การบูรณะครั้งนี้ได้ฟื้นฟูให้สุสานกลับไปสู่สภาพเดิมหลังจากที่สีได้เปลี่ยนไปด้วยเขม่าจากควันเทียนและผู้เดินทางมาแสวงบุญมายาวนานหลายศตวรรษ ผู้ที่มาสักการะต่างตื่นตะลึงไปกับโครงสร้างของศาลบูชาหลังการบูรณะที่กลายเป็นหินอ่อนสีแดง
งานบูรณะได้เริ่มขึ้นเมื่อปีที่แล้วหลังจากเจ้าหน้าที่ได้พบว่าศาลบูชาไม่อยู่ในสถานะที่ปลอดภัยอาจพังครืนลงมาได้ โครงสร้างจำเป็นต้องเสริมความแข็งแรงและป้องกันการความเสียหาย รวมทั้งการทำระบบระบายน้ำสำหรับน้ำฝนและน้ำเสีย
ทีมงานได้ซ่อมแซมและเสริมความมั่นคงของศาลบูชาด้วยน็อตไทเทเนียมและมอร์ตาร์ และทำความสะอาดเขม่าควันเทียนที่เป็นชั้นหนาเตอะและขี้นกพิราบ ในการทำงานมีการใช้ทั้งเรดาร์ เครื่องสแกนเลเซอร์และโดรน
“ก่อนหน้านี้ศาลบูชามีสีดำ” Antonia Moropoulou หัวหน้าทีมบูรณะกล่าว “นี่คือสีที่แท้จริง สีแห่งความหวัง”
และในการบูรณะครั้งนี้ได้เอาโครงเหล็กที่ชาวบริติชได้ติดตั้งเอาไว้โดยรอบเพื่อป้องกันศาลบูชาพังลงมาตั้งแต่ปี 1947 ออกไปด้วย
เมื่อเดือนตุลาคมปีที่แล้วมีช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นที่สุดของการบูรณะครั้งนี้ นั่นคือการเปิดหลุมฝังศพของพระเยซูคริสต์เป็นครั้งแรกในรอบหลายศตวรรษ แผ่นหินอ่อนถูกเคลื่อนย้ายออกไปเพื่อให้สามารถทำการเสริมความแข็งแรงของหลุมฝังศพได้
พวกเขาพบว่าแผ่นหินมาจากสมัยสงครามครูเสด บ่งชี้ว่าหลุมฝังศพไม่ได้ถูกเปิดมานานถึง 700 ปี ที่ข้างล่างพวกเขายังพบแผ่นหินจากยุคของจักรพรรดิคอนแสตนตินผู้เปลี่ยนอาณาจักรโรมันมาสู่ศาสนาคริสต์เมื่อศตวรรษที่ 4
“เมื่อเราเปิดแผ่นหินเราได้พบกับทุกช่วงของประวัติศาสตร์ จากคอนสแตนตินถึงไบแซนไทน์, ครูเสด และเรอเนสซองซ์” Moropoulou กล่าว
Moropoulou ยังบอกอีกว่าผู้แสวงบุญสามารถเข้ามาเยี่ยมชมได้ตลอดการทำงานส่วนใหญ่ที่ศาลบูชา
“มีเพียง 60 วันในช่วงที่หลุมฝังศพเปิดอยู่เท่านั้นที่ผู้แสวงบุญเข้าไม่ได้” Moropoulou กล่าว “เราทำงานกันทั้งกลางวันและกลางคืน”
ข้อมูลและภาพจาก express, inquirer