เด็กอัจฉริยะสืบทอดฝีมือจากพ่อ
แบร์นินี เป็นชาวอิตาลี เกิดเมื่อปี 1598 ที่เมืองเนเปิลส์ พ่อของเขาเป็นประติมากรฝีมือดีชาวฟลอเรนซ์ที่ย้ายมาทำงานที่เนเปิลส์ แบร์นินีได้รับการถ่ายทอดฝีมือในการสร้างงานศิลปะโดยเฉพาะประติมากรรมจากพ่อตั้งแต่เด็ก ด้วยอัจฉริยะและพรสวรรค์ด้านศิลปะทำให้เขามีฝีมือพัฒนาก้าวหน้าเก่งเกินเด็กวัยเดียวกันจนเป็นที่ร่ำลือ ปี 1606 ครอบครัวแบร์นินีย้ายไปกรุงโรมเนื่องจากพ่อของเขาได้รับงานสำคัญที่นั่น แบร์นินีจึงเติบโตและใช้ชีวิตที่เมืองหลวงของอิตาลีไปตลอดชีวิตแทบจะไม่เคยออกจากกรุงโรมไปที่ไหนเลย
เสียงร่ำลือในความเก่งกาจของเด็กน้อยไปเข้าหูพระคาดินัล Scipione Borghese ผู้เป็นหลานของพระสันตปาปา Paul V แบร์นินีในวัยแค่ 8 ปีจึงถูกเชิญไปแสดงฝีมือต่อหน้าพระสันตปาปา เด็กน้อยได้สเก็ตช์ภาพนักบุญเปาโล (St. Paul) ถวายซึ่งทำให้พระองค์รู้สึกอัศจรรย์ใจในพรสวรรค์ของแบร์นินีเป็นอย่างมาก และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่แบร์นินีได้รับความสนใจและคาดหวังว่าจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานศิลปะอันยิ่งใหญ่ให้กับคริสตจักรโรมันคาทอลิคในกรุงโรมที่เป็นศูนย์กลางของศาสนาคริสต์ หลังมาอยู่ที่กรุงโรมเพียงปีเดียวแบร์นินีก็เริ่มสร้างผลงานชิ้นแรกเป็นงานแกะสลักหินอ่อนชื่อ The Goat Amalthea with the Infant Jupiter and a Faun
ประติมากรดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งอิตาลี
ที่กรุงโรมแบร์นินีไม่เพียงได้ช่วยพ่อทำงานไปพร้อมๆกับการเรียนรู้จากพ่อ เขายังได้ศึกษาผลงานของศิลปินชั้นครูรุ่นก่อนได้แก่ Michelangelo, Raphael, Caravaggio และอีกหลายคน รวมทั้งได้ศึกษาจากรูปปั้นเก่าแก่สมัยกรีกและโรมันโบราณซึ่งมีส่วนต่อการพัฒนาฝีมือของเขาอย่างมาก ปี 1617 แบร์นินีมีผลงานสำคัญชิ้นแรกเป็นรูปปั้น Bacchanal A Faun Teased by Children ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อว่าเด็กหนุ่มวัยรุ่นจะสามารถแกะสลักหินอ่อนได้ประณีตวิจิตรและงดงามอย่างมากเช่นนี้
ปีถัดมาเขาส่งผลงานรูปปั้นชิ้นเยี่ยม Martyrdom of Saint Lawrence ออกมาอีก แล้วตามมาด้วยผลงานรูปปั้นครึ่งตัว (Bust) อีกหลายชิ้น ที่โดดเด่นได้แก่ Damned Soul และ Blessed Soul เป็นต้น แบร์นินีในวัย 20 ปีจึงกลายเป็นประติมากรดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งอิตาลีที่ได้รับการจ้างงานมากมาย โดยเฉพาะจากผู้อุปถัมภ์คนสำคัญพระคาดินัล Scipione Borghese ซึ่งให้งานชิ้นสำคัญอันเป็นที่มาของผลงานชิ้นเอกของเขาหลายต่อหลายชิ้น
4 ประติมากรรมชิ้นเอกสร้างชื่อลือลั่น
ระหว่างปี 1619 ถึง 1625 แบร์นินีได้สร้างผลงานรูปปั้นหินอ่อนแกะสลักที่งดงามอย่างยิ่งให้กับพระคาดินัล Scipione Borghese 4 ชิ้นได้แก่รูปปั้น Aeneas, Anchises, and Ascanius (1619), The Rape of Proserpina (1621–22), Apollo and Daphne (1622–1625), และ David (1623–24) ผลงานทั้งสี่ชิ้นนี้ได้รับการยกย่องเป็นผลงานชิ้นเอกที่สวยงามสมบูรณ์แบบและเป็นต้นแบบของประติมากรรมสไตล์บาโรก แบร์นินีได้พัฒนาและปรับเปลี่ยนจากงานประติมากรรมที่ยิ่งใหญ่สง่างามของยุคเรอเนสซองส์มาสู่แนวคิดใหม่ในสไตล์ที่ดูมีชีวิตชีวาด้วยท่วงท่าและการแสดงอารมณ์ที่สมจริงสร้างเป็นประติมากรรมทางศาสนาและประวัติศาสตร์ที่โดดเด่นและน่าประทับใจอย่างยิ่ง
รูปปั้นทั้งสี่แต่ละรูปมีความสวยงามและจุดเด่นที่แตกต่างกัน Apollo and Daphne โดดเด่นด้วยรูปร่างทรวดทรงที่สง่างามขององค์เทพทั้งสองและลักษณะที่ Daphne กำลังกลายร่างเปลี่ยนจากมนุษย์ไปเป็นต้นไม้ ส่วน The Rape of Proserpina โดดเด่นตรงรูปร่างกล้ามเนื้ออันทรงพลังของเทพ Pluto โดยเฉพาะรายละเอียดที่มือของ Pluto จับต้นขาของ Proserpina นั้นสมจริงมาก ขณะที่ท่วงท่าเหวี่ยงก้อนหินเพื่อทำลาย Goliath ของ David ก็ดูจริงจังเข้มแข็งเปี่ยมพลัง และน่าทึ่งมากที่แบร์นินีสร้างผลงานชิ้นเอกทั้งสี่ชิ้นนี้ขณะที่เขามีอายุเพียงยี่สิบกว่าๆเท่านั้น
ความสำเร็จจากผลงานชิ้นเอกทั้งสี่ได้สร้างชื่อเสียงให้กับแบร์นินีอย่างมาก เขากลายเป็นประติมากรชั้นนำแห่งยุค นักวิชาการบางคนถึงกับให้การยกย่องว่าไม่มีประติมากรคนไหนที่จะสามารถเทียบเคียงกับแบร์นินีได้เลย แบร์นินีได้สร้างประติมากรรมชั้นยอดในกรุงโรมจำนวนมากมายตลอดช่วงหลายทศวรรษต่อมา ผลงานของเขาส่วนใหญ่เป็นการทำให้กับทางศาสนจักรซึ่งมีทั้งงานรูปปั้นแบบเต็มตัวและรูปปั้นครึ่งตัว รวมทั้งงานประติมากรรมในรูปแบบอื่นๆอีกหลายอย่าง ทำให้เขากลายเป็นประติมากรผู้ยิ่งใหญ่แห่งยุคไปในที่สุด
สถาปัตยกรรมอันโดดเด่นทั่วกรุงโรม
แบร์นินีเริ่มทำงานสถาปัตยกรรมสำคัญชิ้นแรกในปี 1623 เป็นงานออกแบบซุ้มเหนือหลุมฝังศพของเซนต์ปีเตอร์ตรงตำแหน่งใต้ยอดโดมภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ เขาออกแบบเป็นเสาเกลียว 4 เสาและหลังคาในสไตล์บาโรกสร้างเป็นประติมากรรมสำริดที่สวยงามอย่างยิ่ง งานเสร็จในปี 1633 และกลายเป็นจุดเด่นที่สุดภายในมหาวิหาร ปี 1629 แบร์นินีได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าสถาปนิกของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ หลายสิบปีหลังจากนั้นภายใต้พระสันตปาปา 4 พระองค์เขาได้ออกแบบที่ระลึกสำคัญของมหาวิหารมากมายหลายอย่าง เช่น Chair of Saint Peter, Chapel of the Blessed Sacrament และอนุสาวรีย์หลุมฝังศพของสันตปาปาอีกหลายพระองค์ ซึ่งแบร์นินีได้หลอมรวมงานประติมากรรมกับงานสถาปัตยกรรมเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืนงดงาม
ปี 1656 แบร์นินีได้รับมอบหมายให้ออกแบบปรับปรุงภูมิทัศน์ของลานกว้างหน้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ที่เรียกว่าจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (St. Peter’s Square) เขาได้ออกแบบเป็นระเบียงที่ประกอบด้วยเสา 4 แถวเป็นแนวโค้งรอบจตุรัสไปจรดมหาวิหาร ด้านบนแนวขอบหลังคาประดับด้วยรูปปั้นของนักบุญจำนวน 140 รูป ตรงกลางจตุรัสคือเสาโอเบลิสก์อียิปต์โบราณที่ติดตั้งมาตั้งแต่ปี 1586 เมื่องานก่อสร้างแล้วเสร็จในปี 1667 แนวเสาระเบียงโค้งหรือ St. Peter’s Colonnades ได้เพิ่มความโอ่อ่าอลังการให้กับมหาวิหารอย่างมากจนกลายเป็นเอกลักษณ์คู่กับโดมที่งามสง่าของมหาวิหารจากฝีมือการออกแบบของ Michelangelo เมื่อร้อยกว่าปีก่อน
ผลงานด้านสถาปัตยกรรมอีกอย่างหนึ่งที่สร้างชื่อให้กับแบร์นินีไม่น้อยคืองานออกแบบน้ำพุ เขาออกแบบสร้างน้ำพุในโรมไว้หลายแห่งซึ่งล้วนงดงามตระการตา เช่น Fountain of the Four Rivers และ Triton Fountain เป็นต้น นอกจากนี้เขายังได้ออกแบบวังอันใหญ่โตหรูหราของตระกูล Barberini ที่ปัจจุบันเป็นหอศิลป์แห่งชาติสำคัญแห่งหนึ่งของอิตาลีใช้เป็นที่เก็บรวบรวมภาพเขียนเก่าแก่ในกรุงโรม รวมทั้งได้ออกแบบโบสถ์ในกรุงโรมอีกหลายแห่งด้วย
สุดยอดฝีมือเกือบตกม้าตายที่กรุงปารีส
ปี 1665 แบร์นินีในวัยเกือบ 70 ปีและยังเป็นศิลปินคนสำคัญที่สุดในอิตาลีได้ถูกขอร้องแกมบังคับจากพระสันตปาปาให้เดินทางไปทำงานให้กับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 แห่งฝรั่งเศสที่กรุงปารีส เนื่องจากพระองค์ต้องการสถาปนิกชั้นยอดมาช่วยออกแบบพระราชวังลูฟวร์ แต่ผลงานการออกแบบของแบร์นินีกลับถูกปฏิเสธไม่ได้ถูกนำไปใช้ก่อสร้างเนื่องจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 และทีมที่ปรึกษาไม่ค่อยชอบ นัยว่าเป็นเพราะสไตล์ที่แบร์นินีออกแบบนั้นมีความเป็นอิตาลีมากเกินไป
การไปฝรั่งเศสของแบร์นินีครั้งนี้ถือว่าไม่ค่อยประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะการขัดแย้งกับสมาชิกหลายคนในราชสำนักฝรั่งเศส เนื่องจากมุมมองของเขาที่เห็นว่าศิลปะของอิตาลีเหนือกว่าฝรั่งเศสแบบเทียบกันไม่ติด จะมีก็เพียงแต่ผลงานรูปปั้นครึ่งตัว Bust of Louis XIV ซึ่งเขาแกะสลักขึ้นตามพระราชประสงค์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่ได้รับความชื่นชมอย่างมาก และยังได้รับการยกย่องเป็นรูปปั้นครึ่งตัวที่สง่างามที่สุดในยุคบาโรก
ไมเคิลแองเจโลแห่งศตวรรษที่ 17
แบร์นินีในวัยชรายังคงทำงานอย่างต่อเนื่องมิได้หยุดหย่อน แม้กระทั่งในวัย 76 ปีเขายังผลิตผลงานชิ้นเอกอีกชิ้นหนึ่งออกมาได้แก่รูปปั้น Blessed Ludovica Albertoni เขากระตือรือร้นในการสร้างผลงานอยู่ตลอดจนกระทั่งถึงปี 1680 เขาเป็นโรคหลอดเลือดสมองเสียชีวิตด้วยวัย 81 ปี แบร์นินีมีผลงานด้านประติมากรรมและสถาปัตยกรรมโดดเด่นที่สุดในยุคของเขา ส่วนงานเขียนภาพเขาก็ทำได้ดีเยี่ยมเช่นกันเพียงแต่มีผลงานค่อนข้างน้อย ความโดดเด่นในผลงานของแบร์นินีมีความคล้ายคลึงกับ Michelangelo ศิลปินเอกของโลกแห่งยุคเรอเนสซองส์ เขาจึงได้รับการยกย่องด้วยฉายา “ไมเคิลแองเจโลแห่งศตวรรษที่ 17”
ผลงานสุดล้ำค่าของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่
แบร์นินีคือผู้สร้างและพัฒนางานประติมากรรมสไตล์บาโรก อีกทั้งยังเป็นสถาปนิกผู้โดดเด่นอย่างยิ่ง ตลอดช่วงเวลากว่า 60 ปีของการสร้างสรรค์เขามีผลงานชั้นยอดออกมาอย่างมากมายซึ่งล้วนงดงามทรงคุณค่าอย่างมาก และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานสุดล้ำค่าของศิลปินผู้ยิ่งใหญ่คนนี้
Sculpture : Statue
Sculpture : Bust & Others
Architecture, Tomb & Fountain
Painting & Drawing
ในช่วงศตวรรษที่ 17 ศิลปะของอิตาลีมีความเจริญรุ่งเรืองพัฒนาก้าวหน้าต่อเนื่องจากยุคเรอเนสซองส์ในช่วงศตวรรษก่อน กรุงโรมยังคงเป็นศูนย์กลางศิลปะทุกแขนงของโลก จีอัน โลเรนโซ แบร์นินี เป็นสุดยอดศิลปินอีกคนหนึ่งที่ได้ร่วมสร้างสรรค์ศิลปะในยุคบาโรก และด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยมและโดดเด่นจำนวนมากมายของแบร์นินีทำให้เขาได้รับการยกย่องเป็นประติมากรและสถาปนิกผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ 17
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, gianlorenzobernini.org, britannica