รายงานของ UBS ระบุว่า “ต้นทุนรวมของผู้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าจะลดลงมาเท่าเทียมกับรถยนต์น้ำมันตั้งแต่ปี 2018” แนวโน้มนี้จะเริ่มเกิดขึ้นที่ยุโรป “มันจะสร้างจุดเปลี่ยนของอุปสงค์ เราได้ยกระดับการคาดการณ์ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าสำหรับปี 2025 ไปเป็น 50% หรือ 14.2 ล้านคัน ซึ่งเท่ากับ 14% ของยอดขายรถยนต์ทั่วโลก”
สิ่งที่รายงานของ UBS ได้ทำนายไว้สอดคล้องกับรายงานของธนาคาร ING ของเนเธอร์แลนด์ที่คาดว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีอิทธิพลเหนือตลาดรถยนต์ยุโรปภายในปี 2035 และทั้งสองสำนักได้พูดเหมือนกันว่าปัจจัยหลักอยู่ที่การลดลงของราคาที่ได้เริ่มต้นไปเรียบร้อยแล้ว การมาของรถรุ่นใหม่ทำให้ราคาของรถไฟฟ้ารุ่นเก่าลดลง บางที่ลดไปถึงคันละ 20,000 ดอลลาร์
รถ Tesla Model 3 ที่ได้ปล่อยออกมาเมื่อเร็วๆนี้ได้ถูกคาดว่าจะเป็นตัวฉุดยอดการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มจากราคาที่ไม่แพงมาก ขณะที่รถยนต์ไฟฟ้าที่ถูกที่สุด Nissan Leaf ปี 2018 จะมีราคาต่ำกว่า Model 3 ราว 5,000 ดอลลาร์ แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะไม่สามารถทำกำไรได้ “เมื่อต้นทุนรวมของผู้ใช้รถเท่าเทียมกันแล้ว รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นตลาดจะสามารถทำกำไรได้ด้วย”
รายงานของ UBS ยังระบุไว้ด้วยว่าการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าถูกกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้ และยังมีช่องว่างที่สามารถจะลดต้นทุนได้อีกด้วยกลยุทธ์อย่างเช่น การพัฒนาแบตเตอรี่ที่ราคาถูกลง และการสร้างสถานีชาร์จไฟให้มากขึ้น มาตรการเหล่านี้จะมีความสำคัญเนื่องจากตอนนี้หลายๆประเทศได้เลือกที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้ากันแล้ว ฝรั่งเศสห้ามขายรถน้ำมันภายในปี 2040 ขณะที่อินเดียให้ขายเฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าภายในปี 2030
รถยนต์ไฟฟ้าไม่ได้เป็นเทคโนโลยีพลังงานสะอาดเพียงอย่างเดียวที่ราคากำลังลดลง แหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมก็มีราคาลดลงอย่างต่อเนื่องจนถูกกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิล ราคาของแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา และราคาที่ลดลงของรถยนต์ไฟฟ้าดูเหมือนจะเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งของการปฏิวัติพลังงานสะอาด
ข้อมูลและภาพจาก futurism, forbes