นักกฎหมายผู้เปลี่ยนเป็นศิลปิน
อ็องรี มาติส เป็นชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อปี 1869 ที่เมืองเล็กๆในเขต Nord ทางเหนือสุดของฝรั่งเศสติดกับเบลเยียม พ่อของเขามีอาชีพค้าข้าว ในวัยเด็กมาติสไม่ได้สนใจทางด้านศิลปะ พอเรียนจบชั้นมัธยมในปี 1887 พ่อก็ส่งเขาไปเรียนด้านกฎหมายที่กรุงปารีสเป็นเวลา 2 ปีแล้วกลับมาทำงานในสำนักงานกฎหมายในเมือง Saint-Quentin ใกล้บ้านเกิด แต่แล้วชีวิตของเขาเริ่มพลิกผันเพราะในปีนั้นเองเขาต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะเป็นไส้ติ่งอักเสบ
ในช่วงพักฟื้นอยู่ที่บ้านมาติสเริ่มหัดเขียนภาพ เขาลุ่มหลงการเขียนภาพมากจนตัดสินใจหันหลังให้กับการเป็นนักกฎหมายที่เรียนจบมาไปเริ่มเรียนศิลปะในปี 1891 ตอนอายุ 22 ปี มาติสเข้าเรียนที่สถาบัน Académie Julian ในกรุงปารีสเป็นลูกศิษย์ของศิลปินดังแห่งยุคนีโอคลาสสิก William-Adolphe Bouguereau ผู้สอนศิลปะตามหลักวิชา ต่อมาไปเรียนกับ Gustave Moreau ศิลปินในลัทธิสัญลักษณ์นิยมที่สถาบัน École des Beaux-Arts ผลงานในช่วงแรกส่วนใหญ่เป็นการเขียนภาพหุ่นนิ่ง (Still life) กับการคัดลอกผลงานของศิลปินชั้นครูในพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ผลงานชิ้นเยี่ยมในช่วงแรกๆของเขาได้แก่ภาพ Woman Reading
บนเส้นทางการเรียนรู้และค้นหา
แม้ว่ามาติสเรียนการเขียนภาพในสไตล์ดั้งเดิมแต่เขาไม่ได้ยึดติดกลับพยายามเรียนรู้สิ่งใหม่ๆเพิ่มเติมอยู่เสมอ ปี 1896 มาติสไปหาจิตรกรชาวออสเตรีย John Russell ที่เกาะ Belle Île ทางตะวันตกของฝรั่งเศส เขาได้เรียนรู้ทฤษฎีสีจาก Russel รวมทั้งงานในสไตล์อิมเพรสชั่นนิสม์โดยเฉพาะผลงานของ Vincent van Gogh ปี 1898 เดินทางไปศึกษาผลงานของจิตรกรดังชาวอังกฤษยุคก่อน William Turner ที่กรุงลอนดอนตามคำแนะนำของ Camille Pissarro พี่ใหญ่ของกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์
มาติสชอบศึกษาและสะสมผลงานของศิลปินที่เขาชื่นชอบหลายคนอย่างเช่น Paul Gauguin, Vincent van Gogh และ Paul Cézanne และศิลปินเหล่านี้ก็เป็นแรงบันดาลใจในการสร้างผลงานของเขาด้วย นอกจากนี้เขายังชอบเทคนิควิภาคนิยม (Divisionism) และเทคนิคผสานจุดสี (Pointillism) ที่ Georges Seurat คิดค้นขึ้นและได้นำมาใช้ในผลงานของเขาหลายภาพ ผลงานเด่นของมาติสในช่วงนี้ได้แก่ภาพ The Dinner Table และ Nude in the Studio เป็นต้น
ผู้นำลัทธิโฟวิสม์ที่ใช้สีสันจัดจ้าน
ต้นทศวรรษ 1900 มาติสเริ่มพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเอง เขาเลือกใช้สีเข้มสดตัดกันอย่างรุนแรงซึ่งให้ความรู้สึกสดใสร้อนแรงและดุดัน ผสมผสานเทคนิควิภาคนิยมกับเทคนิคการลงสีแบบ Cézanne สร้างเป็นผลงานที่แปลกใหม่แตกต่างไปโดยสิ้นเชิง เขาส่งผลงานภาพ Woman with a Hat และ The Open Window ร่วมแสดงในนิทรรศการศิลปะ Salon d’Automne ปี 1905 ซึ่งมีการแสดงผลงานของ Donatello ยอดประติมากรยุคเรอเนสซองส์ชาวอิตาลีในห้องเดียวกับภาพของมาติสและศิลปินที่มีแนวทางเดียวกับมาติสหลายคน นักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งถึงกับพูดว่า “Donatello chez les fauves (โดนาเตลโลท่ามกลางสัตว์ป่า)” คำว่า Fauvism จึงถูกใช้เรียกศิลปะในสไตล์ใหม่นี้
ในช่วงระหว่างปี 1904 – 1910 มาติสสร้างผลงานอันยอดเยี่ยมในแบบลัทธิโฟวิสม์จำนวนมากซึ่งล้วนเป็นภาพที่โด่งดังของเขาทั้งสิ้น อย่างเช่นภาพ Joy of Life, Blue Nude, Green Stripe และภาพ Luxury, Calm and Pleasure รวมทั้งภาพ The Dance ซึ่งเป็นหนึ่งในภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา มาติสกลายเป็นผู้นำลัทธิโฟวิสม์ที่โดดเด่นที่สุด แต่ลัทธิโฟวิสม์ได้รับความนิยมอยู่ไม่นานหลังปี 1910 ก็เริ่มเสื่อมสลายไป
สร้างสรรค์ศิลปะใหม่หลากไตล์
ผลพวงจากความสำเร็จของผลงานในช่วงทศวรรษ 1900 ทำให้มาติสมีชื่อเสียงเป็นศิลปินดังที่มาแรงแข่งกับ Pablo Picasso ที่กำลังโด่งดังกับผลงานในแบบคิวบิสม์หรือบาศกนิยม แม้ว่าลัทธิโฟวิสม์เสื่อมความนิยมไปแล้วแต่ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อมาติสแต่อย่างใด เพราะเขายังคงก้าวต่อไปกับการสร้างสรรค์ศิลปะแบบใหม่หลากหลายแนว มีทั้งแบบบาศกนิยม สัญลักษณ์นิยม และศิลปะนามธรรม มาติสลดการใช้สีจัดจ้านที่ตัดกันอย่างรุนแรงลงแต่ยังคงการเขียนรูปทรงง่ายๆแบบ 2 มิติ ผลงานที่โดดเด่นในช่วงนี้ได้แก่ภาพ Bathers by a River, The Moroccans และภาพ The Goldfish เป็นต้น
มาติสชอบเดินทางไปศึกษาศิลปะและหาแรงบันดาลใจใหม่ๆในต่างแดน ปี 1906 เขาเดินทางไปยังประเทศแอลจีเรียเพื่อศึกษาศิลปะแอฟริกันและศิลปะพื้นบ้าน ปี 1910 ไปชมนิทรรศการศิลปะอิสลามที่ประเทศเยอรมันและไปศึกษาศิลปะของชาวมัวร์ที่ประเทศสเปนด้วย ปี 1912 และ 1913 เขาเดินทางไปศึกษาศิลปะที่ประเทศโมรอคโคถึงสองครั้งและดูเหมือนว่าเขาจะชื่นชอบศิลปะของชาวอาหรับมากเป็นพิเศษ ดังจะเห็นปรากฏอยู่ในผลงานของเขาในเวลาต่อมาเป็นจำนวนมากโดยเฉพาะภาพนางในฮาเร็ม (Odalisque) ในหลากหลายอิริยาบถ
มรสุมชีวิตของศิลปินกับนางแบบ
ชีวิตของจิตรกรมักจะผูกพันอยู่กับนางแบบสาวสวยอยู่เสมอ มาติสมาอยู่ที่กรุงปารีสได้ไม่นานก็พบรักกับนางแบบสาว Caroline Joblau ทั้งคู่มีลูกสาวด้วยกันคนหนึ่งชื่อ Marguerite แต่ต่อมาก็เลิกรากันไป ปี 1898 มาติสแต่งงานกับ Amélie Noellie Parayre มีลูกชายอีก 2 คน ทั้ง Amélie และ Marguerite นั่งเป็นแบบให้กับมาติสอยู่บ่อยๆ ในปี 1917 มาติสย้ายครอบครัวออกจากกรุงปารีสไปอยู่ที่เมืองนีซใกล้ชายฝั่งริเวียราริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางตอนใต้ประเทศ
ชีวิตครอบครัวดำเนินไปด้วยดีจนถึงปี 1932 มาติสจ้าง Lydia Delectorskaya สาวน้อยชาวรัสเซียมาเป็นผู้ช่วยในสตูดิโอต่อมาก็นั่งเป็นแบบให้กับเขาด้วย ศิลปินวัย 65 ปีเกิดหลงรักนางแบบสาววัย 25 ปีจนมีความสัมพันธ์ลึกซึ้ง Amélie ยื่นคำขาดให้มาติสเลือก เขาตัดสินใจเลือกภรรยาทำให้ Lydia เสียใจมากถึงกับยิงตัวเองแต่ไม่ตาย ปี 1939 Amélie ขอแยกทางจบชีวิตแต่งงานนาน 41 ปี ต่อมา Lydia กลับมาอยู่กับมาติสเป็นทั้งคู่รัก นางแบบ ผู้จัดการส่วนตัว ดูแลบ้าน และอยู่กับเขาไปตลอดชีวิต
ทางด้านผลงานของเขาช่วงที่ใช้ชีวิตอยู่ที่ชายฝั่งริเวียรากลับมีความนุ่มนวลอ่อนโยนมากขึ้น มาติสเขียนภาพในหลากหลายเรื่องราวแต่ส่วนใหญ่เป็นภาพผู้หญิง ซึ่งมีทั้งแบบโป๊เปลือยในแทบทุกอิริยาบถนับร้อยภาพ และแบบที่ใส่ชุดสวยหรูในห้องที่ตกแต่งอย่างดีมีสีสันแปลกตาอีกจำนวนมาก อย่างเช่นภาพดัง Woman in a Purple Coat เป็นต้น ภาพนางในฮาเร็มในชุดวาบหวามส่วนใหญ่ก็เขียนขึ้นในช่วงนี้
ผู้ไม่ยอมแพ้แม้ต้องอยู่บนรถเข็น
ปี 1941 มาติสต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาโรคมะเร็งในช่องท้อง หลังจากนั้นเขาเคลื่อนไหวร่างกายไม่สะดวกต้องอยู่แต่บนเตียงกับรถเข็น แต่ก็ยังพยายามทำงานด้วยความยากลำบากถึงขนาดต้องใช้ไม้ยาวมาต่อกับดินสอเพื่อเขียนภาพ มาติสจึงหันไปทำงานศิลปะตัดกระดาษ เริ่มจากชิ้นเล็กๆจนเป็นชิ้นใหญ่ที่ซับซ้อนกลายเป็นผลงานศิลปะอีกแบบหนึ่งของเขา ผลงานศิลปะตัดกระดาษที่มีชื่อเสียงได้แก่ภาพ Sorrow of the King และ Beasts of the Sea เป็นต้น
ปี 1948 มาติสใช้เทคนิคศิลปะตัดกระดาษที่เขาเรียกว่า “เขียนภาพด้วยกรรไกร” ทำงานออกแบบตกแต่งโบสถ์ Chapelle du Rosaire de Vence ในเมือง Vence ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบ้านพักของเขาในเมืองนีซ ต่อมาในปี 1952 มาติสสร้างพิพิธภัณฑ์ Matisse Museum ที่เมือง Le Cateau-Cambrésis ใกล้บ้านเกิดและมอบผลงานของเขาให้กับพิพิธภัณฑ์ 100 ชิ้นมีมูลค่าราว 14 ล้านดอลลาร์ มาติสเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจในปี 1954 ขณะมีอายุ 84 ปี
ผลงานการสร้างสรรค์ 6 ทศวรรษ
ตลอดชีวิตการทำงานอันยาวนานกว่า 6 ทศวรรษของมาติส เขามีผลงานมากกว่า 1,000 ชิ้น ส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนซึ่งมีหลากหลายสไตล์แปรเปลี่ยนไปตามพัฒนาการของแนวคิดและเทคนิคที่เขาเลือกใช้ นอกจากนี้เขายังทำงานภาพพิมพ์กับงานประติมากรรมอีกด้วย และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันยอดเยี่ยมจากฝีมือของศิลปินผู้โดดเด่นคนนี้
Early Works (1890 – 1900)
Fauvism Period (1900 – 1910)
Successful Years in Paris (1910 – 1917)
Riviera Period (1917 – 1940)
Final Years (1940 – 1953)
อ็องรี มาติส เป็นศิลปินผู้โดดเด่นแห่งยุคศิลปะสมัยใหม่ มีผลงานอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวในสไตล์ที่แปลกแหวกแนวด้วยการใช้สีสดใสฉูดฉาดจัดจ้าน เขาเป็นทั้งเพื่อนและคู่แข่งคนสำคัญของสุดยอดศิลปินแห่งยุคอย่าง Pablo Picasso มาโดยตลอด มาติสได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ทรงอิทธิพลมากที่สุดในศตวรรษที่ 20
ข้อมูลและภาพจาก henri-matisse.net, wikipedia, henrimatisse.org