เดินหน้าในเส้นทางศิลปะด้วยใจรัก
ชูอัน มีโร เป็นชาวสเปน เกิดเมื่อปี 1893 ที่เมืองบาร์เซโลนา ประเทศสเปน พ่อเป็นช่างนาฬิกา แม่เป็นช่างทอง ตัวเขาจึงได้สัมผัสกับศิลปะรูปแบบต่างๆภายในบ้านตั้งแต่อายุยังน้อย มีโรเริ่มเรียนวาดรูปที่โรงเรียนแถวบ้านตั้งแต่ตอนอายุแค่ 7 ปี แต่เพื่อไม่ให้ขัดใจพ่อจนเกินไปเขาจึงจำต้องเข้าเรียนด้านธุรกิจพร้อมกันไปด้วย พอเข้าสู่วัยรุ่นมีโรได้เริ่มทำงานเป็นเสมียนอยู่ระยะหนึ่ง แต่เมื่อไม่ใช่ทางที่เขาชอบทำอยู่ได้ไม่นานก็เกิดความกดดัน ประกอบกับป่วยเป็นไข้ไทฟอยด์ส่งผลให้เกิดอาการทางประสาท มีโรจึงตัดสินใจเด็ดขาดเลือกเส้นทางชีวิตตามที่ปรารถนา เขาละทิ้งการทำงานหันไปเรียนและฝึกฝนทางด้านศิลปะอย่างจริงจัง
มีโรสนใจในภาพเขียนแนวใหม่โดยเฉพาะลัทธิโฟวิสม์ (Fauvism) ที่ใช้สีสันฉูดฉาดจัดจ้าน อีกทั้งเขามีความชื่นชอบและได้รับอิทธิพลจาก Vincent van Gogh และ Paul Cezanne มากเป็นพิเศษ ดังนั้นผลงานในช่วงเริ่มต้นของเขาจึงมีลักษณะคล้ายกับงานของกลุ่มลัทธิโฟวิสม์ผสมผสานกับแรงบันดาลใจที่ได้จากศิลปินดังยุคก่อนทั้งสองคน ผลงานในช่วงนี้มักถูกเรียกว่า Catalan Fauvist มีผลงานเด่นอย่างเช่นภาพ Portrait of Vincent Nubiola, North South และ Prades, the Village จนถึงปี 1918 มีโรได้รับการจัดแสดงผลงานเดี่ยวครั้งแรกในบาร์เซโลนา แต่กลับล้มเหลวไม่เป็นท่าภาพเขียนของเขาขายไม่ได้เลยแถมผลงานยังถูกวิจารณ์หยามเหยียด แม้จะผิดหวังแต่เขามิได้ย่อท้อกลับเป็นแรงผลักดันให้เขาพยายามสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆต่อไป
สร้างสไตล์เฉพาะตัวที่งดงามน่าทึ่ง
มีโรได้พัฒนาแนวทางการเขียนภาพที่แตกต่างจากที่ผ่านมาโดยสิ้นเชิง เขาหันไปเพิ่มรายละเอียดที่แม่นยำของทุกองค์ประกอบให้ภาพออกมาเหมือนจริงมากยิ่งขึ้น แต่ใส่ความแตกต่างและทันสมัยด้วยแนวคิดของลัทธิบาศกนิยม (Cubism) เพิ่มเข้าไปด้วย สร้างเป็นภาพเขียนในสไตล์เฉพาะตัวที่แปลกใหม่และสวยงามในอีกแบบหนึ่ง เช่น ภาพ House with Palm Tree, Church and the Village of Montroig และ Mont-roig Vineyards and Olive Tree เป็นต้น ปี 1920 มีโรตัดสินใจเดินทางไปกรุงปารีสเพื่อแสวงหาความท้าทายในโลกแห่งศิลปะที่มีชีวิตชีวาและเปิดกว้าง ที่นั่นเขาได้พบกับศิลปินหัวก้าวหน้ารุ่นใหม่หลายคนรวมทั้งศิลปินดังรุ่นพี่ชาติเดียวกัน Pablo Picasso ผู้ซึ่งให้คำแนะนำกับเขาและกลายเป็นเพื่อนกันตลอดชีวิต หลังจากกลับมาจากปารีสมีโรก็ได้สร้างผลงานชิ้นเอกหนึ่งในภาพเขียนที่โด่งดังที่สุดของเขา
มีโรเขียนภาพ The Farm ในระหว่างปี 1921 – 1922 แสดงทิวทัศน์และบรรยากาศบ้านสวนของชาวกาตาลันถิ่นเกิดของเขาเอง มีโรเขียนภาพนี้ด้วยสไตล์กึ่งเหมือนจริงกึ่งบาศกนิยมที่เขาพัฒนาขึ้นในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และได้เพิ่มเติมผสมผสานกับสิ่งที่เขาเรียนรู้จากปารีส กลายเป็นผลงานที่สมบูรณ์แบบมีความงดงามแปลกตาอย่างน่าทึ่ง ภาพนี้ได้สะท้อนวิถีชีวิตชนบทแบบดั้งเดิมของชาวสเปนได้อย่างยอดเยี่ยม ถือเป็นผลงานชิ้นเอกที่สร้างชื่อเสียงให้กับเขามากที่สุดชิ้นหนึ่ง นักเขียนชื่อดังชาวอเมริกา Ernest Hemingway สมัยยังหนุ่มเพิ่งเริ่มทำงานช่วงที่อาศัยอยู่ในปารีสได้เห็นภาพนี้เข้า เขาชื่นชอบและประทับใจมากจึงซื้อไว้และนำกลับบ้าน ปัจจุบันภาพนี้จัดแสดงอยู่ที่หอศิลป์แห่งชาติ (National Gallery of Art) ในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. ประเทศสหรัฐอเมริกา
ร่วมสร้างสรรค์ศิลปะลัทธิเหนือจริง
ปี 1924 มีการประกาศก่อตั้งกลุ่มลัทธิเหนือจริง (Surrealism) อย่างเป็นทางการที่กรุงปารีสหลังจากได้ก่อตัวกันมานานหลายปีตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ศิลปินในกลุ่มนี้ต้องการแสดงออกซึ่งความรู้สึกนึกคิดภายในหรือ “จิตไร้สำนึก” ที่ถูกเก็บกดไว้ออกมาอย่างเสรีในทุกรูปแบบโดยปราศจากการควบคุมใดๆทั้งสิ้น โดยมีพื้นฐานความคิดเกี่ยวโยงกับแนวคิดทฤษฎีจิตไร้สำนึกของ Sigmund Freud มีโรซึ่งได้เริ่มทดลองเขียนภาพในแนวนามธรรม (Abstract art) ด้วยรูปสัญลักษณ์ต่างๆ รวมทั้งภาพเหนือจริงมาบ้างแล้วตั้งแต่หลังเสร็จงานเขียนภาพ The Farm ได้เข้าร่วมกับกลุ่มลัทธิเหนือจริงในปีเดียวกันนั่นเอง และกลายเป็นศิลปินคนสำคัญในกลุ่มที่มีผลงานโดดเด่นมาก
มีโรเริ่มสร้างผลงานภาพเขียนแนวเหนือจริงในสไตล์ของตัวเองที่ประกอบด้วยรูปสัญลักษณ์แบบนามธรรมที่เรียบง่ายสื่อความหมายถึงสิ่งต่างๆคล้ายกับเป็นภาษารูปภาพที่เขาได้พัฒนาขึ้นมาเอง ผลงานภาพเขียนแนวเหนือจริงของเขาแตกต่างจากศิลปินคนอื่นในกลุ่มค่อนข้างมากเนื่องจากองค์ประกอบส่วนใหญ่เป็นรูปลักษณ์แบบนามธรรมนั่นเอง แต่สิ่งนี้กลับเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น ผลงานสำคัญในช่วงแรกของการเขียนภาพแนวนี้ได้แก่ภาพ Harlequin’s Carnival, Catalan Landscape และ The Tilled Field มีโรพัฒนารูปแบบและสไตล์การเขียนภาพของเขาอยู่ตลอดทำให้มีผลงานที่แตกต่างหลากหลายในเวลาต่อมา อย่างเช่นภาพ Still Life with Old Shoe และภาพชุด Dutch Interior เป็นต้น มีโรได้ยึดแนวทางภาพเขียนเหนือจริงในแบบของตัวเองเป็นหลักในการสร้างผลงานไปตลอดชีวิต
สัญลักษณ์แห่งท้องฟ้าและหมู่ดาว
ปี 1939 สงครามโลกครั้งที่ 2 เปิดฉากขึ้นนำไปสู่เหตุการณ์ที่กองทัพเยอรมันบุกเข้ายึดครองฝรั่งเศส มีโรที่ส่วนใหญ่พักอาศัยอยู่ที่กรุงปารีสกับ Pilar Juncosa ภรรยาที่แต่งงานกันในปี 1929 และลูกสาวหนึ่งคนต้องได้รับผลกระทบตามไปด้วย เขาจำต้องออกจากกรุงปารีสหลบภัยสงครามไปอยู่แถวบ้านเกิดอยู่สองสามปี ช่วงเวลานี้เองที่เขาได้สร้างผลงานชุดหมู่ดาว (The Constellations) อันประกอบด้วยภาพเขียนจำนวน 23 ภาพซึ่งนักประวัติศาสตร์ศิลปะหลายคนให้การยกย่องว่าเป็นผลงานอันยอดเยี่ยมที่ไม่เคยมีมาก่อนและเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในอาชีพของมีโร ทั้งๆที่ผลงานชุดนี้ถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาที่ยากลำบากและมีปัญหามากที่สุดในชีวิตของเขาก็ตาม
ผลงานชุด Constellations ของมีโรยังคงเป็นภาพเขียนแนวเหนือจริงผ่านรูปลักษณ์แบบนามธรรม แต่เขาได้ถ่ายทอดจินตนาการเกี่ยวกับธรรมชาติ ความรัก ความสุข และการหลบหนีออกมาเป็นภาพเขียนที่สวยงามแปลกตาน่าอัศจรรย์ยิ่ง ผลงานที่โดดเด่นได้แก่ภาพ The Beautiful Bird Revealing the Unknown to a Pair of Lovers, Ciphers and Constellations in Love with a Woman และ Woman Encircled by the Flight of a Bird เป็นต้น ผลงานชุดนี้ของเขาได้สร้างความประทับใจให้กับ André Breton กวีดังชาวฝรั่งเศสผู้เป็นหัวขบวนของลัทธิเหนือจริงจนนำไปเขียนบทกวีและตั้งชื่อตามผลงานของมีโร นอกจากนี้ยังสร้างแรงบันดาลใจให้นักดนตรีชาวอเมริกา Bobby Previte แต่งเพลงออกเป็นอัลบั้มชื่อ The 23 Constellations of Joan Miró อีกด้วย
อายุมากแค่ไหนแต่ไฟไม่เคยมอด
แม้เวลาผันผ่านนานแค่ไหนแต่ไฟในการสร้างสรรค์งานศิลปะของมีโรมิเคยมอดไหม้ดับสูญ รวมทั้งมนต์เสน่ห์และความแปลกใหม่จากจินตนาการของเขาก็ไม่เคยเสื่อมคลาย มีโรยังคงสร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมออกมาอย่างต่อเนื่องแม้จะย่างเข้าสู่วัยชราแล้ว ผลงานอย่างภาพเขียนชุด Blue, L’Etoile Bleu (Blue Star) หรือ The Gold of the Azure เหล่านี้เขาเขียนในขณะมีอายุกว่า 70 ปีแล้วแต่ยังคงยอดเยี่ยมและโดดเด่นได้รับการยกย่องชื่นชมดุจเดิม ในปี 1979 มีโรได้รับปริญญาเอกกิตติมศักดิ์จากมหาวิทยาลัยบาร์เซโลนาอันเป็นการเชิดชูเกียรติศิลปินชาวเมืองบาร์เซโลนาผู้สร้างผลงานทรงคุณค่าระดับโลกอย่างมากมายมาตลอดกว่า 60 ปีที่ผ่านมา
นอกจากเขียนภาพแล้วช่วงหลังมีโรยังมีผลงานศิลปะในรูปแบบอื่นทั้งงานประติมากรรมและงานศิลปะบนมีเดียอื่นๆ มีผลงานซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีอย่างเช่น The World Trade Center Tapestry พรมผืนมหึมาที่ถูกเผาทำลายไปพร้อมกับตึกเวิลด์เทรด รวมทั้ง Dona i Ocell (Woman and Bird) ประติมากรรมสาธารณะที่ยิ่งใหญ่สำหรับเมืองบาร์เซโลนาอันเป็นผลงานสำคัญชิ้นสุดท้ายที่เขาสร้างขึ้นในปี 1983 ก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปีเดียวกันด้วยวัย 90 ปี ทำให้โลกต้องสูญเสียศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ผู้มีส่วนสำคัญต่อการพัฒนาของศิลปะสมัยใหม่ไปอีกคนหนึ่ง
ผลงานเด่นของศิลปินหลากสไตล์
มีโรเป็นศิลปินที่มีผลงานหลากหลายสไตล์จนแทบมิอาจจัดได้ว่าเขาเป็นศิลปินกลุ่มใดกันแน่ เขาเริ่มต้นอาชีพด้วยการเขียนภาพในแนวลัทธิโฟวิสม์ก่อนที่จะพัฒนามาเป็นสไตล์กึ่งเหมือนจริงกึ่งบาศกนิยม จากนั้นจึงสร้างผลงานในแนวเหนือจริงที่มีรูปลักษณ์แบบนามธรรมเป็นองค์ประกอบ แต่ผลงานในทุกแนวล้วนยอดเยี่ยมและเต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานเด่นของศิลปินหลากสไตล์ผู้นี้
Catalan Fauvist Period (1915 – 1918)
Magical Realism Period (1918 – 1923)
Surrealism Period (1923 – 1939)
Constellations Period (1939 – 1960)
Later Years (1960 – 1983)
ตลอดช่วงเวลาการเป็นศิลปินอาชีพที่ยาวนานกว่า 70 ปีมีโรได้สร้างผลงานมากมายอย่างเหลือเชื่อ เป็นภาพเขียนกว่า 2,000 ภาพ ภาพลายเส้นกว่า 5,000 ภาพ รวมทั้งงานประติมากรรมและเซรามิกอีกหลายร้อยชิ้น อีกทั้งผลงานของเขายังมีพัฒนาการเปลี่ยนแปลงไปหลากสไตล์หลายรูปแบบ เขาได้สร้างสรรค์ศิลปะที่สวยงามและแปลกใหม่มาโดยตลอด เขาคือศิลปินชั้นแนวหน้าที่มีอิทธิพลต่อวงการศิลปะสมัยใหม่เป็นอย่างมากอีกคนหนึ่ง
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, theartstory, joan-miro.net