องค์การอวกาศยุโรป (ESA) ได้เฝ้าติดตามปรากฏการณ์นี้มาตลอดทั้งเดือนมิถุนายนด้วยดาวเทียม Copernicus Sentinel-5P ที่ถูกออกแบบมาเพื่อศึกษาอนุภาคขนาดเล็กในอากาศ เช่น ฝุ่นและมลพิษ พวกเขาพบว่า “Godzilla” มีฝุ่นมากกว่า “Saharan Air Layer” ครั้งที่มีฝุ่นมากที่สุดเท่าที่เคยบันทึกเอาไว้ราว 60 – 70% วิดีโอด้านล่างแสดงเส้นทางการเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกของ “Godzilla”
ปรากฏการณ์ Saharan Air Layer หรือฝุ่นจากทะเลทรายซาฮารานี้มีผลกระทบต่อสภาพล้อมและระบบนิเวศหลายอย่าง โดยทั่วไปแล้วฝุ่นจะตกและจมลงในมหาสมุทรแอตแลนติกและกลายเป็นอาหารของแพลงตอน และเมื่อไปถึงพื้นดินของทวีปอเมริกามันก็จะไปมีส่วนเปลี่ยนแปลงระบบนิเวศ รวมทั้งไปเพิ่มปุ๋ยให้กับป่าอเมซอนในทวีปอเมริกาใต้
อีกทั้งมันยังมีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศได้อีกด้วย โดยมันสามารถรบกวนการก่อตัวของพายุโซนร้อนและพายุเฮอริเคนให้มีน้อยลง แต่ถ้ามันไปถึงบริเวณที่มีคนอาศัยอยู่ละก็มันจะเป็นมลพิษทางอากาศที่เป็นอันตรายซึ่งอาจก่อให้เกิดอาการแพ้และการโจมตีของโรคหอบหืด
อีกเหตุการณ์หนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์คาดว่าจะได้เห็นจากอิทธิพลของเจ้า “Godzilla” เมื่อมันมาถึงชายฝรั่งสหรัฐอเมริกา เม็ดฝุ่นจำนวนมหาศาลจะสะท้อนแสงอาทิตย์ในทุกทิศทุกทางทำให้สีสันบรรยากาศบนท้องฟ้าจะเปลี่ยนไปจากเดิม คลื่นแสงสีแดงและสีส้มมีแนวโน้มที่จะแทรกซึมเข้าไปในก้อนเมฆที่มีฝุ่นนี้มากขึ้น ส่งผลให้พระอาทิตย์ขึ้นและตกดินน่าจะสวยงามเป็นพิเศษ
ข้อมูลและภาพจาก space, livescience