คณะสำรวจเส้นทางเดินเรือสายตะวันตกเฉียงเหนือที่มีท่านเซอร์ John Franklin เป็นหัวหน้าคณะพร้อมลูกเรือ 128 คนได้ออกเดินทางจากอังกฤษในปี 1845 ด้วยเรือสองลำ คือ HMS Erebus และ HMS Terror เรือทั้งสองลำได้ติดอยู่ในน้ำแข็งที่ช่องแคบ Victoria ใกล้กับเกาะ King William ทางตอนเหนือของแคนาดา แล้วทั้งหมดก็หายสาบสูญไป
การค้นหาคณะสำรวจที่สูญหายไปเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 1848 เรื่อยมาตลอดศตวรรษที่ 19 ชะตากรรมของเรือยังคงเป็นหนึ่งในความลึกลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เป็นเวลาเกือบ 170 ปี จวบจนกระทั่งในปี 2014 ทีมค้นหาชาวแคนาดาได้พบซากเรือ HMS Erebus ที่ด้านตะวันตกของเกาะ O’Reilly ในกลุ่มเกาะอาร์กติกแคนาดา
เรือ HMS Terror เป็นหนึ่งในเรืออังกฤษที่มีส่วนในการโจมตีของป้อมฟอร์ตแมคเฮนรีในสงครามบัลติมอร์ ในเดือนกันยายน 1814
การโจมตีในครั้งนั้นเป็นแรงบันดาลใจให้ฟรานซิส สก็อต คีย์ เขียนบทกวีซึ่งในที่สุดได้กลายเป็นเพลงชาติสหรัฐอเมริกา the Star-Spangled Banner
Adrian Schimnowski ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการของมูลนิธิฯ กล่าวว่าความลึกลับของตำแหน่งที่อยู่ของเรือ HMS Terror ถูกคลี่คลายจากการสนทนาในช่วงดึกคืนหนึ่งระหว่างเขากับ Sammy Kogvik เจ้าหน้าที่ดูแลอุทยานชาวเอสกิโม จากเมือง Gjoa Haven
Kogvik บอก Schimnowski ว่าเมื่อเจ็ดปีที่แล้วในขณะที่กำลังนั่งรถข้ามทะเลน้ำแข็งของ Terror Bay เขาเห็นเสาขนาดใหญ่โผล่ขึ้นมาจากน้ำแข็ง ซึ่งเขาคิดว่ามันอาจจะเป็นเสากระโดงเรือ เขาเก็บมันไว้เป็นความลับมานานเพราะคิดว่าไม่มีใครเชื่อเขา
เรือ HMS Terror ถูกพบจมอยู่ใต้น้ำลึก 24 เมตรของ Terror Bay ห่างจากจุดที่พบ HMS Erebus ราว 40 ไมล์ เสากระโดงเรือทั้งสามเสาหักแต่ยังตั้งอยู่ ประตูถูกปิด บานหน้าต่างกระจกในห้องโดยสารใช้งานได้เหมือนเดิม และเกือบทุกอย่างถูกเก็บไว้อย่างดี
“เราสามารถเข้าไปที่ห้องโถง และหาทางเข้าไปห้องอื่นๆ เราพบห้องเก็บอาหาร เราเจอไวน์สองขวด โต๊ะและลิ้นชักที่ว่างเปล่า เราพบโต๊ะทำงานที่มีลิ้นชักกับบางสิ่งบางอย่างที่มุมด้านในของลิ้นชัก” Schimnowski กล่าว
สภาพของเรือที่พบทำให้ต้องเปลี่ยนบันทึกทางประวัติศาสตร์อย่างสิ้นเชิง ประวัติศาสตร์บอกว่าลูกเรือของเรือ HMS Terror ได้พบกับชะตากรรมที่น่าอนาถในทะเล แต่ด้วยสภาพของเรือมันเป็นไปได้มากที่สุดที่ลูกเรือได้ปิดตัวเรือ และเดินทางต่อด้วยเรือ HMS Erebus ลงไปทางใต้แล้วพบกับโศกนาฏกรรมในที่สุด
ชมวิดีโออธิบายการค้นพบเรือ HMS Terror ที่ด้านล่าง
ข้อมูลและภาพจาก dailymail, natureworldnews