ลูกเศรษฐีที่ต้องค้นหาตัวเองอยู่นาน
ปอล เซซาน เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อปี 1839 ที่เมือง Aix-en-Provence ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส พ่อของเขาเป็นเจ้าของธนาคารที่กิจการเจริญรุ่งเรืองมีฐานะร่ำรวย ปี 1852 เซซานเข้าเรียนชั้นมัธยมที่โรงเรียน Collège Bourbon ที่ซึ่งเขาได้พบเพื่อนนักเรียนและกลายเป็นเพื่อนสนิทกับ Émile Zola ที่ต่อมาเป็นนักเขียนชื่อดังของฝรั่งเศส เขาเริ่มเรียนการเขียนภาพในปี 1856 ที่โรงเรียนศิลปะในเมือง Aix แต่พ่อของเขาต้องการให้เขามาสานต่อธุรกิจของครอบครัวจึงให้เขาเข้าเรียนวิชากฎหมายที่มหาวิทยาลัย University of Aix-en-Provence แต่ยอมให้เรียนเขียนภาพควบคู่กันไปด้วย ผลงานในช่วงเริ่มต้นได้แก่ภาพ Landscape with Mill ที่ได้ฉายแววการเป็นยอดจิตรกรด้านภาพทิวทัศน์ จนถึงปี 1861 เซซานตัดสินใจเลิกเรียนกฎหมายและขอให้พ่อส่งเขาไปเรียนเขียนภาพที่กรุงปารีส
ที่กรุงปารีสเซซานไปอยู่กับ Zola ที่เข้ามาอยู่ก่อนหน้าแล้ว เขาสมัครเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะดัง École des Beaux-Arts แต่ถูกปฏิเสธจึงไปเรียนที่สถาบัน Académie Suisse แทน เซซานได้แรงบันดาลใจจากการศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคนในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์โดยเฉพาะผลงานของ Velázquez และ Caravaggio แต่ผ่านไปเพียง 5 เดือนเขากลับเกิดความไม่แน่ใจในตัวเองต่อการเป็นจิตรกรจึงกลับไปตั้งหลักใหม่ที่บ้าน เซซานเข้าไปทำงานที่ธนาคารของพ่อแต่ก็ยังไม่ทิ้งการเรียนศิลปะ เขาทำงานกับพ่อได้ปีเดียวก็ขอเลิก ปี 1862 เซซานกลับไปกรุงปารีสอีกครั้งคราวนี้เขาได้เจอกับเพื่อนศิลปินรุ่นใหม่หลายคน รวมทั้ง Camille Pissarro ซึ่งมีส่วนต่อการพัฒนาการเขียนภาพของเขาอย่างมาก
เริ่มเส้นทางศิลปินด้วยวิถีที่แตกต่าง
เซซานเริ่มต้นการเป็นจิตรกรในช่วงปลายยุคนีโอคลาสสิกที่ศิลปะสัจนิยมกับศิลปะสถาบันซึ่งผสมผสานศิลปะนีโอคลาสสิกและศิลปะโรแมนติกเข้าด้วยกันกำลังมีอิทธิพลอย่างสูง ขณะเดียวกันศิลปินรุ่นใหม่ๆก็กำลังพัฒนาศิลปะแนวใหม่กันอยู่ เซซานซึ่งชื่นชอบและได้รับอิทธิพลจากผลงานของ Gustave Courbet ผู้นำศิลปะสัจนิยมและ Eugène Delacroix ผู้นำศิลปะโรแมนติกได้พัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเองในโทนสีมืดทึบแบบดุดันทรงพลังด้วยการใช้แสงและเงาที่รุนแรง รวมทั้งมีการใช้มีดผสมสี (Palette knife) เป็นเครื่องมือในการลงสีด้วย เขาเสนอเรื่องราวของความกลัดกลุ้มเศร้าโศก จินตนาการคิดฝัน รวมไปถึงภาพเหมือนบุคคลและภาพเกี่ยวกับศาสนา ผลงานในช่วง 10 ปีแรกของเขามักถูกเรียกเป็น “Dark Period”
เซซานส่งผลงานของเขาเพื่อเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะ Paris Salon อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 1864 แต่ก็ถูกปฏิเสธจากคณะกรรมการพิจารณามาโดยตลอด ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะสไตล์การเขียนภาพของเขาแตกต่างจากวิถีทางที่นิยมกันในช่วงนั้นออกไปมาก มีเพียงภาพ The Artist’s Father, Reading “L’Événement” ภาพเดียวเท่านั้นที่ผ่านการพิจารณาได้ร่วมแสดงใน Salon ปี 1882 อันเป็นปีสุดท้ายที่เขาส่งผลงานเข้าร่วม ผลงานเด่นๆของเซซานในช่วง Dark Period นอกจากภาพ The Artist’s Father แล้วยังมีอีกหลายภาพ เช่น The Artist’s Mother and Sister, Preparing for the Funeral และ The Murder เป็นต้น
ร่วมสรรค์สร้างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์
ในช่วงสงครามฟรังโก-ปรัสเซียระหว่างปี 1870 – 1871 เซซานหลบไปอยู่ที่เมือง L’Estaque ไม่ไกลจากบ้านเกิดพร้อมกับแฟนสาว Marie-Hortense Fiquet ช่วงนี้เขาเริ่มเขียนภาพทิวทัศน์ซึ่งเป็นที่นิยมในกลุ่มเพื่อนศิลปินรุ่นใหม่ซึ่งกำลังสร้างสรรค์ศิลปะแบบใหม่ที่ต่อมาเรียกว่าศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์หรือลัทธิประทับใจ แต่ผลงานของเซซานยังคงใช้สีโทนมืดทึบอยู่ดังปรากฏในภาพ L’Estaque, Melting Snow
หลังจาก Fiquet คลอดลูกชายคนแรกของพวกเขาในปี 1872 เซซานได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Auvers ใกล้กรุงปารีส โดยปกปิดเรื่องภรรยาและลูกไม่ให้ผู้เป็นพ่อทราบ ช่วงเวลานี้เขาได้ใกล้ชิดสนิทสนมกับ Pissarro ซึ่งอาศัยอยู่ที่เมือง Pontoise ไม่ไกลกัน ทั้งคู่เขียนภาพด้วยกันเป็นเวลาราว 2 ปี Pissarro เป็นทั้งเพื่อนและอาจารย์สอนวิธีการเขียนภาพในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ให้กับเซซาน ผลงานของเขาจึงเริ่มเปลี่ยนจากการใช้สีมืดทึบไปเป็นสีสว่างสดใสอันเป็นแบบฉบับของศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์แต่ยังคงฝีแปรงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแตกต่างจากศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์คนอื่นอย่างเห็นได้ชัด
เซซานเข้าร่วมแสดงผลงานในนิทรรศการของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ครั้งแรกในปี 1874 กับครั้งที่สามในปี 1877 แต่ไม่ค่อยประสบความสำเร็จส่วนใหญ่มักถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเชิงเยาะเย้ยถากถางเสียมากกว่า หลังจากนั้นเขาไม่เคยส่งผลงานเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการของกลุ่มอีกเลย ผลงานการเขียนภาพของเซซานในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์ซึ่งมีความโดดเด่นเป็นที่จดจำได้แก่ภาพ A Modern Olympia, The House of Hanged Man และ L’Estaque, Melting Snow รวมทั้งภาพเหมือนตัวเอง Self Portrait (1875)
ถอยห่างเพื่อนพัฒนาสไตล์ของตัวเอง
หลังปี 1877 เซซานค่อยๆออกห่างจากกลุ่มเพื่อนทำงานเพียงลำพังพร้อมกับเริ่มถอยห่างจากสไตล์การเขียนภาพแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ เขาเริ่มอยู่อย่างโดดเดี่ยวมากขึ้นทีละน้อยเหลือเพื่อนเพียงไม่กี่คนที่เขายังติดต่ออยู่ ต้นทศวรรษ 1880 เซซานย้ายไปปักหลักอยู่ที่ Provence ห่างไกลจากศูนย์กลางของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ที่กรุงปารีสแล้วเริ่มพัฒนาสไตล์การเขียนภาพเป็นของตัวเอง เขาชอบเขียนภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire มาก หากใครได้ดูภาพทิวทัศน์ภูเขาลูกนี้ที่เขาเขียนไว้ทั้งหมดหลายสิบภาพก็จะเห็นพัฒนาการในสไตล์การเขียนภาพของเขาได้อย่างชัดเจน และแน่นอนว่าภาพ Montagne Sainte-Victoire เป็นผลงานของเขาได้รับการยกย่องในลำดับต้นๆ
ปี 1886 เป็นปีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในชีวิตของเซซาน เขาได้แต่งงานกับ Fiquet หลังจากที่อยู่ด้วยกันมานานถึง 17 ปี แต่หลังจากนั้นไม่นานพ่อของเขาก็เสียชีวิตและทิ้งมรดกไว้ให้เขาได้ใช้จ่ายอย่างเหลือเฟือ ปีถัดมา Émile Zola เพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมได้ออกหนังสือ L’Oeuvre มีตัวเอกเป็นจิตรกรผู้ล้มเหลวแต่ดันเอาบุคลิกลักษณะของเซซานไปใส่ในตัวเอก เรื่องนี้ทำให้เซซานเจ็บใจมากถึงกับตัดขาดไม่พูดคุยกับ Zola อีกเลย พอถึงปี 1890 เซซานประสบปัญหาชีวิตอย่างหนัก เขาป่วยด้วยโรคเบาหวานแถมมีปัญหาไม่เข้าใจกับภรรยาจนเธอและลูกย้ายไปอยู่ที่กรุงปารีส เขาจึงต้องใช้ชีวิตอยู่แบบตัวคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดาย แต่ผลงานการเขียนภาพกลับยิ่งเจิดจรัสและก้าวสู่จุดสูงสุด
ก้าวข้ามยุคสมัยปูทางศิลปะสมัยใหม่
ตั้งแต่ปี 1890 เป็นต้นมาภาพเขียนของเซซานยิ่งมีความสวยงามลึกซึ้งทั้งในเรื่องของสีและองค์ประกอบ ผลงานในช่วงต้นทศวรรษ 1890 นอกจากภาพทิวทัศน์ภูเขา Montagne Sainte-Victoire อันยอดเยี่ยมในหลายเวอร์ชั่นแล้วยังมีผลงานการเขียนภาพเหมือนที่ยอดเยี่ยมในแบบฉบับของตัวเองอีกมากมาย ที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Boy in the Red Vest และ Portrait of Madame Cézanne with Loosened Hair เป็นต้น
พอมาถึงช่วงกลางและปลายทศวรรษ 1890 เรียกได้ว่าเซซานได้ก้าวขึ้นถึงจุดสูงสุด เขาได้สร้างผลงานชั้นยอดออกมาอย่างมากมาย พร้อมทั้งเปลี่ยนแปลงแนวคิดและสไตล์สู่ความแปลกใหม่มากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะภาพ The Card Players ที่กลายเป็นภาพที่โด่งดังที่สุดของเขาและเคยเป็นภาพที่มีราคาแพงที่สุดในโลกถูกซื้อไปในราคาราว 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐเมื่อปี 2011 ผลงานระดับสุดยอดของเขาที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้มีอีกมากมายอย่างเช่นภาพ The Bathers, Woman in a Green Hat, Pyramid of Skulls รวมทั้งภาพหุ่นนิ่ง (Still Life) ที่มักมีลูกแอปเปิลเป็นองค์ประกอบหลักซึ่งเขาเขียนไว้หลายสิบภาพด้วยกันและภาพภูเขา Montagne Sainte-Victoire อีกหลายเวอร์ชั่นซึ่งบางเวอร์ชั่นถือเป็นจุดกำเนิดของศิลปะแบบคิวบิสม์ (Cubism)
เซซานกลับมาส่งภาพเขียนเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะประจำปีอีกครั้งตั้งแต่ปี 1899 หลังจากห่างหายไปเกือบ 20 ปีและในคราวนี้ผลงานของเขาเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้นเป็นลำดับ ปี 1903 เซซานย้ายไปอยู่ที่สตูดิโอเขียนภาพส่วนตัวในที่เปลี่ยวแถบบ้านเกิดสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมของเขาจนถึงปี 1906 เกิดป่วยหนักหลังจากเจอพายุฝนขณะทำงานเขียนภาพกลางแจ้งและเสียชีวิตในวัย 67 ปีทิ้งมรดกเป็นผลงานภาพเขียนจำนวนมาก
ผลงานโดดเด่นของศิลปินผู้โดดเดี่ยว
ตลอดหลายสิบปีของการเป็นจิตรกรเซซานได้สร้างผลงานในหลากหลายสไตล์จากยุคแรกเริ่มที่เป็นโทนสีมืดทึบแล้วเปลี่ยนมาเป็นสีสว่างสดใสแบบอิมเพรสชั่นนิสม์ จากนั้นจึงพัฒนาสไตล์เป็นของตัวเองจนนำไปสู่ความแปลกใหม่ปูทางให้กับศิลปะสมัยใหม่ เซซานได้สร้างผลงานภาพเขียนไว้กว่า 1,000 ภาพ และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันโดดเด่นของศิลปินผู้โดดเดี่ยวคนนี้
Dark Period (1860 – 1870)
Impressionist Period (1870 – 1878)
Mature Period (1878 – 1890)
Final Period (1890 – 1906)
ปอล เซซานได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้สร้างสะพานเชื่อมระหว่างศิลปะอิมเพรสชั่นนิสม์ในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 กับศิลปะสมัยใหม่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะศิลปะแบบคิวบิสม์ ผลงานของเซซานได้รับการยกย่องและสร้างแรงบันดาลใจให้กับศิลปินดังยุคต่อมามากมาย Pablo Picasso และ Henri Matisse ต่างยกย่องว่าเซซานเป็นบิดาทางศิลปะของพวกเขา และอีกหลายคนให้การยกย่องเซซานเป็น “บิดาแห่งศิลปะสมัยใหม่”
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, biography, paulcezanne.org