ตัวเนื้อหาในหนังสือหากดูจากภาพประกอบจะมี 5 หัวข้อได้แก่ พฤกษศาสตร์ ดาราศาสตร์ ชีววิทยา เภสัชศาสตร์ และสูตรยา แต่ตัวอักษรที่บันทึกไว้เป็นตัวอักษรที่ไม่เคยพบเห็นในที่ใดในโลกมาก่อน ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมามีสมมุติฐานถูกเสนอขึ้นมามากมายเกี่ยวกับตัวอักษรในหนังสือและการถอดรหัส พร้อมกับการโต้เถียงทางวิชาการเรื่อยมาแต่ไม่มีข้อสรุปใดๆ มันจึงเป็นหนังสือลึกลับที่สุดในโลกตลอดมา
Greg Kondrak และ Bradley Hauer สองนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Alberta ที่แคนาดา ได้พัฒนา AI ที่เรียนรู้ภาษาต่างๆหลายร้อยภาษา การทดสอบความสามารถทางภาษาของ AI โดยให้แปลปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนเป็นภาษาต่างๆ 380 ภาษา ผลปรากฏว่ามันแปลได้ถูกต้อง 97%
ทีมวิจัยใช้ AI อ่านและถอดรหัสในหนังสือ Voynich Manuscript ที่ตอนแรกพวกเขาคิดว่ามันน่าจะถูกเขียนด้วยภาษาอารบิก แต่ AI สรุปว่าภาษาที่เป็นไปได้มากที่สุดคือภาษาฮิบรู
“มันน่าประหลาดใจ” Kondrak กล่าว “และที่บอกว่า ‘นี่เป็นภาษฮิบรู’ เป็นแค่ขั้นแรก ขั้นต่อไปคือเราจะแปลความหมายมันได้อย่างไร”
จากสมมุติฐานที่ว่าข้อความในหนังสือถูกเข้ารหัสไว้ด้วยการจัดเรียงลำดับตัวอักษรในคำเสียใหม่และอาจลดสระไปบางตัว ทีมวิจัยจึงได้พัฒนาอัลกอริทึมที่สามารถถอดรหัสและแปลความหมายได้ จากความพยายามถอดรหัส 10 หน้าแรกได้ผลออกมาว่า 80% ของคำทั้งหมดมีอยู่ในพจนานุกรมภาษาฮิบรู แต่พวกเขาไม่สามารถแปลความหมาย
หลังจากไม่สามารถหาผู้เชี่ยวชาญภาษาฮิบรูมาช่วยได้ พวกเขาเลยหันไปใช้ Google Translate (โปรแกรมแปลภาษาของกูเกิล) ซึ่งก็ช่วยได้พอสมควร
ในบทที่เกี่ยวกับสมุนไพรซึ่งมีรูปของต้นไม้หลายชนิด ปรากฏคำที่เกี่ยวข้องกับพฤกษศาสตร์หลายคำในภาษาฮิบรู ได้แก่ เกษตรกร แสง อากาศ และไฟ ทำให้นักวิจัยทั้งสองตั้งสมมุติฐานว่าบันทึกนี้อาจเป็นคู่มือสมุนไพรของยุคกลาง
และในข้อความเริ่มต้นของหนังสือเล่มนี้เมื่อแปลออกมาแล้วได้ความว่า “หล่อนให้คำแนะนำแก่นักบวช ผู้ชายของบ้านหลังนั้น ฉัน และผู้คนทั่วไป”
อย่างไรก็ตามทั้งหมดนั้นยังคงห่างไกลกับการแปลความหมายอย่างชัดแจ้ง และนักวิจัยก็ได้สรุปเกี่ยวกับการศึกษาในเรื่องนี้ไว้อย่างเหมาะสมว่าผลลัพธ์ที่ได้สามารถตีความได้ว่ามีร่องรอยของภาษาฮิบรูที่อาจเป็นภาษาต้นฉบับของหนังสือ Voynich Manuscript และพวกเขามีแผนที่จะปรับปรุงอัลกอริทึมให้ดีขึ้นและหวังจะได้ใช้กับบันทึกโบราณอื่นๆอีก
ข้อมูลและภาพจาก folio.ca, newatlas