ทีมงานภายใต้การนำของ Philippe Cayn จากสถาบันวิจัยโบราณคดีเพื่อการอนุรักษ์แห่งชาติฝรั่งเศส ได้ขุดพื้นที่ราว 4,000 ตารางเมตรเพื่อให้แน่ใจว่าการก่อสร้างโรงเรียนจะไม่ทำลายวัตถุโบราณสำคัญ พวกเขาต้องตื่นตะลึงกับการพบโครงสร้างที่ปรักหักพัง กำแพง และแนวถนน และเมื่อประมวลข้อมูลหลักฐานทั้งหมดแล้วนักโบราณคดีระบุว่าเมืองโบราณแห่งนี้คือเมือง Ucetia ที่หายสาบสูญมานาน
“ก่อนเริ่มงานนี้พวกเรารู้ว่ามีเมืองโรมันเก่าแก่ที่ชื่อ Ucetia จากที่มีชื่อของมันปรากฏอยู่ที่แผ่นจารึกในเมือง Nimes ร่วมกับชื่อเมืองโรมันอื่นๆในบริเวณนี้อีก 11 ชื่อ” Philippe Cayn กล่าว “ไม่มีการค้นพบวัตถุใดๆนอกจากเศษหินโมเสกสองสามชิ้น”
นักโบราณคดีพบว่าสถานที่แห่งนี้ถูกใช้งานตั้งแต่ศตวรรษที่ 1 ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 7 มีการเว้นช่วงในศตวรรษที่ 3 และ 4 ซึ่งพวกเขาก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร พวกเขาบอกว่าอาคารที่ยังเหลืออยู่มาจากยุคกลาง (Middle Ages) ซึ่งหาได้ยากมาก
ทีมงานยังค้นพบกำแพงใหญ่และอาคารจำนวนมากจากก่อนยุคการพิชิตดินแดนของโรมัน มีห้องที่มีตู้อบขนมปังวางอยู่ซึ่งต่อมาใช้วางภาชนะเซรามิคขนาดใหญ่แทน อาคารเหล่านี้อยู่ภายในกำแพงเมือง Ucetia ความซับซ้อนของเส้นทางการติดต่อและลักษณะการจัดวางอาคารบ่งชี้ว่าที่นี่เป็นศูนย์กลางของเมืองโรมัน
แต่การค้นพบที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดคืองานศิลปะโมเสกอันงดงามบนพื้นของอาคารใหญ่ขนาด 250 ตารางเมตรที่มีแนวระเบียง มีอายุย้อนหลังไปถึงช่วงต้นของชุมชนแห่งนี้ที่คาดว่าถูกใช้งานจนถึงสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 1
งานศิลปะโมเสกสีสันสดใสมีกรอบลวดลายเรขาคณิตมาตรฐานแบบดั้งเดิม ล้อมรอบดวงตราวงกลมที่มีมงกุฏ รัศมี และบั้ง มีดวงตราอันหนึ่งถูกล้อมรอบด้วยรูปสัตว์หลากสีทั้งสี่มุม ประกอบด้วยนกฮูก เป็ด นกอินทรี และลูกกวาง ซึ่งนักโบราณคดีคาดว่าสัตว์เหล่านี้น่าจะเป็นตัวแทนของเทพเจ้าโรมัน
“งานโมเสกนี้น่าประทับใจอย่างมาก เนื่องด้วยขนาดที่ใหญ่โตของมัน มันอยู่ในสภาพที่ดีมาก และมาตรฐานของงานที่รวมเอารูปทรงเรขาคณิตดั้งเดิมกับรูปสัตว์มาไว้ด้วยกัน” Cayn กล่าว “งานประดับพื้นโมเสกที่ประณีตแบบนี้มักจะพบในยุคโรมันช่วงศตวรรษที่ 1 และ 2 แต่งานชิ้นนี้ย้อนหลังไปอีกราว 200 ปี จึงทำให้ประหลาดใจมาก”
ทีมงานบอกว่างานขุดค้นยังคงดำเนินต่อไปจนถึงเดือนสิงหาคม 2017 พวกเขาหวังว่าจะได้พบอะไรที่เกี่ยวข้องกับเมืองโบราณแห่งนี้เพิ่มเติมอีก
ข้อมูลและภาพจาก ibtimes, mnn