10 ทะเลสาบที่แปลกประหลาดและสวยงามอย่างน่าพิศวงมากที่สุดในโลก

ทะเลสาบคือแหล่งน้ำที่ไม่มีทางออกสู่ทะเล มีทะเลสาบนับร้อยล้านแห่งกระจายอยู่รอบโลก และมีอยู่ในเกือบทุกสภาพแวดล้อม ตั้งแต่บริเวณขั้วโลก ป่าฝน และแม้แต่ทะเลทรายที่แห้งแล้งที่สุด ทะเลสาบเป็นส่วนสำคัญของระบบนิเวศและช่วยให้สิ่งมีชีวิตเจริญเติบโต ทะเลสาบบางแห่งมีเอกลักษณ์และความพิเศษบางอย่างที่โดดเด่นซึ่งคุณอาจไม่เคยรู้มาก่อน และต่อไปนี้คือ 10 ทะเลสาบที่แปลกประหลาดและสวยงามอย่างน่าพิศวงมากที่สุดในโลก

 
1. Jellyfish Lake, Palau

ทะเลสาบแมงกะพรุนในประเทศปาเลาเป็นทะเลสาบขนาดเล็กกว้างยาวประมาณ 150 x 450 ม. และความลึกเฉลี่ยราว 30 ม. ที่ได้ชื่อว่าทะเลสาบแมงกะพรุนก็เป็นเพราะว่าทะเลสาบอายุ 12,000 ปีนี้ถูกตัดออกจากทะเลและปราศจากนักล่ามาหลายพันปีแล้ว เป็นผลให้มันกลายเป็นบ้านของแมงกะพรุนทองคำซึ่งเจริญเติบโตที่นี่และขยายพันธุ์ในอัตราที่น่าอัศจรรย์จนมีจำนวนหลายล้านตัว ทุกวันแมงกะพรุนจะรวมตัวเป็นฝูงใหญ่ว่ายไปหาดวงอาทิตย์ในตอนเช้า และในตอนเย็นจะว่ายกลับไปทางทิศที่ดวงอาทิตย์ตก เนื่องจากแมงกะพรุนเหล่านี้ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ ทะเลสาบแมงกะพรุนจึงกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ดำน้ำที่มีชื่อเสียงที่สุดของปาเลา

 
2. Lake Hillier, Australia

ทะเลสาบสีชมพูแห่งออสเตรเลียนับเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่น่าอัศจรรย์และเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่มีชื่อเสียงที่สุดในโลก น้ำใน Lake Hillier จะคงเป็นสีชมพูไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืน และคงสีสันของมันไว้แม้ว่าจะถูกเก็บในขวดก็ตาม เพียงแต่โทนสีอาจแปรเปลี่ยนไปบ้างตามอุณหภูมิ ความเค็ม และแสง สิ่งมีชีวิตหลายชนิดได้แก่ สาหร่าย แบคทีเรีย และจุลินทรีย์หลายชนิดที่อาศัยอยู่ทำให้น้ำที่เค็มจัดของทะเลสาบแห่งนี้กลายสีชมพูสดใส ทะเลสาบล้อมรอบด้วยเกลือสีขาวและป่ายูคาลิปตัสที่เขียวขจี โดยมีทะเลสีฟ้าเข้มอยู่ห่างออกไปไม่ไกล ทำให้ทะเลสาบสีชมพูโดดเด่นสวยงามน่าชมอย่างยิ่ง

 
3. Spotted Lake, Canada

ในฤดูหนาวและฤดูใบไม้ผลิทะเลสาบที่ตั้งอยู่ที่ใจกลางหุบเขา Okanagan Valley ของรัฐบริติชโคลัมเบีย แคนาดามีลักษณะเหมือนแหล่งน้ำอื่นๆ แต่เมื่อน้ำส่วนใหญ่เริ่มระเหยในฤดูร้อนและทำให้ระดับพื้นผิวลดต่ำลง แอ่งน้ำเค็มวงกลมขนาดใหญ่หลายร้อยแอ่งซึ่งอยู่ใต้ผิวน้ำและมองไม่เห็นก็ปรากฏตัวขึ้นด้วยเฉดสีเหลือง น้ำเงิน และเขียว กลายเป็นทะเลสาบลายจุดหลากสีที่สวยงามแปลกตา ทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีแม่น้ำและลำธารระบายน้ำออก พอหิมะละลายและไหลลงสู่ทะเลสาบก็นำแร่ธาตุและเกลือมาสะสมไว้เป็นเวลาหลายศตวรรษ เมื่อน้ำในทะเลสาบระเหยไป แอ่งน้ำที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุและเกลือจุดต่างๆก็จะปรากฏเป็นเฉดสีที่ผันผวนสวยงามตามองค์ประกอบแร่ธาตุของแต่ละแอ่ง

 
4. Pitch Lake, Trinidad

Pitch Lake ไม่ใช่ทะเลสาบธรรมดา แต่เป็นแอ่งแอสฟัลต์เหลวร้อนและเป็นแหล่งสะสมแอสฟัลต์ตามธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก ทะเลสาบแห่งนี้ครอบคลุมพื้นที่กว่า 500 ไร่ ลึกกว่า 75 ม. มีแอสฟัลต์เหลวสะสมอยู่กว่า 10 ล้านตัน นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าทะเลสาบแอสฟัลต์นี้ก่อตัวขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนเมื่อแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนตัวทำให้น้ำมันดิบไหลขึ้นมาบนพื้นผิว เมื่อน้ำมันดิบโดนแสงแดดองค์ประกอบที่เบากว่าจะระเหยออกไปส่วนที่เหลือกลายเป็นแอสฟัลต์ มีการค้นพบว่าจุลินทรีย์บางชนิดสามารถเจริญเติบโตอยู่ในทะเลสาบนี้ได้ ทำให้เชื่อว่าในทะเลสาบไฮโดรคาร์บอนบนดวงจันทร์ไททันของดาวเสาร์อาจมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ได้เช่นกัน

 
5. Boiling Lake, Dominica

น้ำตรงบริเวณใกล้ชายฝั่งของหนึ่งในทะเลสาบร้อนที่ใหญ่ที่สุดในโลกแห่งนี้มีอุณหภูมิราว 70 – 85 °C ยังไม่ถึงจุดเดือด แต่อ่างน้ำวนตรงกลางทะเลสาบที่ร้อนกว่าและมีไอน้ำพุ่งขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ดูเหมือนว่าทะเลสาบแห่งนี้เดือดอยู่ตลอดเวลา หม้อน้ำเดือดที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้ตั้งอยู่เหนือบ่อไอเดือดหรือพุก๊าซ (Fumarole) ที่ปล่อยไอร้อนออกมาตลอดเวลา ทำให้แม้จะมีมวลน้ำขนาดกว้างใหญ่กว่า 60 ม. ลึกกว่า 10 ม. แต่มันยังคงรักษาระดับความร้อนได้เกือบคงที่ ทะเลสาบเดือดจึงเป็นสถานที่อันตรายสำหรับนักท่องเที่ยว แต่ยังดีที่มันเข้าถึงได้ยากเพราะกว่าจะไปถึงต้องผ่านการปีนเขาหลายชั่วโมง

 
6. Lake Baikal, Russia

ทะเลสาบไบคาลเป็นทะเลสาบที่เก่าแก่ที่สุดอายุราว 25-30 ล้านปี และเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในโลก โดยมีความลึกสุดที่ 1,642 เมตร แม้ไม่ใช่ทะเลสาบน้ำจืดที่ใหญ่ที่สุดในโลกโดยพื้นที่ผิว แต่เป็นทะเลสาบที่มีปริมาณน้ำจืดมากที่สุดในโลก โดยมีมากถึง 20% ของปริมาณน้ำจืดทั้งหมดของโลก ที่พิเศษยิ่งคือในฤดูหนาวน้ำในทะเลสาบไบคาลจะกลายเป็นน้ำแข็ง บางพื้นที่น้ำแข็งมีลักษณะเหมือนคริสตัลมีสีสันสวยงามมากจนได้ฉายาเป็นทะเลสาบอัญมณี และยังมีปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งคือฟองก๊าซมีเทนที่กลายเป็นน้ำแข็งฝังตัวอยู่ในก้อนน้ำแข็งที่ใสแจ๋ว มองเห็นเป็นภาพที่แปลกตางดงามยิ่งนัก

 
7. Laguna Colorada, Bolivia

Laguna Colorada เป็นทะเลสาบน้ำเค็มทางตะวันตกเฉียงใต้ของโบลิเวีย มีจุดเด่นคือน้ำเป็นสีแดงที่โดดเด่นแปลกตา ผืนน้ำสีแดงอมน้ำตาลที่เกิดจากสาหร่ายสีแดงและจุลินทรีย์หลายชนิดตัดกับแถบสีขาวของกองตะกอนบอแรกซ์ทำให้สภาพแวดล้อมของทะเลสาบแห่งนี้ดูเหมือนอยู่บนดาวอังคารมากกว่าบนโลก ที่นี่ยังเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ของนกฟลามิงโกสีชมพูสายพันธุ์ James’s ที่มักแห่แหนมาที่นี่เพื่อกินสาหร่ายและแพลงก์ตอนที่มีอย่างอุดมสมบูรณ์ Laguna Colorada ถือเป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติของโลกและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเลื่องชื่อของโบลิเวีย

 
8. Crater Lake, United States of America

Crater Lake เป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟซึ่งเกิดจากการปะทุขึ้นอย่างรุนแรงของภูเขาไฟ Mazama เมื่อ 7,700 ปีก่อน กลายเป็นแอ่งภูเขาไฟที่ลึกกว่า 600 ม. ตั้งแต่นั้นมาฝนและหิมะก็ปกคลุมปล่องภูเขาไฟก่อตัวเป็นทะเลสาบที่ลึกที่สุดในสหรัฐอเมริกาและมีน้ำที่ใสที่สุดในโลก ทะเลสาบแห่งนี้ไม่มีเศษซากหรือตะกอนเกลือปะปนเนื่องจากไม่มีช่องเปิดหรือลำธารอื่นที่น้ำสามารถเข้ามาได้ จึงรักษาความใสบริสุทธิ์และสีสันที่สวยงามของน้ำไว้ได้ Crater Lake ได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางว่าเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่สวยที่สุดในโลกและเป็นทะเลสาบปล่องภูเขาไฟที่งดงามที่สุด

 
9. Dead Sea, Israel and Jordan

ทะเลสาบเดดซีหรือทะเลสาบมรณะเป็นหนึ่งในทะเลสาบที่ใหญ่ที่สุดและลึกที่สุดในโลก มีพื้นที่กว่า 600 ตร.กม. ลึกกว่า 200 ม. พื้นผิวทะเลสาบอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล 430 ม. ทำให้เป็นชายฝั่งที่ต่ำที่สุดในโลก น้ำในทะเลสาบแห่งนี้เค็มจัด มีความเค็มกว่าทะเลอื่นๆถึง 10 เท่า และด้วยความเค็มของน้ำอยู่ที่ 342 กรัม/กิโลกรัม หรือ 34.2% ทำให้มันเป็นหนึ่งในแหล่งน้ำที่เค็มที่สุดในโลก และมีความหนาแน่นที่ 1.24 กิโลกรัม/ลิตร ทำให้คุณสามารถลอยอยู่บนพื้นผิวของมันได้ มีนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกมาที่นี่เพื่อว่ายน้ำและเชื่อว่าจะได้รับประโยชน์จากการที่น้ำมีแร่ธาตุเกลือสูงซึ่งอาจช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการปรับปรุงสุขภาพผิว

 
10. Don Juan Pond, Antarctica

Don Juan Pond เป็นทะเลสาบขนาดเล็กในทวีปแอนตาร์กติกา มีขนาดราว 300 x 100 ม. น้ำลึกไม่เกิน 30 ซม. ความพิเศษของทะเลสาบแห่งนี้คือมีระดับความเค็มมากกว่า 40% ซึ่งมากกว่าความเค็มของมหาสมุทรถึง 18 เท่า ด้วยความเค็มระดับนี้ประกอบกับเกลือในน้ำเป็นแคลเซียมคลอไรด์ถึง 95% ทำให้จุดเยือกแข็งต่ำมาก ดังนั้นแม้ว่า Don Juan Pond อยู่ในทวีปแอนตาร์กติกาที่หนาวยะเยือก แต่มันแทบไม่เคยเป็นน้ำแข็งเลย แม้กระทั่งในฤดูหนาวที่อุณหภูมิลดลงถึง -50 °C มันก็ไม่แข็งตัวยังคงเป็นของเหลวอยู่ นักวิทยาศาสตร์ไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าทะเลสาบนี้ดำรงอยู่ได้อย่างไรในสภาพที่แห้งแล้งของทวีปแอนตาร์กติกา การศึกษาแสดงให้เห็นว่าน่าจะได้รับน้ำจากแหล่งใต้ดินลึก

 

ข้อมูลและภาพจาก treehugger, travelawaits, traveltv

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *