ชอบวรรณกรรมแต่จำต้องเป็นวิศวกร
อัลเฟรด เบิร์นฮาร์ด โนเบล (Alfred Bernhard Nobel) เป็นชาวสวีเดน เกิดเมื่อปี 1833 ที่กรุงสตอกโฮล์มเมืองหลวงของสวีเดน เป็นลูกชายของ Immanuel Nobel วิศวกรและนักประดิษฐ์ผู้รับงานก่อสร้างสะพานและอาคารในกรุงสตอกโฮล์มซึ่งมักจะมีงานระเบิดหินเข้ามาเกี่ยวข้อง ในปีที่อัลเฟรด โนเบลเกิดธุรกิจของพ่อมีปัญหาอย่างหนักถึงขั้นล้มละลาย ดังนั้นในปี 1837 Immanuel จึงออกจากสวีเดนเพื่อไปเริ่มต้นธุรกิจใหม่ที่ประเทศรัสเซียทิ้งลูกหลายคนอยู่ที่สวีเดนกับแม่ซึ่งได้เงินทุนจากครอบครัวมาเปิดร้านขายของชำขนาดเล็กเพื่อยังชีพและเลี้ยงดูลูกๆ หลายปีต่อมา Immanuel ประสบความสำเร็จในธุรกิจผลิตและจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับกองทัพรัสเซียจนมีฐานะมั่นคงจึงกลับมารับครอบครัวไปอยู่ด้วยกันที่เมืองเซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ประเทศรัสเซียในปี 1842 เขาให้ลูกๆได้รับการศึกษาอย่างดีเรียนกับครูพิเศษส่วนตัว โนเบลก็ปรับตัวได้ดีมากเขาพูดภาษารัสเซียได้อย่างคล่องแคล่วภายในปีเดียว
โนเบลสนใจทั้งด้านวิทยาศาสตร์และภาษา วิชาโปรดของเขาคือวิชาเคมีแต่เขาก็ทำได้ดีทางด้านภาษาสามารถใช้ภาษาอังกฤษ ฝรั่งเศส เยอรมัน และรัสเซียได้เป็นอย่างดี พอเข้าสู่วัยรุ่นโนเบลสนใจในวรรณกรรมและบทกวีภาษาอังกฤษมาก เขาเริ่มพัฒนาฝีมือในการประพันธ์วรรณกรรมและบทกวีจนทำท่าจะเอาดีทางด้านนี้ แต่นั่นขัดกับวัตถุประสงค์ของพ่อที่ต้องการให้เขาเป็นวิศวกรเพื่อมาช่วยควบคุมดูแลธุรกิจและโรงงานที่กำลังเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ในปี 1850 ขณะที่โนเบลมีอายุ 17 ปีพ่อส่งเขาไปต่างประเทศเพื่อรับการฝึกอบรมด้านวิศวกรรมเคมีเพิ่มเติม ในช่วงระยะเวลา 2 ปีโนเบลได้ไปเยือนสวีเดน เยอรมันฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา ช่วงที่อยู่ในกรุงปารีสเขาได้พบกับ Ascanio Sobrero นักเคมีชาวอิตาลีผู้สังเคราะห์ไนโตรกลีเซอริน (Nitroglycerin) สำเร็จเป็นคนแรก ไนโตรกลีเซอรินอาจระเบิดขึ้นได้เมื่ออยู่ภายใต้ความร้อนหรือความกดดันแต่ไม่สามารถคาดเดาได้ โนเบลสนใจไนโตรกลีเซอรินมากและเรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับมันจาก Ascanio Sobrero ในปี 1852 เขากลับมาทำงานกับพ่อที่ธุรกิจของเขากำลังบูมสุดขีดเนื่องจากเกิดสงครามไครเมีย
บนเส้นทางการคิดค้นระเบิดไดนาไมต์
โนเบลกับพ่อได้ทำการทดลองเพื่อพัฒนาไนโตรกลีเซอรินเป็นวัตถุระเบิดที่มีประโยชน์และใช้งานในเชิงพาณิชย์ได้ เขารู้ดีว่าจะต้องหาวิธีควบคุมการระเบิดของไนโตรกลีเซอรินซึ่งเกิดขึ้นแบบไม่แน่ไม่นอนให้ได้เสียก่อน ปี 1856 สงครามไครเมียจบลงโดยรัสเซียเป็นฝ่ายยอมเจรจายุติสงคราม เมื่อสงครามสิ้นสุดและเงื่อนไขเปลี่ยนไปธุรกิจของ Immanuel ได้รับผลกระทบอย่างหนักและในที่สุดเขาถูกฟ้องและบังคับให้ล้มละลายอีกครั้ง โนเบลต้องกลับไปอยู่ที่สวีเดนพร้อมกับพ่อและน้องชายในปี 1863 ส่วนธุรกิจที่รัสเซียให้พี่ชายของเขาสองคนดูแล พี่ชายขายทรัพย์สินที่เหลือส่วนใหญ่ออกไปแล้วหันไปทำธุรกิจน้ำมันทางตอนใต้ของรัสเซีย พวกเขาประสบความสำเร็จอย่างมากจนกลายเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในยุคนั้น
ทางด้านโนเบลเมื่อกลับมาอยู่ที่กรุงสตอกโฮล์มก็ยังคงมุ่งมั่นอยู่กับการพัฒนาไนโตรกลีเซอรีนเป็นวัตถุระเบิด แต่ในขั้นตอนการทดลองและพัฒนานี้มีอันตรายสูงมากเพราะไนโตรกลีเซอรีนอาจระเบิดขึ้นโดยไม่คาดหมาย อุบัติเหตุร้ายแรงจากการระเบิดของไนโตรกลีเซอรีนที่เกิดขึ้นในปี 1864 ได้คร่าชีวิตทีมงานไปหลายคนรวมทั้ง Emil น้องชายของโนเบลด้วย เหตุการณ์นี้ทำให้เจ้าหน้าที่สั่งห้ามพวกเขาทำการทดลองเพิ่มเติมกับไนโตรกลีเซอรีนภายในเขตกรุงสตอกโฮล์ม โนเบลจึงต้องย้ายห้องทดลองของเขาไปอยู่บนเรือที่ทอดสมออยู่ในทะเลสาบ Mälaren นอกกรุงสตอกโฮล์ม โนเบลพยายามอย่างไม่ย่อท้อและในปีนั้นเองที่เขาสามารถผลิตไนโตรกลีเซอรีนจำนวนมากได้สำเร็จ แต่เขายังต้องขบคิดต่อไปว่าจะขนส่งไนโตรกลีเซอรีนให้ปลอดภัยได้อย่างไร
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็พบว่าการผสมไนโตรกลีเซอรีนกับดินเบา (Diatomite) ซึ่งเป็นดินเนื้อพรุนคล้ายชอล์กมีองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นซิลิกาในสัดส่วนที่เหมาะสมแล้วจะทำให้ไนโตรกลีเซอรีนที่เป็นของเหลวเปลี่ยนสภาพเป็นสารที่อยู่ตัวขึ้นคล้ายดินเหนียวมีเสถียรภาพไม่ระเบิดโดยง่ายและเมื่อระเบิดยังมีอานุภาพมากกว่าเดิมหลายเท่า อีกทั้งยังสามารถทำรูปร่างให้เป็นแท่งที่มีขนาดพอเหมาะกับการสอดเข้าในรูเจาะระเบิดได้อย่างง่ายดายอีกด้วย โนเบลจดสิทธิบัตรวัตถุนี้ในชื่อไดนาไมต์ (Dynamite) ในปี 1867 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของเทคโนโลยีการระเบิด เพราะไดนาไมต์ช่วยลดต้นทุนการระเบิดหิน การขุดเจาะอุโมงค์ การสร้างคลอง และงานก่อสร้างในรูปแบบอื่นๆได้อย่างมหาศาล
นักเคมีผู้ยิ่งใหญ่หรือพ่อค้าความตาย
การคิดค้นไดนาไมต์ถือเป็นความสำเร็จยิ่งใหญ่ของโนเบลแต่เขาไม่ได้หยุดอยู่ที่การคิดค้นวัตถุระเบิดที่มีเสถียรภาพทำการขนส่งได้อย่างปลอดภัยเท่านั้น เขายังคิดค้นพัฒนาวิธีจุดระเบิดไดนาไมต์ที่สะดวกและปลอดภัยอีกด้วย เขาได้ทำการทดลองจำนวนมากเพื่อหาวิธีที่ดีที่สุดในการจุดชนวนระเบิด ปี 1865 โนเบลได้ออกแบบสร้างเชื้อปะทุ (Blasting Cap) ออกมาซึ่งได้ผลดีและเป็นที่นิยมใช้กันนานกว่า 50 ปีโดยที่แทบจะไม่มีการดัดแปลงใดๆ โนเบลคิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยีการระเบิดเพิ่มเติมอีกอย่างต่อเนื่อง ปี 1875 เขาประดิษฐ์วัตถุระเบิดชนิดใหม่ที่มีเสถียรภาพและอานุภาพดีกว่าไดนาไมต์เรียกว่า Gelignite ซึ่งเป็นระเบิดพลาสติกรุ่นแรกก่อนที่จะถูกพัฒนาเรื่อยมาจนเป็นระเบิดซีโฟร์ในยุคปัจจุบัน ปี 1887 โนเบลจดสิทธิบัตร Ballistite หรือผงดินปืนไร้ควันซึ่งต่อมาถูกพัฒนาเป็น Cordite หรือดินปืนที่ใช้งานอยู่ในปัจจุบัน
นอกจากการคิดค้นด้านเทคโนโลยีการระเบิดโนเบลยังมีผลงานการคิดค้นและประดิษฐ์อุปกรณ์ด้านเคมี อาวุธ และอื่นๆอีกจำนวนมาก ตลอดชีวิตเขาได้จดสิทธิบัตรผลงานของเขาที่ประเทศต่างๆรวมทั้งหมดถึง 355 รายการ นับว่าโนเบลเป็นทั้งนักเคมีและนักประดิษฐ์ผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่งของโลก เขาได้รับเลือกให้เป็นสมาชิกของสถาบันราชบัณฑิตสภาด้านวิทยาศาสตร์แห่งสวีเดน (Royal Swedish Academy of Sciences) ในปี 1884 โนเบลยังเป็นนักธุรกิจมากความสามารถที่ประสบความสำเร็จอย่างสูง เขาก่อตั้งบริษัทผลิตวัตถุระเบิดส่งขายทั่วโลก เขาสร้างโรงงานและห้องทดลองราว 90 แห่งกระจายอยู่ในประเทศต่างๆมากกว่า 20 ประเทศ ความสำเร็จทางธุรกิจนำความมั่งคั่งมาให้เขาจนมีฐานะเข้าขั้นมหาเศรษฐี วัตถุระเบิดของโนเบลไม่ได้ถูกนำไปใช้เพื่องานก่อสร้างอย่างเดียวแต่ถูกใช้ในการเข่นฆ่าของมนุษย์ด้วยกันและในสงครามซึ่งทำให้การฆ่าคนรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า โนเบลจึงเป็นที่รังเกียจของฝ่ายรักความสงบและเรียกเขาว่า “พ่อค้าความตาย” (The merchant of death) ทั้งๆที่โนเบลก็เป็นคนรักสันติภาพสิ่งนี้จึงเป็นปมในใจของเขาเรื่อยมาจนกลายเป็นคนเก็บตัวไม่ค่อยออกงานสังคม
เศรษฐีนักธุรกิจผู้เปลี่ยวเหงาอาภัพรัก
โนเบลมีชีวิตส่วนตัวที่ค่อนข้างอาภัพ เขามีสุขภาพไม่ค่อยดีมาตั้งแต่เด็กและเป็นผู้ที่ผิดหวังด้านความรักมาโดยตลอด ช่วงวัยหนุ่มตอนที่อยู่ในเซนต์ปีเตอร์สเบิร์กโนเบลเคยขอแต่งงานกับผู้หญิงที่ชื่อ Alexandra แต่ถูกปฏิเสธ หลังจากคิดค้นไดนาไมต์สำเร็จกลายเป็นนักธุรกิจเขาก็ยุ่งวุ่นวายกับงานอยู่ตลอดเวลา เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่บนรถไฟเดินทางไปทั่วยุโรปไปยังโรงงานและการประชุมทางธุรกิจของเขา พอกลับถึงบ้านซึ่งเขาย้ายมาอยู่ที่กรุงปารีสก็จะใช้เวลาหมดไปกับการคิดค้นเทคโนโลยีและสิ่งประดิษฐ์ใหม่ อีกทั้งเขาชอบเก็บตัวไม่นิยมงานสังสรรค์วงจรชีวิตของเขาจึงห่างไกลเรื่องราวของความรักมาก จนกระทั่งถึงปี 1876 ตอนนั้นโนเบลเป็นมหาเศรษฐีในวัย 43 ปีแล้วได้รับเลขานุการคนหนึ่งเป็นหญิงสาวชาวออสเตรียชื่อ Bertha Kinsky ทั้งคู่เข้ากันได้ดีและเป็นเพื่อนกันอย่างรวดเร็ว โนเบลหลงรักเธอส่วน Bertha ก็รู้สึกดีต่อเขาเช่นกันแต่เธอมีชายคนรักอยู่แล้ว ไม่นานเธอก็ลาออกกลับไปแต่งงานกับคนรักที่ออสเตรีย เศรษฐีอาภัพรักจึงต้องผิดหวังไปตามระเบียบ
แม้จะไม่สมหวังในความรักแต่โนเบลยังคงความเป็นเพื่อนกับ Bertha ไปตลอดชีวิต ทั้งคู่ติดต่อกันทางจดหมายปรึกษาเรื่องราวต่างๆมากมาย Bertha กลายเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสันติภาพ หนังสือ Lay Down your Arms ของเธอเป็นหนังสือที่โด่งดังมากเล่มหนึ่ง โนเบลได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเธอค่อนข้างมาก รวมทั้งการชักชวนให้ทำกองทุนส่งเสริมด้านสันติภาพด้วย ในปีเดียวกับที่โนเบลต้องอกหักจากสาวออสเตรียคนนี้เขาก็ได้พบกับสาวออสเตรียอีกคนหนึ่งชื่อ Sofija Hess เธอเป็นสาวสวยวัย 20 ปีทำงานอยู่ในในร้านขายดอกไม้ แม้ว่าเธอจะมีอายุห่างจากเขามากทั้งยังเป็นผู้หญิงที่ค่อนข้างหยาบคายและไม่ค่อยฉลาดแต่เธอก็สวยจริงๆ โนเบลหลงรักเธอจนหัวปักหัวปำปรนเปรอเธอด้วยอพาร์ทเมนท์เงินทองและชีวิตที่หรูหรา เธอเป็นชู้รักของเขาอย่างยาวนานจนถึงปี 1891 เธอได้ประกาศว่าเธอท้องแต่พ่อของเด็กไม่ใช่โนเบล แล้วเธอก็แต่งงานกับชายชาวฮังการีที่เป็นพ่อของเด็ก ถึงกระนั้นโนเบลยังคงให้เงินเธออยู่และในพินัยกรรมเขายังมอบเงินให้เธออีกจำนวนหนึ่งด้วยแม้จะไม่มากนัก
รางวัลสำคัญจากพินัยกรรมก่อนตาย
ปี 1888 โนเบลได้อ่านข่าวมรณกรรมของตัวเองเนื่องจากการเข้าใจผิดเพราะผู้ที่เสียชีวิตเป็น Ludvig พี่ชายของเขา แต่ข้อความในข่าวทำให้เขาต้องคิดเพราะมีหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งตีพิมพ์ข่าวมรณกรรมของเขาว่า “พ่อค้าความตาย ‘ดร. อัลเฟรดโนเบล’ ซึ่งร่ำรวยจากการหาวิธีฆ่าคนให้เร็วขึ้นกว่าเดิมเสียชีวิตแล้วเมื่อวานนี้” เขาผิดหวังและกังวลใจมากว่าเขาจะถูกจดจำแบบนี้หรือ ปี 1891 โนเบลถูกกล่าวหาว่าทรยศต่อฝรั่งเศสเพราะเขาขายผงดินปืนให้กับอิตาลี เขาจึงย้ายไปอยู่ที่เมือง Sanremo ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอิตาลี ปี 1896 เขาป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองและเสียชีวิตในวัย 63 ปี แต่ก่อนหน้านั้นปีหนึ่งเขาได้ลงนามในพินัยกรรมฉบับสุดท้ายมอบทรัพย์สิน 94% ของทั้งหมดซึ่งคิดเป็นเงินเกือบ 500 ล้านดอลลาร์สหรัญเพื่อจัดตั้งรางวัลโนเบล (Nobel Prizes)
รางวัลโนเบลเป็นรางวัลประจำปีที่มอบให้กับผู้ที่ทำประโยชน์สูงสุดแก่มนุษย์ชาติใน 5 สาขาได้แก่ ฟิสิกส์เคมี สรีรวิทยาหรือการแพทย์ วรรณกรรม และสันติภาพ รางวัลสี่สาขาแรกน่าจะมาจากความคิดของโนเบลโดยตรงเพราะเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์และชื่นชอบงานวรรณกรรมเป็นพิเศษ (ก่อนเสียชีวิตเขาได้เขียนบทละคร 4 องก์เรื่อง Nemesis) ส่วนสาขาสันติภาพนั้นน่าจะมาจากอิทธิพลทางความคิดที่เขาได้รับมาจาก Bertha Kinsky ซึ่งเธอยังเป็นผู้หญิงคนแรกที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขานี้ แต่มีผู้คนจำนวนมากสงสัยว่าทำไมถึงไม่มีรางวัลโนเบลสาขาคณิตศาสตร์ มีการวิเคราะห์สาเหตุต่างๆนานาหนึ่งในนั้นมีความเชื่อว่าสาเหตุที่โนเบลไม่ให้มีการมอบรางวัลสาขาคณิตศาสตร์เพราะมีนักคณิตศาสตร์คนหนึ่งแอบไปมีสัมพันธ์กับชู้รัก (Sofija Hess) ของเขา แต่จากการตรวจสอบยังไม่พบหลักฐานใดที่น่าเชื่อถือ สาเหตุแท้จริงน่าจะมาจากการที่โนเบลไม่มีความสนใจในคณิตศาสตร์เป็นพิเศษและก่อนการจัดตั้งรางวัลโนเบลมีการมอบรางวัลให้กับนักคณิตศาสตร์โดยกษัตริย์สวีเดนอยู่ก่อนแล้ว
ส่งเสริมความก้าวหน้าของมนุษยชาติ
ผลงานการคิดค้นไดนาไมต์และพัฒนาเทคโนโลยีการระเบิดของโนเบลในด้านหนึ่งถือว่าได้สร้างประโยชน์ในการก่อสร้างและการพัฒนาความเจริญของบ้านเมืองอย่างมาก แต่ในอีกด้านหนึ่งกลับไปเพิ่มความโหดเหี้ยมและความรวดเร็วในการเข่นฆ่าทำลายล้างมนุษย์ด้วยกันเองอย่างมากเช่นกัน การที่เขาได้ยกทรัพย์สมบัติเกือบทั้งหมดเพื่อจัดตั้งรางวัลโนเบลได้สร้างประโยชน์และส่งเสริมความก้าวหน้าของมนุษยชาติเป็นอย่างมาก รางวัลโนเบลเป็นแรงบันดาลใจและมีส่วนในการขับเคลื่อนและความพยายามคิดค้นพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้เจริญก้าวหน้า ตลอดจนการสร้างสรรค์งานวรรณกรรมที่ยอดเยี่ยมและการสร้างสันติภาพที่ยั่งยืนในทุกภูมิภาคของโลก ภาพจำของอัลเฟรด โนเบลจึงเป็นส่งเสริมความก้าวหน้าของมนุษยชาติมิใช่พ่อค้าความตายอีกต่อไป
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, famousscientists, nobelprize