เมื่อเทียบกับแผนที่ที่ได้ทำการวิจัยไว้ในปี 1990 นักวิจัยพบว่าผืนป่าธรรมชาติหายไปประมาณ 3.3 ล้านตารางกิโลเมตร คิดเป็นเกือบ 10% ของผืนป่าที่มีอยู่ หรือเท่ากับครึ่งหนึ่งของพื้นที่ประเทศออสเตรเลีย
ส่วนใหญ่ของผืนป่าธรรมชาติที่เหลืออยู่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เอเชียเหนือ แอฟริกาเหนือ และทวีปออสเตรเลีย การสูญเสียที่มากที่สุดเกิดขึ้นในทวีปอเมริกาใต้ซึ่งผืนป่าธรรมชาติลดลง 30% และทวีปแอฟริกาซึ่งสูญหายไป 14%
ผืนป่าธรรมชาติทำหน้าที่สำคัญหลายอย่าง เช่น เป็นแหล่งต้นน้ำ แหล่งอาหารและยารักษาโรค ผืนป่าเป็นที่ดูดซับก๊าซเรือนกระจกขนาดใหญ่มหึมา และเป็นแหล่งผลิตก๊าซออกซิเจนที่ล้ำค่ายิ่ง
“คุณไม่สามารถฟื้นคืนผืนป่าธรรมชาติได้ เมื่อมันหมดไปแล้ว กระบวนการทางนิเวศวิทยาที่สนับสนุนระบบนิเวศก็จะหายตามไปด้วย และไม่เคยกลับคืนมาเป็นสภาพเดิมได้เลย” James Watson หัวหน้าทีมวิจัยกล่าว “ถ้าเราไม่ได้ดำเนินการโดยเร็ว มันจะหายไปทั้งหมด และนี่คือภัยพิบัติสำหรับการอนุรักษ์สำหรับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศ และสำหรับบางส่วนของชุมชนมนุษย์ที่เปราะบางที่สุดบนโลกใบนี้”
การตัดไม้ทำลายป่าซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนพื้นที่ป่าให้เป็นพื้นที่เพาะปลูก ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ และใช้เป็นพื้นที่เมืองนั้นเป็นปัญหาที่ร้ายแรงอย่างชัดเจน นโยบายการจัดการป่าไม้และกฎหมายสิ่งแวดล้อมประสบความล้มเหลวในการป้องกันนายทุนทั้งหลายจากการใช้พื้นที่ป่ามากเกินไป ป่าเขตร้อนกำลังประสบปัญหาของการตัดไม้ทำลายป่าในระดับที่เลวร้ายที่สุด
“ถ้าไม่มีนโยบายที่จะปกป้องพื้นที่เหล่านี้ มันจะตกเป็นเหยื่อของการพัฒนาที่แผ่ขยายอย่างกว้างขวาง เราอาจจะต้องใช้เวลา 1-2 ทศวรรษในการแก้ไขปัญหา กลไกนโยบายระหว่างประเทศต้องตระหนักถึงความจำเป็นในการรักษาผืนป่าธรรมชาติก่อนที่จะสายเกินไป” Watson สรุป
ข้อมูลและภาพจาก treehugger, gizmodo