10 วิธีเสริมสร้างเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมิให้โรคร้ายกล้ำกราย

ระบบภูมิคุ้มกันเป็นปราการด่านแรกของร่างกายในการป้องกันมิให้เกิดการเจ็บป่วย ระบบภูมิคุ้มกันใช้สารเคมีและโปรตีนในร่างกายต่อสู้กับไวรัสและแบคทีเรียที่ทำให้เกิดโรคต่างๆ หากระบบภูมิคุ้มกันไม่แข็งแรงมากพอเชื้อโรคอาจสามารถบุกรุกเข้าไปได้สำเร็จก็จะทำให้เราเจ็บป่วย ดังนั้นจึงจำเป็นต้องเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงดีอยู่เสมอเพื่อสุขภาพที่ดีไม่มีการเจ็บป่วย โดยเฉพาะในช่วงที่เกิดโรคระบาดยิ่งต้องเพิ่มภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงมากที่สุด และต่อไปนี้คือ 10 วิธีเสริมสร้างเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายมิให้โรคร้ายกล้ำกรายเราได้

 
1. ออกกำลังกายเป็นประจำ

การออกกำลังกายมีประโยชน์อย่างมากเป็นสิ่งสำคัญพื้นฐานที่ช่วยให้เรามีสุขภาพแข็งแรง ในด้านการเพิ่มภูมิคุ้มกันนั้นการออกกำลังกายช่วยล้างแบคทีเรียทำให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น และช่วยให้ฮอร์โมนความเครียดหลั่งช้าลง ขณะเดียวกันยังช่วยเพิ่มเม็ดเลือดขาวซึ่งทำหน้าที่ต่อสู้กับแบคทีเรียและไวรัส แต่ต้องระวังอย่าออกกำลังกายมากจนเกินไปโดยเฉพาะหลังจากเพิ่งหายจากเจ็บป่วยเพราะอาจทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เราควรออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ และถ้าสามารถออกกำลังกายกลางแจ้งจะดีมากเพราะเป็นโอกาสที่จะได้สูดอากาศบริสุทธิ์และยังจะได้รับวิตามิน D ซึ่งช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้อีกทางหนึ่ง

 
2. นอนหลับให้เพียงพอ

การนอนหลับเป็นเสมือนการรีบูตระบบร่างกายของเราตามธรรมชาติ มีความสำคัญต่อสุขภาพโดยรวมและระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก เมื่อนอนหลับระดับสารเคมีของระบบภูมิคุ้มกันบางชนิดในร่างกายจะเพิ่มในขณะที่เซลล์อักเสบลดลง การนอนน้อยอาจส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง มีงานวิจัยหนึ่งพบว่าคนที่นอนหลับน้อยกว่าหกชั่วโมงมีแนวโน้มที่จะเป็นหวัดมากกว่าคนที่นอนหลับเต็มที่ถึง 4 เท่า ผู้ใหญ่ควรนอนหลับอย่างน้อย 7 – 8 ชั่วโมงต่อวัน

 
3. กินอาหารที่ดีต่อสุขภาพ

การกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพให้ครบ 5 หมู่และหลากหลายเป็นปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญที่สุดหากเราต้องการมีสุขภาพที่ดี อาหารที่มีผลดีต่อระบบภูมิคุ้มกันมากที่สุดคือผักและผลไม้ เนื่องจากในผักและผลไม้มีสารอาหารที่ช่วยเสริมสร้างและกระตุ้นภูมิคุ้มกันมากกว่าอาหารประเภทอื่น รวมทั้งยังช่วยให้ระบบลำไส้ทำงานได้ดีขึ้นอีกด้วย ปัจจุบันแพทย์เชื่อว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของระบบภูมิคุ้มกันของมนุษย์อยู่ในลำไส้ หากระบบลำไส้ดีภูมิคุ้มกันก็จะดีด้วย นอกจากควรกินผักและผลไม้ให้มากขึ้นแล้วเรายังจะต้องหลีกเลี่ยงอาหารประเภทที่ทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอซึ่งได้แก่อาหารประเภทหวานจัด มันจัด และเค็มจัด

 
4. ทำจิตใจให้สดชื่นไม่เครียด

ความเครียดส่งผลต่อการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายอย่างมาก เมื่อมีความเครียดร่างกายจะมีการผลิตคอร์ติซอล (Cortisol) หรือ “ฮอร์โมนแห่งความเครียด” และไซโตไคน์ (Cytokines) มากเป็นพิเศษซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดการอักเสบและทำให้จำนวนเม็ดเลือดขาวลดลงมีผลให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ นอกจากนี้คนที่มีความเครียดมักจะนอนน้อยหรือนอนไม่ค่อยหลับและกินอาหารไม่เพียงพอซึ่งทำให้ภูมิคุ้มกันอ่อนแอมากยิ่งขึ้นในอีกทางหนึ่งด้วย ดังนั้นเราจึงต้องทำจิตใจให้สดชื่นสบาย คิดบวกไม่วิตกกังกวล ทำกิจกรรมลดความเครียดอะไรก็ได้ที่เราชอบไม่ว่าจะเป็นการดูหนัง ฟังเพลง ปลูกต้นไม้ เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ และถ้าสามารถ “หัวเราะ” ได้บ่อยๆจะดีที่สุด

 
5. กินวิตามินและสมุนไพร

ในบางช่วงที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อมากอย่างเช่นในช่วงที่มีโรคระบาดเราอาจจำเป็นต้องกินวิตามินและธาตุบางชนิดเพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรงเป็นพิเศษซึ่งได้แก่ วิตามิน C, วิตามิน E และ แร่ธาตุสังกะสี (Zinc) อีกทางเลือกหนึ่งคือการกินสมุนไพรที่ช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันได้ดีเป็นพิเศษอย่างเช่นขิงและขมิ้นชันซึ่งในปัจจุบันสามารถทำกินได้สะดวกเพราะมีการผลิตขายแบบผงใช้ชงเป็นเครื่องดื่มร้อน หรือจะกินเครื่องดื่มสมุนไพรสูตรพิเศษที่เรียกว่า Fire Cider ที่มีส่วนผสมเป็นกระเทียม ขิง ขมิ้น หัวหอม มะรุม พริกป่น และน้ำผึ้งนำไปหมักใน Apple cider vinegar (น้ำส้มสายชูหมักจากแอปเปิ้ล) ก็เป็นทางเลือกที่ดีเช่นกัน

10-ways-to-boost-iImmune-system-2

 
6. ฝึกโยคะและทำสมาธิ

การฝึกโยคะและการทำสมาธิช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันได้เป็นอย่างดี โยคะเป็นทั้งการออกกำลังกายและการฝึกจิตใจซึ่งนอกจากช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่าคลายความเครียดแล้ว ยังช่วยปรับสภาพปอดและทางเดินหายใจช่วยกระตุ้นระบบน้ำเหลืองขจัดสารพิษออกจากร่างกาย การทำสมาธิช่วยให้จิตใจสงบคลายความเครียด การทำสมาธิเป็นประจำเพียง 20 นาทีสามารถเพิ่มเอนดอร์ฟิน (Endorphin) ให้รู้สึกดีและลดระดับคอร์ติซอลอันเป็นสาเหตุให้เกิดความเครียด

 
7. ไม่สูบบุหรี่และดื่มสุราน้อยลง

การสูบบุหรี่และการดื่มหนักเป็นอันตรายต่อระบบภูมิคุ้มกันอย่างมาก ไม่มีอะไรเลวร้ายต่อระบบภูมิคุ้มกันได้มากกว่าการสูบบุหรี่ ไม่นับความเสี่ยงต่อการเป็นโรคร้ายแรงหลายอย่างจากการสูบบุหรี่รวมทั้งโรคปอด โรคหลอดเลือด และโรคมะเร็ง ส่วนการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปจะนำไปสู่ปัญหาเกี่ยวกับตับและเกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องในที่สุด ดังนั้นจะต้องเลิกสูบบุหรี่และลดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หากต้องการให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงและไม่เสียชีวิตก่อนวัยอันควร

 
8. ล้างมือบ่อยๆหรือใช้เจลฆ่าเชื้อ

การล้างมือบ่อยๆเป็นวิธีที่ง่ายและมีประสิทธิภาพในการป้องกันการแพร่กระจายของการติดเชื้อทางเดินหายใจ เช่น ไข้หวัด โคโรนาไวรัส โรคอุจจาระร่วง และโรคติดเชื้ออื่นๆ เชื้อโรคบางชนิดสามารถแพร่เชื้อได้ง่ายจากคนสู่คนเมื่อเราสัมผัสกัน เชื้อโรคถูกถ่ายเทจากมือไปยังจมูกตาและปากได้โดยง่าย การล้างมือให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำเป็นเวลาอย่างน้อย 30 วินาทีเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพดีกว่าการฆ่าเชื้อ แต่ถ้าไม่สามารถล้างมือได้การใช้เจลแอลกอฮอล์ทดแทนก็ช่วยได้มาก ดังนั้นการล้างมือบ่อยๆจึงเป็นสิ่งที่เราควรปฏิบัติไปตลอดชีวิตเพราะนี่คือวิธีที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่งในการป้องกันการแพร่กระจายของเชื้อโรค

 
9. ฉีดวัคซีนที่จำเป็น

การฉีดวัคซีนเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุดในการป้องกันไม่ให้เกิดการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เกิดโรคระบาด แม้ว่าวัคซีนอาจไม่ได้ผลเสมอไปแต่โดยเฉลี่ยแล้ววัคซีนช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคได้ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ และถ้ายิ่งเป็นเชื้อโรคตัวใหม่ที่ร่างกายยังไม่ได้สร้างเครื่องมือเพื่อต่อสู้กับมันการฉีดวัคซีนเพื่อไปกระตุ้นการสร้างภูมิคุ้มกันจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง มิฉะนั้นหากเราติดเชื้อจะทำให้เราป่วยหนักและหากเป็นโรคร้ายแรงก็อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้

 
10. ไม่ประมาทการ์ดไม่ตก

เมื่อต้องอยู่ในภาวะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อสูงการเสริมสร้างเพิ่มภูมิคุ้มกันให้ร่างกายเพื่อต่อสู้กับโรคเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ การระมัดระวังป้องกันตัวเองไม่ให้ติดเชื้อจะกลายเรื่องสำคัญและจำเป็นที่ต้องปฏิบัติอย่างเข้มงวด เราต้องเลี่ยงการเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง, แออัด และมีคนจำนวนมาก หากจำเป็นจริงๆจะต้องใส่หน้ากากอนามัยและเครื่องป้องกันอื่นๆที่จำเป็น และต้องระมัดระวังเรื่องสุขอนามัยให้ดี เช่น กินอาหารปรุงสุก สะอาด และใช้ช้อนกลางทุกครั้ง เป็นต้น การป้องกันตัวเองโดยไม่ประมาทการ์ดไม่ตกจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งโดยเฉพาะช่วงที่เกิดโรคระบาด

 

ข้อมูลและภาพจาก riversidemedicalclinic, mensjournal, usnews

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *