แผนงานร่วมของรัฐบาลของหลายประเทศที่เรียกว่า Electric Vehicle Initiative ได้กำหนดเป้าหมายส่วนแบ่งตลาด 30% สำหรับรถยนต์ รถบัส รถบรรทุก และรถตู้ภายในปี 2030 ในแผนงานนี้มีจีน ฝรั่งเศส เยอรมัน สหราชอาณาจักร และสหรัฐอเมริกาเข้าร่วมอยู่ด้วย
สำหรับอินเดียที่ไม่ได้ร่วมในแผนงานดังกล่าวได้ประกาศเมื่อเดือนที่แล้วว่ามีแผนที่จะให้ขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าเท่านั้นภายในปี 2030 ผู้คนในหลายประเทศและหลายเมืองใหญ่ต่างตั้งตารอรถยนต์ไฟฟ้าที่จะเข้ามาจัดการขจัดปัญหามลพิษทางอากาศที่พวกเขาต้องเผชิญกันอยู่
IEA ระบุว่าถ้าหากต้องการควบคุมอุณหภูมิโลกให้เป็นไปตามเป้าหมายไม่เกิน 2°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรมจะต้องมีรถยนต์ไฟฟ้า 150 ล้านคันภายในปี 2030 และ 600 ล้านคันภายในปี 2040
หลังจากดิ้นรนต่อสู้กับการยอมรับของลูกค้าอย่างหนักในที่สุด Tesla ก็ได้สร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่ยอดเยี่ยมและได้รับความนิยม และผลักดันเข้าสู่ตลาดใหญ่ได้ด้วยรถรุ่นใหม่ Model 3
Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกมีแผนที่จะวางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าราคาย่อมเยา 4 รุ่นในอีกไม่นาน ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายขายรถยนต์ไฟฟ้าให้ได้ 2 ล้านคันภายในปี 2025 ส่วน Mercedes-Benz ก็ได้เร่งแนะนำรถยนต์ไฟฟ้าใหม่ถึง 10 รุ่นเพื่อเอาชนะ Tesla และชดเชยกับรถที่ใช้เครื่องยนต์สันดาปภายในที่ค่อยๆเลือนหายไป
ขณะเดียวกันธนาคาร UBS ของสวิตเซอร์แลนด์ได้รายงานการวิเคราะห์ต้นทุนว่าจากการที่แบตเตอรี่มีราคาลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว และต้นทุนการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่ลดลงมากกว่าที่เคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ ทำให้ราคารถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงมาเทียบเท่ากับรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2018 โดยจะเห็นได้ก่อนในทวีปยุโรป
แต่ราคาที่เทียบเท่านี้ไม่ได้คิดเฉพาะราคาขายรถใหม่อย่างเดียว แต่ได้คิดรวมค่าเชื้อเพลิง ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่นทั้งหมดตลอดอายุการใช้งาน และในที่สุดราคารถยนต์ไฟฟ้าก็จะถูกกว่ารถยนต์ที่ใช้น้ำมันเริ่มตั้งแต่ปี 2025
เห็นแนวโน้มยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าที่เพิ่มแบบพรวดพราดกับราคาที่ดิ่งลงอย่างรวดเร็วแบบนี้ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเห็นทีจะสูญพันธุ์ในเวลาอีกไม่ถึงทศวรรษ ดังผลวิจัยของนักเศรษฐศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดเป็นแน่แท้
ข้อมูลและภาพจาก bloomberg, greencarreports