นอกจากนี้ยังมีรถรุ่นอื่นจากอีกหลายผู้ผลิตทั้ง Nissan, Ford, BMW, Kia, Chrysler, Cadillac, Volkswagen ฯลฯ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของ Tesla ที่เริ่มส่งมอบรถรุ่น Model 3 ในเดือนกรกฏาคม จากที่มียอดจองอยู่มากกว่า 400,000 คัน ดังนั้นจึงไม่ยากที่รถรุ่นนี้จะขึ้นไปครองตลาดหากว่าสามารถเร่งการผลิตได้เร็วพอ
องค์การสหภาพนักวิทยาศาสตร์ UCS ระบุว่ายอดขายรถยนต์ไฟฟ้าเติบโตด้วยอัตราปีละ 32% ตั้งแต่ปี 2012 ถึง 2016 และ UCS ทำนายว่าด้วยอัตราการเติบโตนี้ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในสหรัฐจะมีสัดส่วนเป็น 10% ของยอดขายรถยนต์ใหม่ภายในปี 2025
ช่วง 12 เดือนที่ผ่านมาได้แสดงให้เห็นถึงการเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคต่อรถยนต์ไฟฟ้า UCS ทำนายว่าอัตราการเติบโตขนาดนี้จะสามารถรักษาระดับไว้ได้ในอีกหลายปีข้างหน้า ถ้าเพียงแค่รักษาอัตราการเติบโตที่ 40% ไว้ได้ ยอดขายรถยนต์ในสหรัฐจะเป็นรถยนต์ไฟฟ้า 10% ภายในปี 2023 และจะขึ้นไปถึง 20% ในอีก 2 ปีถัดไป
ในทำนองเดียวกันมีการคาดการณ์แนวโน้มตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในยุโรป โดย ING Group ประเทศเนเธอแลนด์ได้ทำนายว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะขึ้นมาครองเป็นเจ้าตลาดรถยนต์ภายในปี 2035
การเติบโตอย่างรวดเร็วของรถยนต์ไฟฟ้าเป็นผลมาจากราคาที่ลดลงของแบตเตอรี่และการขยายจุดให้บริการชาร์จไฟ ซึ่งช่วยลดค่าใช้จ่ายของเจ้าของรถในระยะยาว รวมทั้งการสนับสนุนของรัฐบาลก็มีส่วนอยู่ไม่น้อย
รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินหรือน้ำมันดีเซลแต่ละคันปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกสู่บรรยากาศเฉลี่ยถึงปีละ 4.7 ตัน ดังนั้นการเอารถพวกนี้ออกไปให้พ้นจากถนนจึงแนวทางสำคัญที่จะทำให้สิ่งแวดล้อมสะอาดขึ้น เอาออกไปสัก 10 – 20% ก็จะดีขึ้นอย่างมากแล้ว
ข้อมูลและภาพจาก futurism, ucsusa.org