ลูกชายเศรษฐีที่ใจอยากเป็นจิตรกร
อัลเฟรด ซิสลีย์ เป็นชาวอังกฤษ แต่เกิดที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อปี 1839 พ่อแม่เป็นเศรษฐีชาวอังกฤษที่อพยพมาอยู่ที่ฝรั่งเศส พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจส่งออกดอกไม้ประดิษฐ์และผ้าไหม ส่วนแม่เชี่ยวชาญด้านดนตรี ซิสลีย์เติบโตในกรุงปารีสจนกระทั่งอายุ 18 ปีจึงถูกส่งไปอยู่กับญาติที่กรุงลอนดอนเพื่อพัฒนาภาษาอังกฤษ และศึกษาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับอาชีพทางธุรกิจที่พ่อแม่วางแผนไว้สำหรับเขา แต่ซิสลีย์กลับใช้เวลาส่วนใหญ่ที่กรุงลอนดอนศึกษาผลงานของจิตรกรภาพภูมิทัศน์ชาวอังกฤษผู้ยิ่งใหญ่ในสมัยนั้นหลายคน รวมทั้ง John Constable และ J.M.W. Turner ที่หอศิลป์แห่งชาติ
ซิสลีย์กลับประเทศฝรั่งเศสในปี 1861 และเริ่มเข้าเรียนที่สถาบันศิลปะ École des Beaux-Arts ในกรุงปารีสที่สตูดิโอของศิลปินชาวสวิส Charles Gleyre ที่นั่นเขาได้พบกับนักเรียนรุ่นเดียวกันที่ต่อมากลายเป็นเพื่อนสนิทกันหลายคนได้แก่ Pierre-Auguste Renoir, Claude Monet และ Frédéric Bazille แม้ว่า Charles Gleyre จะเป็นจิตรกรรุ่นเก่าแต่เขาได้สอนนักเรียนของเขาให้ศึกษาธรรมชาติและเน้นย้ำถึงความสำคัญของความคิดริเริ่ม ซึ่งมีส่วนส่งเสริมให้ลูกศิษย์ของเขาช่วยกันคิดค้นศิลปะแนวใหม่ที่สร้างความสั่นสะเทือนแก่วงการศิลปะและครองใจผู้คนมาอย่างยาวนาน ผลงานของซิสลีย์ในช่วงฝึกฝนฝีมือส่วนใหญ่สูญหายไป หนึ่งในผลงานช่วงแรกที่หลงเหลืออยู่ได้แก่ภาพ Spring, Peasant Woman under Flowering Trees
ร่วมกันค้นหาเส้นทางศิลปะสายใหม่
สี่สหายอันประกอบด้วยซิสลีย์, Renoir, Monet และ Bazille ค้นพบว่าพวกเขาสนใจในการเขียนภาพทิวทัศน์และวิถีชีวิตร่วมสมัยมากกว่าฉากประวัติศาสตร์หรือตำนาน ตามประเพณีนิยมของศิลปินรุ่นก่อนหน้าพวกเขา สี่สหายมักจะออกไปในชนบทด้วยกันเพื่อเขียนภาพในที่โล่ง (En plein air) ซึ่งไม่ใช่แค่ร่างภาพแล้วนำไปทำต่อให้เสร็จสมบูรณ์ในสตูดิโอตามธรรมเนียมปฏิบัติที่เคยมีมา แต่เป็นการเขียนภาพจนเสร็จสมบูรณ์ในแสงแดดโดยตรงจากธรรมชาติตามที่มองเห็น พวกเขาศึกษาลักษณะและความเปลี่ยนแปลงของแสงแดดตลอดทั้งวัน และเริ่มพัฒนารูปแบบการเขียนภาพแนวใหม่ในแบบที่พวกเขาชื่นชอบกัน หนึ่งในผลงานของซิสลีย์ในช่วงนี้คือภาพ Avenue of Chestnut Trees Near La Celle-Saint-Cloud ได้รับเลือกเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการ Paris Salon
นอกจากพวกเขาสี่คนแล้วยังมีศิลปินรุ่นใหม่ที่ช่วยกันพัฒนาการเขียนภาพแนวใหม่นี้อีกหลายคน เช่น Édouard Manet, Edgar Degas, Paul Cézanne และ Camille Pissarro ศิลปินหนุ่มเหล่านี้มักมารวมตัวพูดคุยแลกเปลี่ยนความเห็นกันเป็นประจำที่ร้านกาแฟ Café Guerbois ย่านมงมาร์ตทางตอนเหนือของกรุงปารีส ปัญหาหลักของศิลปินหน้าใหม่เหล่านี้คือผลงานของพวกเขายังไม่เป็นที่ยอมรับเนื่องจากเป็นสิ่งใหม่ผิดแผกไปจากความคุ้นเคยเดิมของผู้คน ภาพเขียนของพวกเขาส่วนใหญ่ไม่ค่อยมีใครซื้อ กรรมการพิจารณาคัดเลือกผลงานเข้าร่วมนิทรรศการ Paris Salon ปฏิเสธผลงานของพวกเขาแทบทุกชิ้น พวกศิลปินรุ่นใหม่กลุ่มนี้จึงมีรายได้น้อยและอยู่กันอย่างยากลำบาก แต่เรื่องนี้กลับไม่เป็นปัญหาสำหรับซิสลีย์เพราะพ่อรวยมีเงินให้เขาใช้เหลือเฟือ
สงครามเปลี่ยนชีวิตกลายเป็นคนจน
ในปี 1866 ซิสลีย์พบรักกับ Eugénie Lescouezec สาวชาวบริตานี (แคว้นทางตะวันตกสุดของฝรั่งเศสถูกเรียกว่า Little Britain อยู่ตรงข้ามเกาะอังกฤษที่เรียกว่า Great Britain) ทั้งคู่อยู่กินด้วยกันในกรุงปารีสมีลูก 2 คนโดยไม่ได้แต่งงาน กระทั่งถึงปี 1870 ได้เกิดสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจของพ่อของซิสลีย์ถูกทำลายล้มลง ซิสลีย์ต้องหนีภัยสงครามไปอยู่ที่ลอนดอน สถานะทางการเงินของครอบครัวพังทลายโดยสิ้นเชิง ชีวิตของเขาพลิกผันจากลูกเศรษฐีกลายเป็นคนจนเต็มตัว ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบากไม่ผิดจากเพื่อนศิลปินคอเดียวกัน และเริ่มต้นทำงานเป็นจิตรกรอาชีพแบบเต็มเวลา
หลังสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซียสิ้นสุดในปี 1871 ซิสลีย์กลับมาอยู่ที่ฝรั่งเศสอีกครั้ง แต่คราวนี้เขาเลือกไปอยู่ที่ Louveciennes เมืองเล็กๆชานกรุงปารีสด้านตะวันตก เนื่องจากต้องการลดภาระค่าใช้จ่ายและเขาสนใจที่จะเขียนภาพทิวทัศน์ของชนบทแถบนี้ซึ่งเขาชื่นชอบเป็นพิเศษ ในบางช่วงเวลาซิสลีย์ไปเยี่ยม Monet ที่เมือง Argenteuil เขียนภาพด้วยกัน รวมทั้งเขียนภาพทิวทัศน์ของเมืองแถบนั้นด้วย บางครั้ง Monet และ Renoir ก็มาเยี่ยมเขาที่ Louveciennes ในช่วงเวลานี้ซิสลีย์ได้สร้างผลงานที่ยอดเยี่ยมไว้หลายชิ้น เช่น ภาพ Village on the Banks of the Seine, Footbridge at Argenteuil, Ferry to the Ile-de-la-Loge – Flood รวมทั้งภาพ The Bridge at Villeneuve-la-Garenne ที่เป็นหนึ่งในผลงานชิ้นเอกที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของเขา
ทศวรรษแห่งความรุ่งเรืองในผลงาน
ปลายปี 1873 ซิสลีย์กับเพื่อนศิลปินรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าได้ร่วมกันก่อตั้งกลุ่ม Cooperative and Anonymous Association of Painters, Sculptors, and Engravers เพื่อแสดงงานศิลปะของศิลปินในกลุ่มได้อย่างอิสระไม่ต้องง้อ Paris Salon ที่ไม่ยอมรับผลงานของพวกเขา งานนิทรรศการของศิลปินกลุ่มใหม่นี้ถูกจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 1874 อันเป็นที่มาของชื่อกลุ่มศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ ซิสลีย์ส่งภาพเขียนเข้าร่วมแสดงในนิทรรศการของกลุ่มรวม 4 ครั้งในปี 1874, 1876, 1877 และ 1882 ผลงานของเขาได้รับการยกย่องชื่นชมมากพอสมควร แม้อาจไม่เท่ากับเพื่อนซี้อย่าง Monet และ Renoir
ในช่วงทศวรรษ 1870s ตั้งแต่ซิสลีย์เริ่มต้นทำงานเป็นจิตรกรอาชีพถือเป็นช่วงเวลาแห่งความรุ่งเรืองในการผลิตผลงานของซิสลีย์อย่างแท้จริง เขาเขียนภาพทิวทัศน์และบรรยากาศแถบชานกรุงปารีสออกมาอย่างมากมาย และมีผลงานที่โดดเด่นจำนวนมาก ได้แก่ ภาพ Snow at Louveciennes, Flooding at Port-Marly, Marly-le-Roi และ The Effect of Snow at Argenteuil เป็นต้น เพียงแต่ว่าเขาก็เหมือนกับศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ทุกคนที่ไม่ประสบความสำเร็จในด้านการขายภาพ ไม่ว่าผลงานจะงดงามยอดเยี่ยมเพียงใดก็ตาม นั่นเป็นเพราะว่าผลงานของพวกเขาเป็นศิลปะแนวใหม่ที่ผู้คนยังไม่คุ้นเคยและยังไม่เป็นที่ยอมรับ
แน่วแน่ในแนวทางตัวเองตลอดชีวิต
หลังจากพักอาศัยและทำงานเขียนภาพอยู่แถบชานกรุงปารีสฝั่งตะุวันตกมานานเกือบ 10 ปี ในปี 1880 ซิสลีย์ได้ย้ายไปอยู่ที่เมือง Moret-sur-Loing ห่างจากกรุงปารีสลงไปทางทิศใต้ราว 80 กิโลเมตร เขาพักอาศัยอยู่ที่เมืองนี้ไปตลอดชีวิตที่เหลือ เมื่อลุเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1880s ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสม์ต่างทยอยปรับแนวทางการเขียนภาพตามความชื่นชอบของแต่ละคน แต่ซิสลีย์ยังคงยืนหยัดแน่วแน่กับเขียนภาพทิวทัศน์ที่ทำมาตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพไม่เคยเปลี่ยนแปลง ผลงานของซิสลีย์ในช่วงสองทศวรรษหลังย้ายมาอยู่ที่ใหม่นี้ส่วนใหญ่เป็นทิวทัศน์ของเมือง Moret ที่มีแม่น้ำ Loing ไหลผ่านและบริเวณใกล้เคียง ผลงานชิ้นเอกอีกหลายชิ้นถูกสร้างขึ้นที่นี่ อย่างเช่น ภาพ Small Meadows in Spring, The Bridge at Moret และ Street in Moret เป็นต้น
แม้ว่าซิสลีย์เป็นชาวอังกฤษแต่เขาเกิดและพักอาศัยอยู่ที่ฝรั่งเศสอย่างถาวรมาโดยตลอด นอกจากตอนไปเรียนหนังสือกับหนีภัยสงครามแล้ว ซิสลีย์ยังมีโอกาสไปเยือนเกาะอังกฤษบ้างเป็นครั้งคราว ในปี 1897 เขาไปอังกฤษอีกครั้งและยังได้ไปถึงประเทศเวลส์ ที่นั่นซิสลีย์ได้เข้าพิธีแต่งงานกับภรรยาที่อยู่ด้วยกันมา 30 ปี และยังได้เขียนภาพทิวทัศน์ริมทะเลของเวลส์อีกหลายภาพ รวมทั้งภาพ Lady’s Cove, Langland Bay, Wales ซิสลีย์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งในลำคอที่เมือง Moret-sur-Loing ในปี 1899 ด้วยวัย 59 ปี ก่อนเสียชีวิตเขาได้ยื่นขอสัญชาติฝรั่งเศสถึงสองครั้งแต่ถูกปฏิเสธ เขาจึงเป็นชาวอังกฤษจนถึงวันสุดท้ายของชีวิตสมกับที่หลายคนเรียกเขาว่า “the English Impressionist”
ผลงานประทับใจของศิลปินผู้ถูกลืม
อัลเฟรด ซิสลีย์ เป็นผู้ร่วมคิดค้นศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์กับเพื่อนศิลปินอีกหลายคน ผลงานภาพเขียนทิวทัศน์มีความสวยงามและโดดเด่นมาก แต่เขามักเป็นศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์ที่ถูกลืม เนื่องจากถูกบดบังด้วยชื่อเสียงก้องโลกของ Claude Monet, Pierre-Auguste Renoir และคนอื่นๆที่เป็นเพื่อนสนิทของเขาเอง และต่อไปนี้คือส่วนหนึ่งของผลงานอันน่าประทับใจของศิลปินผู้มักถูกลืมคนนี้
Early Works (1865 – 1870)
Paris Period (1870 – 1880)
Moret-sur-Loing Period (1880 – 1890)
Later Years (1890 – 1897)
อัลเฟรด ซิสลีย์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินที่เขียนภาพทิวทัศน์ได้โดดเด่นที่สุดคนหนึ่ง และยังยืนหยัดเขียนภาพทิวทัศน์กลางแจ้งอันเป็นต้นตอและเนื้อแท้ของศิลปะอิมเพรสชั่นนิสต์จนถึงวาระสุดท้ายของชีวิตไม่เคยเปลี่ยนแปลงเป็นอื่นเลย ตลอดชีวิตเขาเขียนภาพไว้ราว 900 ภาพ เกือบทั้งหมดเป็นภาพทิวทัศน์ ในช่วงที่เขายังมีชีวิตไม่ค่อยมีคนสนใจซื้อภาพเขียนของเขา แต่หลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้วเขากลับมีชื่อเสียงเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ ภาพเขียนของเขาแต่ละภาพมีราคาหลายล้านดอลลาร์สหรัฐ
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, encyclopedia, impressionistarts