เติบโตท่ามกลางสังคมที่เปลี่ยนแปลง
เออแฌน เดอลาครัว เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อปี 1798 ที่ชุมชน Charenton-Saint-Maurice ชานกรุงปารีส ว่ากันว่าพ่อที่แท้จริงของเดอลาครัวมิใช่ Charles Delacroix อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศผู้เป็นพ่อตามกฎหมาย แต่เป็น Charles Maurice de Talleyrand-Périgord ผู้ช่วยคนสำคัญในการก่อรัฐประหารของนโปเลียนซึ่งเป็นทั้งเพื่อนและทายาทในตำแหน่งรัฐมนตรีของ Charles และ Talleyrand ก็คอยดูแลปกป้องเดอลาครัวโดยตลอดหลังจากที่เขาต้องกำพร้าพ่อและแม่เมื่ออายุ 16 ปี
เดอลาครัวเติบโตขึ้นมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้นการปฏิวัติฝรั่งเศสในปี 1789 มีการโค่นล้มระบบกษัตริย์ในอีก 3 ปีถัดมา นำไปสู่การปกครองโดยคณะดิเร็กตัวร์ (Directoire) ตามมาด้วยคณะกงสุล (Consulat) และการขึ้นครองอำนาจของจักรพรรดินโปเลียนในปี 1804 จนมาถึงการฟื้นฟูระบบกษัตริย์อีกครั้งในปี 1815 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่เดอลาครัวเริ่มฝึกฝนการเขียนภาพกับ Pierre-Narcisse Guérin จิตรกรมีชื่อคนหนึ่งของปารีสในสไตล์นีโอคลาสสิกของ Jacques-Louis David ปีถัดมาเขาเข้าเรียนที่สถาบัน École des Beaux-Arts เดอลาครัวมักจะเข้าไปศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูยุคเก่าในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์อยู่บ่อยๆ เขาชื่นชอบผลงานของ Titian และ Peter Paul Rubens เป็นพิเศษ
พัฒนาสไตล์เฉพาะตัวสู่ศิลปะโรแมนติก
แม้ว่าเขาเรียนการเขียนภาพในสไตล์นีโอคลาสสิกที่เน้นความประณีตสง่างามและยึดติดกับหลักเหตุผลและกฎเกณฑ์ที่มีรากฐานมาจากศิลปะยุคกรีกและโรมัน แต่เดอลาครัวกลับให้ความสนใจและได้รับแรงบันดาลใจในเรื่องการใช้สีกับการเคลื่อนไหวของ Peter Paul Rubens และศิลปินชาวเวนิสในยุคเรอเนสซองส์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งแรงบันดาลใจจากผลงานของเพื่อนจิตรกรรุ่นพี่ Théodore Géricault ที่เดอลาครัวเคยเป็นแบบให้ในผลงานชิ้นสำคัญของเขาด้วย นอกจากนี้เขายังได้รับอิทธิพลจากเพื่อนศิลปินแนวโรแมนติกของเขาหลายคน รวมทั้งนักเปียนโน Frédéric Chopin และนักเขียน George Sand เดอลาครัวได้พัฒนาแนวทางการเขียนภาพเป็นสไตล์เฉพาะตัวที่ให้ความสำคัญกับอารมณ์ความรู้สึกมากกว่าความเรียบเนียนสวยงาม
จนถึงปี 1822 เขาได้สร้างผลงานสำคัญชิ้นแรกคือภาพ The Barque of Dante ซึ่งได้รับการยอมรับให้เข้าร่วมแสดงในงานนิทรรศการศิลปะ Paris Salon ปีเดียวกัน แม้ว่างานชิ้นนี้จะถูกเย้ยหยันจากพวกข้าราชการและประชาชนบางกลุ่มแต่มันก็ถูกซื้อไปโดยรัฐบาล ภาพนี้ถือกันว่าเป็นหนึ่งในผลงานที่ส่งสัญญาณการเปลี่ยนแปลงลักษณะการเล่าเรื่องจากแบบนีโอคลาสสิกมาเป็นแบบโรแมนติก หลังจากนั้นอีกเพียง 2 ปีเขาก็สร้างชื่อกึกก้องด้วยผลงานภาพ The Massacre at Chios ที่เขาเสนอภาพความน่ากลัวของการทำลายล้างของสงครามในเหตุการณ์สังหารหมู่บนเกาะ Chios ได้อย่างยอดเยี่ยม ตามมาด้วยภาพ Greece on the Ruins of Missolongh ในเหตุการณ์เดียวกันซึ่งสะท้อนความรู้สึกของชาวกรีซที่ต่อสู้เพื่ออิสรภาพในอีก 2 ปีถัดมา
ปี 1827 เดอลาครัวมีผลงานชั้นยอดออกมาอีกคราวนี้เป็นเรื่องราวจากบทละครในชื่อภาพ The Death of Sardanapalus ภาพนี้เขาเลือกใช้สีวรรณะร้อนที่ฉูดฉาดจัดจ้าน ถูกนำไปจัดแสดงใน Paris Salon ปี 1828 ซึ่งได้รับการยกย่องจากนักวิจารณ์ศิลปะอย่างมาก เดอลาครัวใช้เวลาเพียง 5 ปีสร้างชื่อจากคนที่ไม่มีใครรู้จักกลายเป็นจิตรกรชื่อดังชั้นแนวหน้าของประเทศด้วยผลงานศิลปะแนวใหม่ที่เรียกว่าศิลปะแบบโรแมนติกหรือจินตนิยม (Romanticism) และเริ่มต้นการขับเคี่ยวประชันฝีมือกับคู่แข่งคนสำคัญ Jean-Auguste-Dominique Ingres ซึ่งเป็นสุดยอดจิตรกรแห่งยุคสไตล์นีโอคลาสสิกได้อย่างทัดเทียม
ผลงานชิ้นเอก “เสรีภาพนำประชาชน”
ปี 1830 ฝรั่งเศสเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองครั้งสำคัญอีกครั้งหนึ่งจากเหตุการณ์ July Revolution ในเดือนกรกฎาคมประชาชนลุกฮือขึ้นต่อต้านจนนำไปสู่การปฏิวัติโค่นล้มพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 10 ที่ต้องการฟื้นฟูระบบกษัตริย์แบบดั้งเดิมและออกกฎหมายจำกัดสิทธิเสรีภาพของสื่อและประชาชน แต่ก็ถูกทางการปราบปรามอย่างหนักมีผู้คนล้มตายมากมาย เดอลาครัวเขียนภาพ Liberty Leading the People หรือ “เสรีภาพนำประชาชน” เป็นอนุสรณ์ของเหตุการณ์ดังกล่าวเพื่อที่จะระลึกถึงการต่อสู้และการอุทิศชีวิตของประชาชนเพื่อนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญ และภาพนี้ได้กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา
เดอลาครัวสร้างสรรค์ผลงานชิ้นนี้ด้วยความตั้งใจ เขาจัดวางองค์ประกอบในภาพได้อย่างลงตัวคล้ายกับการแสดงละครเวที ท่าทางของตัวละครในภาพถูกกำหนดไว้อย่างมีระบบและเต็มไปด้วยนัยที่เขาต้องการสื่อความหมาย ตรงกลางภาพเป็นผู้หญิงที่หมายถึงเทพีแห่งเสรีภาพสวมเสื้อผ้าที่คล้ายกับชุดของหญิงสาวฝรั่งเศสในสมัยนั้นนิยมกันกำลังยกแขนเดินนำหน้าประชาชนข้ามอุปสรรคและคนที่ล้มลง ในมือขวาของเธอถือธง 3 สีที่หมายถึงเสรีภาพ, ความเสมอภาค และภราดรภาพซึ่งต่อมาได้กลายเป็นธงชาติฝรั่งเศส ขณะที่มืออีกข้างหนึ่งควงดาบปลายปืน ประชาชนที่เข้าร่วมต่อสู้ก็มาจากทุกชนชั้นเห็นได้จากเครื่องแต่งกายและองค์ประกอบอื่นๆ ภาพนี้ได้รับการยกย่องเป็นสัญลักษณ์ของสาธารณรัฐฝรั่งเศส และสร้างแรงบันดาลใจต่องานศิลปะสำคัญอีกหลายชิ้น รวมทั้งนิยายเรื่อง Les Misérables ของ Victor Hugo และรูปปั้นเทพีเสรีภาพในกรุงนิวยอร์ก
ท่องโลกอาหรับในถิ่นแอฟริกาเหนือ
ปี 1832 เดอลาครัวเดินทางไปยังสเปนและประเทศในทวีปแอฟริกาเหนือในภารกิจทางการทูตที่โมร็อคโคหลังจากฝรั่งเศสเข้ายึดครองอัลจีเรีย โดยที่ตัวเขาเองไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อการศึกษาศิลปะของดินแดนอันห่างไกลเป็นหลัก แต่ต้องการหนีจากความศิวิไลซ์ของปารีสไปสัมผัสวัฒนธรรมแบบดั้งเดิมในประเทศเหล่านั้น เดอลาครัวรู้สึกตื่นตะลึงต่อทิวทัศน์ของธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ ชีวิตความเป็นอยู่ ม้า และเครื่องแต่งกายที่งดงามของผู้คนในดินแดนแอฟริกาเหนืออย่างมาก โดยเขาคิดว่ามันเทียบได้กับชาวกรีกและโรมันในยุคโบราณได้เลย ในระหว่างการเดินทางเขาได้เขียนบันทึกและสเก็ตช์ภาพฉากวิถีชีวิตของชาวอาหรับในแอฟริกาเหนือไว้มากกว่า 100 ภาพและใช้มันในการสร้างผลงานของเขาในเวลาต่อมาเป็นจำนวนมาก
หลังจากการไปเยือนโมร็อคโคการเขียนภาพของเดอลาครัวมีความาอิสระมากกว่าเดิมและการใช้สีก็มีความหรูหรายิ่งขึ้น ผลงานจากความประทับใจต่ออารยธรรมอาหรับในแอฟริกาเหนือที่เขาได้ไปสัมผัสมาชิ้นแรกคือภาพ Women of Algiers in Their Apartment ซึ่งเป็นผลงานชั้นยอดที่โดดเด่นมาก ภาพนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจแก่ศิลปินดังในยุคอิมเพรสชั่นนิสม์หลายคน ตามมาด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมอีกจำนวนมากรวมทั้งภาพ The Fanatics of Tangiers และ Jewish wedding in Morocco เดอลาครัวเขียนภาพเกี่ยวกับชาวอาหรับอย่างต่อเนื่องไปตลอดชีวิต
4 ทศวรรษที่มีทั้งนำสมัยและย้อนยุค
ผลงานในช่วงแรกของเดอลาครัวเป็นสไตล์ที่ก้าวหน้านำสมัย แต่พอเข้าวัยกลางคนเดอลาครัวหันมารับงานตกแต่งอาคารในพระราชวัง โบสถ์ และพิพิธภัณฑ์ต่างๆด้วยงานจิตรกรรมฝาผนังขนาดใหญ่ซึ่งมีทั้งภาพสีน้ำมันและภาพปูนเปียก ส่วนใหญ่เขาสร้างงานจิตรกรรมฝาผนังด้วยฉากเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาและตำนานโดยใช้สไตล์ย้อนยุคแบบสมัยบาโรค ขณะเดียวกันก็ยังสร้างผลงานภาพเขียนบนผ้าใบด้วย มีผลงานยอดเยี่ยมซึ่งเป็นภาพเขียนขนาดใหญ่ได้แก่ภาพ Entry of the Crusaders in Constantinople และ The Battle of Taillebourg และในช่วงท้ายเขามีผลงานเด่นที่เป็นฉากเกี่ยวกับสัตว์อีกจำนวนมาก อย่างเช่นภาพ Arab Horses Fighting in a Stable และภาพชุด The Lion Hunt เป็นต้น
เมื่ออายุมากขึ้นเดอลาครัวซึ่งมีปัญหาการติดเชื้อในลำคอมักจะออกไปพักผ่อนที่ชนบทในกระท่อมของเขาที่ Champrosay นอกกรุงปารีสตั้งแต่ปี 1844 เป็นต้นมา โดยได้รับการดูแลและปกป้องความเป็นส่วนตัวอย่างดีจากแม่บ้านที่ชื่อ Jeanne-Marie le Guillou เขาเสียชีวิตในปี 1863 ในวัย 65 ปี ตลอดช่วง 4 ทศวรรษแห่งการสร้างสรรค์เขามีผลงานภาพเขียนทั้งในสไตล์นำสมัยและย้อนยุคมากมายเกือบ 1,000 ชิ้น และยังมีผลงานภาพลายเส้น ภาพสีพาสเทล ภาพสีน้ำ และงานอื่นๆรวมกันอีกกว่า 7,000 ชิ้น
ผลงานยิ่งใหญ่เร้าอารมณ์สะเทือนใจ
ผลงานของเดอลาครัวมีความโดดเด่นตรงการให้ความรู้สึกสร้างอารมณ์สะเทือนใจด้วยฝีแปรงและการใช้สีที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เขาสามารถถ่ายทอดฉากเหตุการณ์จริงในประวัติศาสตร์และเรื่องจากตำนานหรือวรรณกรรมออกมาได้อย่างเข้าถึงอารมณ์สมจริงน่าประทับใจยิ่ง และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งในผลงานอันยอดเยี่ยมของสุดยอดศิลปินหนึ่งผู้นำแห่งศิลปะโรแมนติกชาวฝรั่งเศสคนนี้
Early Period and Romanticism (1822 – 1832)
Arabs Influence and Middle Period (1832 – 1845)
Murals and Later Works (1845 – 1863)
เดอลาครัวไม่เพียงแต่พัฒนาสไตล์การเขียนภาพจากนีโอคลาสสิกไปสู่ศิลปะโรแมนติก เทคนิคการใช้สีของเขายังมีอิทธิพลต่อพัฒนาการของการเขียนภาพทั้งในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสต์และโพสต์อิมเพรสชั่นนิสต์อีกด้วย เขาได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งจิตรกรชั้นครูยุคเก่า (Old Masters) เหมือนกับ Jean-Auguste-Dominique Ingres คู่แข่งต่างสไตล์ และเป็นศิลปินระดับโลกอีกคนหนึ่งที่ได้รับการยกย่องชื่นชมเป็นอย่างมากในศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, britannica, eugene-delacroix