ในช่วงแรกจะเป็นการผลิตเซลล์แบตเตอรี่สำหรับ Powerwall 2 และ Powerpack 2 ที่เป็นแบตเตอรี่สำหรับใช้ที่บ้านและธุรกิจขนาดใหญ่ ส่วนเซลล์แบตเตอรี่สำหรับ Model 3 จะเริ่มผลิตในไตรมาสที่สอง และภายในปี 2018 โรงงาน Gigafactory จะผลิตเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนได้ 35 GWh/ต่อปี ซึ่งจะพอๆกับการผลิตของที่อื่นทั่วโลกรวมกัน
เทสลาบอกว่าพวกเขาสามารถเอาชนะการแข่งขันในองค์ประกอบสำคัญสองอย่างในการผลิตเซลล์แบตเตอรี่ คือ ต้นทุนและความหนาแน่นของพลังงาน “เรามีเซลล์แบตเตอรี่ที่ดีที่สุดในโลก และมันยังถูกที่สุดอีกด้วย” มัสก์ กล่าว
Gigafactory เป็นโรงงานขนาดใหญ่มากตั้งอยู่ที่รัฐเนวาดา เกิดจากการร่วมทุนของเทสลากับพานาโซนิค ด้วยเงินลงทุนที่คาดว่าจะเกิน 5,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เมื่อสร้างเสร็จอาคารโรงงานจะมีพื้นที่ถึง 1 ล้านตารางเมตร ซึ่งไม่เพียงแต่จะเป็นอาคารที่ใหญ่ที่สุดในโลกเท่านั้น แต่จะยังใช้พลังงานหมุนเวียน 100% จากพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม โดยมีเป้าหมายที่จะผลิตพลังงานเองทั้งหมด ขณะนี้งานก่อสร้างโรงงานเสร็จยังไม่ถึง 30% แต่ก็พร้อมแล้วสำหรับการผลิตเซลล์แบตเตอรี่
อีลอน มัสก์ ให้ความสำคัญกับการออกแบบโรงงานอย่างมาก “ถ้าเราใช้วิศวกรที่มีความคิดสร้างสรรค์มาออกแบบโรงงาน พวกเขาจะสร้างโรงงานที่สามารถประหยัดต้นทุนได้มากกว่าการปรับปรุงผลิตภัณฑ์เป็นสิบเท่า” มัสก์ กล่าว “ความพยายามในงานวิศวกรรมของเราคือการสร้างโรงงานให้เหมือนกับมันเป็นสินค้านั่นเอง”
และเมื่อ Gigafactory เสร็จสมบูรณ์มันจะผลิตเซลล์แบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออนได้ถึง 150 GWh/ต่อปี ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้กับรถยนต์ไฟฟ้า 1.5 ล้านคัน โดยเทสลามีแผนที่จะผลิตรถยนต์ไฟฟ้า 500,000 ต่อปีภายในปี 2020 ซึ่งพวกเขาก็มีออร์เดอร์รออยู่แล้ว เฉพาะยอดจองล่วงหน้าของ Model 3 ก็เกิน 400,000 คันไปแล้ว
นอกจากนี้การเริ่มไลน์การผลิตเซลล์แบตเตอรี่ยังสร้างงานเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก ในปี 2017 เทสลาจะจ้างพนักงานโดยตรงราว 6,500 คน และจะมีการจ้างงานทางอ้อมอีก 20,000 – 30,000 คนรอบๆพื้นที่โรงงาน
ข้อมูลและภาพจาก tesla, qz