่อมาได้เปลี่ยนรูปแบบการนำเสนอและสไตล์อันเป็นจุดเริ่มต้นของศิลปะสมัยใหม่ และในช่วงหลังยังสร้างสรรค์ผลงานด้วยศิลปะที่แหวกแนวล้ำยุคสมัยไปอย่างมาก ผลงานของเขามีทั้งความงดงามประณีตแบบศิลปะยุคเก่าและความแปลกใหม่เข้าถึงอารมณ์แบบศิลปะสมัยใหม่ และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานล้ำค่าในสไตล์ที่แตกต่างอันน่าประทับใจของเขา
Early Works (1763 – 1775)
Madrid Period (1775 – 1789)
Court Painter Period (1789 – 1806)
Peninsular War Period (1806 – 1819)
Later Works (1819 – 1828)
ฟรันซิสโก โกยาได้รับการยกย่องทั้งในฐานะจิตรกรชั้นครูยุคเก่า (Old Masters) คนสุดท้ายด้วยผลงานทั้งภาพเขียนและภาพพิมพ์ชั้นยอดจำนวนมาก รวมทั้งในฐานะจิตรกรยุคศิลปะสมัยใหม่คนแรกผู้ปฏิวัติสไตล์การเขียนภาพที่ได้สร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินดังในยุคศตวรรษที่ 19 และศตวรรษที่ 20 มากมายหลายคน รวมทั้ง Pablo Picasso, Edouard Manet และ Francis Bacon ศิลปินผู้เชื่อว่าวิสัยทัศน์ของศิลปินมีความสำคัญมากกว่าขนบธรรมเนียมประเพณีนามว่าฟรันซิสโก โกยาผู้นี้คือหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ของสเปนและของโลก
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, franciscodegoya.net, britannica