จิตรกรหนุ่มมืออาชีพในสไตล์บ้านเกิด
เอลเกรโก (El Greco) เป็นชาวกรีก เกิดเมื่อปี 1541 ที่เกาะครีตเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะกรีกซึ่งในขณะนั้นเป็นส่วนหนึ่งของสาธารณรัฐเวนิส เขามีชื่อเดิมว่า Domenikos Theotokopoulos แต่ไม่ค่อยมีใครจดจำชื่อในภาษากรีกของเขาได้ บ้านเกิดของเอลเกรโกเป็นศูนย์กลางของศิลปะไบแซนไทน์ยุคหลัง และยังที่ตั้งของโรงเรียนสอนศิลปะ Cretan School ที่สอนการสร้างงานศิลปะทางศาสนาที่เป็นศิลปะไบแซนไทน์แบบหนึ่งที่เรียกว่า Icon ซึ่งกำลังเฟื่องฟูอยู่ในเวลานั้น เอลเกรโกเรียนการเขียนภาพที่โรงเรียนแห่งนี้เขาจึงมีพื้นฐานการเขียนภาพในสไตล์ไบแซนไทน์ยุคหลังเป็นอย่างดี
พอมีอายุได้ 22 ปีเอลเกรโกก็กลายเป็นจิตรกรมืออาชีพได้เป็นสมาชิกของสมาคมจิตรกรแห่งครีต เขาเริ่มสร้างผลงานและชื่อเสียงผ่านการเขียนภาพแนวศาสนาที่ได้เรียนมา มีผลงานชิ้นสำคัญคือภาพ Dormition of the Virgin ที่เขาผสมผสานศิลปะแบบไบแซนไทน์ยุคหลังเข้ากับสไตล์จริตนิยม (Mannerism) ของอิตาลีกลายเป็นผลงานที่โดดเด่นในช่วงแรกของการเป็นศิลปินมืออาชีพ พอถึงราวปี 1567 เอลเกรโกก็เดินทางสู่เมืองเวนิสเพื่อเรียนรู้และพัฒนาฝีมืออันเป็นเส้นทางสู่ความเป็นศิลปินชั้นนำของจิตรกรรุ่นเยาว์ชาวครีตในยุคนั้น
เป็นลูกศิษย์ของสุดยอดจิตรกรแห่งยุค
ที่เวนิสเอลเกรโกได้เข้าไปทำงานในสตูดิโอเป็นลูกศิษย์ของ Titian จิตรกรผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคที่แม้มีวัยเกิน 80 ปีไปแล้วแต่ยังคงเต็มไปด้วยพลังแห่งการสร้างสรรค์ ช่วงเวลา 3 ปีในสตูดิโอของ Titian เอลเกรโกได้ศึกษาวิธีการเขียนภาพสไตล์เรอเนสซองส์จนเชี่ยวชาญ รวมทั้งเรียนรู้การจัดองค์ประกอบของภาพที่หลากหลายแบบจิตรกรชาวเวเนเชียน ผลงานภาพเขียนในช่วงนี้ของเขาจึงแตกต่างจากตอนที่อยู่ที่บ้านเกิดไปโดยสิ้นเชิง ผลงานเด่นของเอลเกรโกช่วงที่อยู่ในเวนิสได้แก่ภาพ Christ Healing the Blind และ Adoration of the Magi พอฝีมือพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่งแล้วเขาก็พร้อมที่จะก้าวขึ้นสู่เวทีใหญ่ในกรุงโรมที่ซึ่งเขาได้ชื่อใหม่ว่า El Greco ซึ่งหมายถึง “The Greek หรือชาวกรีก” ในภาษาอิตาเลียน
กระเด็นตกเวทีด้วยความห้าวของตัวเอง
ตอนที่เอลเกรโกมาถึงกรุงโรมนั้น Michelangelo และ Raphael สองสุดยอดศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคเรอเนสซองส์ได้เสียชีวิตไปแล้ว แต่ผลงานของพวกเขายังทรงอิทธิพลและมีความสำคัญ โดยเฉพาะสำหรับจิตรกรหนุ่มรุ่นใหม่ผลงานของพวกเขาคือแบบอย่างที่จะได้ศึกษาเรียนรู้เพื่อพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเอง ในภาพ Purification of the Temple ที่เป็นผลงานชิ้นแรกๆของเขาเมื่อมาอยู่ที่กรุงโรม เอลเกรโกได้เขียนภาพเหมือนของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุค 4 คนคือ Michelangelo, Titian, Clovio และ Raphael ไว้ตรงมุมล่างขวาของภาพด้วย Clovio เป็นเพื่อนต่างวัยของเอลเกรโกผู้ชื่นชอบพรสวรรค์ในการเขียนภาพของเขามาก และเขาได้เขียนภาพเหมือนของเพื่อนคนนี้ในภาพ Portrait of Giorgio Giulio Clovio ซึ่งได้ฉายแววสุดยอดจิตรกรภาพเหมือนออกมาอย่างชัดแจ้ง
ที่กรุงโรมด้วยคำแนะนำของ Clovio เอลเกรโกได้พักอยู่ในวัง Palazzo Farnese ในฐานะแขกของพระคาดินัล Alessandro Farnese ทำให้เขาได้ใกล้ชิดกับแวดวงสังคมชั้นสูงซึ่งเป็นโอกาสที่จะได้รับงานสำคัญ แต่ด้วยแนวคิดทางศิลปะที่ล้ำยุคสมัยและบุคลิกที่แข็งกร้าวทำให้เขามักมีเรื่องขัดแย้งกับผู้อื่นอยู่เสมอ เอลเกรโกเข้าร่วมในสมาคมศิลปินแห่งกรุงโรมและตั้งสตูดิโอเขียนภาพของตัวเอง เขาได้รับการจ้างแต่เพียงงานชิ้นเล็กไม่ค่อยมีงานชิ้นใหญ่ให้แสดงฝีมือ มีผลงานที่โดดเด่นชิ้นหนึ่งในช่วงนี้ได้แก่ภาพ A Boy Blowing on an Ember to Light a Candle จนเมื่อเขาได้เสนอต่อพระสันตปาปา Pope Pius V ว่าขอเขียนภาพใหม่ทับภาพเขียนชิ้นสำคัญ The Last Judgment ในโบสถ์น้อยซิสตินผลงานของ Michelangelo เพราะเชื่อว่าจะได้ผลงานที่ดีกว่าและสอดคล้องกับแนวคิดคาทอลิกใหม่มากกว่าเดิม เรื่องนี้ทำให้เขาถูกต่อต้านอย่างหนักจนสุดท้ายต้องย้ายออกจากกรุงโรมในปี 1576 หลังจากอยู่มาราว 6 ปี
ตั้งต้นใหม่และสร้างชื่อระบือไกลในสเปน
เอลเกรโกเลือกไปสร้างชื่อที่ประเทศสเปน ตอนแรกเขาคิดจะเป็นจิตรกรราชสำนักของสเปนจึงเดินทางไปยังกรุงมาดริดแต่พบว่าโอกาสยังไม่เอื้ออำนวย เขาจึงไปต่อที่เมืองโตเลโด (Toledo) ซึ่งเมืองหลวงเก่าของสเปนที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงมาดริด โตเลโดเป็นเมืองหลวงหรือศูนย์กลางทางศาสนาของสเปนถือว่าเข้าทางของเอลเกรโกเพราะเขาเชี่ยวชาญการเขียนภาพแนวนี้อยู่แล้ว เพียงปีแรกที่มาถึงโตเลโดเขาก็ได้รับงานเขียนภาพขนาดใหญ่หลายภาพให้กับโบสถ์ในเมืองโตเลโด ไม่นานหลังจากนั้นผลงานจากฝีมือที่ยอดเยี่ยมของเขาก็ปรากฏสู่สายตาสาธารณชน ภาพเขียนที่โดดเด่นของช่วงแรกในโตเลโดได้แก่ภาพ The Disrobing of Christ, The Holy Trinity และ Assumption of the Virgin เป็นต้น ชื่อเสียงของเอลเกรโกจึงเริ่มโด่งดังขึ้น
แม้เขาเริ่มมีชื่อเสียงแล้วแต่ความต้องการเป็นจิตรกรราชสำนักสเปนของเอลเกรโกยังมิได้หมดสิ้นไป และโอกาสมาถึงในปี 1579 เมื่อจิตรกรราชสำนักคนเก่า Juan Fernández de Navarrete ได้เสียชีวิตไปกษัตริย์ Philip II แห่งสเปนจ้างเขาเขียนภาพ Adoration of the Holy Name of Jesus และ The Martyrdom of Saint Maurice แต่ผลงานของเขากลับไม่เป็นที่ชื่นชอบของกษัตริย์สเปน เอลเกรโกจึงไม่ได้เป็นจิตรกรราชสำนักสเปนดั่งใจหวัง เขาจึงทำงานอยู่ที่เมืองโตเลโดต่อไปและสร้างผลงานออกมาอย่างมากมาย มีทั้งภาพเหมือนบุคคลชั้นยอดอย่างเช่นภาพ The Nobleman with his Hand on his Chest และ Lady in a Fur Wrap รวมทั้งภาพเขียนทางศาสนาที่เป็นผลงานส่วนใหญ่ของเขา โดยเฉพาะภาพเขียนบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์ที่เขาทำออกมาได้อย่างน่าประทับใจยิ่ง เช่น ภาพ The Tears of Saint Peter, Mary Magdalen in Penitence และ Christ Carrying the Cross เป็นต้น
ผลงานชิ้นเอกทรงคุณค่าเหนือคำบรรยาย
ปี 1586 Andrés Núñez บาทหลวงอธิการโบสถ์ Santo Tomé ในเมืองโตเลโดได้ว่าจ้างเอลเกรโกเขียนภาพขนาดใหญ่เพื่อใช้ประดับในโบสถ์น้อยซึ่งเป็นที่ฝังศพผู้มีพระคุณของโบสถ์ท่านเคาน์ Don Gonzalo Ruiz de Toledo อดีตนายกเทศมนตรีของเมือง Orgaz ตามตำนานเล่าขานว่าเมื่อท่านเคาน์แห่ง Orgaz เสียชีวิต นักบุญสตีเฟนและนักบุญออกัสตินแห่งฮิปโปได้ลงมาจากสวรรค์เพื่อมาทำพิธีฝังศพท่านเคาน์ด้วยมือของพวกเขาเอง เอลเกรโกใช้เวลาราว 2 ปีเขียนภาพ The Burial of the Count of Orgaz ออกมาได้งดงามอย่างยิ่ง ถือเป็นผลงานที่ประณีตที่สุดและดีที่สุดของเขา
ภาพ The Burial of the Count of Orgaz มีขนาด 4.8 x 3.6 เมตร แบ่งออกเป็นสองส่วนคือด้านบนเป็นสวรรค์เชื่อมต่อกับด้านล่างที่เป็นโลกมนุษย์ ความโดดเด่นของภาพนี้นอกจากการใช้สีและฝีแปรงที่ดูมีมิติและความเคลื่อนไหวซึ่งเอลเกรโกได้พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวแล้ว เขายังเลือกใช้ผู้มีชื่อเสียงและผู้สูงศักดิ์ของเมืองโตเลโดในขณะนั้นมาเป็นผู้เข้าร่วมในพิธีฝังศพของท่านเคาน์ เหมือนเป็นการเขียนภาพเหมือนคนดังของโตเลโดจำนวนมากรวมทั้งบาทหลวง Núñez และตัวเขาเองด้วยมารวมอยู่ในภาพนี้ภาพเดียว ภาพเขียนชิ้นนี้กลายเป็นผลงานที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเอลเกรโก ได้รับการยกย่องเป็นผลงานชิ้นเอกของศิลปะตะวันตก รวมทั้งได้รับการยกย่องเป็นผลงานอันทรงคุณค่าเป็นหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ที่เป็นจริงที่สุดของสเปน
รังสรรค์ศิลปะล้ำสมัยตัวเองหลายศตวรรษ
ยิ่งนานวันชื่อเสียงของเอลเกรโกก็ยิ่งเพิ่มพูน ฝีมือและสไตล์การเขียนภาพของเขามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเรียกได้ว่ายิ่งแก่ยิ่งขลัง ช่วงที่มีงานมากที่สุดเป็นช่วงที่เขามีอายุ 55 – 65 ปี เขาได้รับงานเขียนฉากประดับแท่นบูชา (Altarpiece) และภาพเขียนทางศาสนาทั้งขนาดใหญ่ขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ไม่นับรวมภาพเหมือนบุคคลที่เขาทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยมอีกมากมาย นอกจากนี้เอลเกรโกยังทำงานประติมากรรมและงานสถาปัตยกรรมควบคู่ไปกับงานเขียนภาพอีกไม่น้อย
นับจากช่วงปลายทศวรรษ 1590 เอลเกรโกได้เริ่มพัฒนาสไตล์การเขียนภาพที่แปลกแตกต่างและล้ำสมัยกว่ายุคของตัวเองอย่างมาก ปี 1596 เขาเขียนภาพทิวทัศน์ของเมืองที่ปกติแทบไม่เคยเขียนมาก่อน แต่ผลงานภาพ View of Toledo ได้สร้างความรู้สึกที่แปลกใหม่ต่างจากภาพเขียนทิวทัศน์ในยุคเดียวกันมาก ภาพท้องฟ้ามืดครึ้มดูน่าเกรงขามที่บดบังแสงจ้าด้านหลังตัดกับเนินเขาสีเขียวที่ส่องประกายอยู่ด้านล่างทำให้รับรู้ถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของธรรมชาติ ภาพนี้เป็นผลงานชิ้นเอกของเขาที่มีชื่อเสียงอย่างมาก ถือเป็นภาพท้องฟ้าที่โด่งดังที่สุดชิ้นหนึ่งในศิลปะตะวันตก และเป็นต้นแบบให้ศิลปินยุคหลังสร้างสรรค์ศิลปะแบบใหม่ที่เรียกว่าลัทธิแสดงพลังอารมณ์ (Expressionism)
ต่อมาเอลเกรโกยังพัฒนาก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการเขียนรูปทรงที่ผิดเพี้ยนไปจากธรรมชาติ รูปร่างของคนที่ยืดยาวกว่าปกติ อวัยวะที่บิดเบี้ยวเกินจริง ประกอบกับการใช้สีและฝีแปรงอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ทำให้ภาพเขียนของเขาก้าวล้ำยุคสมัยของตัวเองไปไกล ดังปรากฏในภาพ Opening of the Fifth Seal, Laocoön และอีกหลายภาพ หลายร้อยปีต่อมาภาพเขียนล้ำยุคของเขาเหล่านี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้ศิลปินดังยุคศิลปะสมัยใหม่สร้างศิลปะแบบคิวบิส (Cubism) ที่ได้รับความนิยมในศตวรรษที่ 20
ภาพเหมือนบุคคลเป็นอีกแนวหนึ่งที่เอลเกรโกรักษาความยอดเยี่ยมของผลงานเอาไว้ได้และสร้างสรรค์ผลงานออกมาโดยตลอด ผลงานภาพเหมือนในช่วงหลังอย่างเช่นภาพ Portrait of an Old Man (Self Portrait), Portrait of Cardinal Nino de Guevara และ Portrait of Fray Hortensio ยังคงความงดงามและมนต์เสน่ห์ของเขาไว้อย่างดีเยี่ยม แม้ว่าเอลเกรโกได้สร้างผลงานและชื่อเสียงอยู่ที่เมืองโตเลโดอย่างยาวนานเกือบ 40 ปีจนกลายเป็นศิลปินคนสำคัญของสเปน แต่เขาไม่เคยลืมชาติกำเนิดของตัวเอง เขาเซ็นชื่อในผลงานทุกชิ้นด้วยชื่อจริงในภาษากรีกเสมอ เอลเกรโกเสียชีวิตที่เมืองโตเลโดเมื่อปี 1614 ด้วยวัย 73 ปี
ผลงานอมตะครองใจผู้คนมากว่า 400 ปี
เอลเกรโกเป็นศิลปินที่มีผลงานชั้นยอดหลายแนว ผลงานส่วนใหญ่เป็นภาพเขียนบรรยายเหตุการณ์สำคัญทางศาสนาคริสต์และภาพบุคคลสำคัญในศาสนาคริสต์ที่เขาทำออกมาได้อย่างงดงามน่าประทับใจ แต่ผลงานภาพเหมือนบุคคลของเขาก็ยอดเยี่ยมไม่แพ้กัน หรือแม้กระทั่งภาพทิวทัศน์ที่มีผลงานน้อยมากแต่กลับเป็นผลงานระดับสุดยอด และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอมตะของเขาที่ครองใจผู้คนมากว่า 400 ปี
Early Years (1560 – 1567)
Italian Period (1567 – 1577)
Spainish Period (1577 – 1596)
Later Years (1596 – 1614)
ผลงานของเอลเกรโกโดดเด่นอยู่ที่การใช้สีและการแสดงอารมณ์ความรู้สึกด้วยฝีแปรงที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ประกอบกับสไตล์การเขียนภาพที่ล้ำยุคสมัยของตัวเองไปมาก ทำให้แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนานหลายร้อยปีผลงานของเขากลับยิ่งได้รับความนิยมมากยิ่งขึ้น และยังมีอิทธิพลและเป็นแรงบันดาลใจต่อศิลปินยุคหลังเป็นจำนวนมาก เช่น Eugène Delacroix และ Édouard Manet ในยุคศตวรรษที่ 19 หรือ Pablo Picasso และ Jackson Pollock ในยุคศตวรรษที่ 20 เป็นต้น เอลเกรโกเป็นหนึ่งในศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ศิลปะ
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, biography, el-greco-foundation.org