ฟาร์ม Hywind ยังประสบความสำเร็จอย่างสูงกับประสิทธิภาพการผลิตเฉลี่ยที่ 65% ขณะที่ในช่วงเวลาดังกล่าวฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งแบบเดิมจะมีประสิทธิภาพการผลิตอยู่ที่ราว 45 – 60% ประสิทธิภาพการทำงานที่โดดเด่นส่วนหนึ่งมาจากระบบควบคุมกังหันลมที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ กังหันลมทำงานต่อเนื่องขณะที่ความเร็วลมค่อนข้างสูง จนถึงความเร็วลมที่กำหนดมันจะหยุดทำงานเพื่อความปลอดภัย และมันจะเริ่มทำงานใหม่โดยอัตโนมัติเมื่อความเร็วลมลดลงมาถึงจุดที่ปลอดภัย
Statoil ยังกล่าวว่าผลการปฏิบัติงานของฟาร์มกังหันลมลอยน้ำ Hywind ไม่เพียงเป็นความสำเร็จของโครงการเท่านั้น แต่หมายถึงความสำเร็จของอุตสาหกรรมนี้โดยรวมอีกด้วย ความมั่นคงและความทนทานของเทคโนโลยีฟาร์มกังหันลมลอยน้ำ รวมทั้งสามารถทำงานได้อย่างปลอดภัยในสภาพแวดล้อมที่ยากที่สุดนับเป็นข่าวดีต่อการพัฒนาเทคโนโลยีนี้ในอนาคต รวมทั้งการลดต้นทุนฟาร์มกังหันลมลอยน้ำด้วย
“แหล่งพลังงานลมนอกชายฝั่งทั่วโลก 80% อยู่ในบริเวณน้ำลึกเกิน 60 เมตรซึ่งกังหันลมแบบมีฐานยึดติดกับพื้นทะเลไม่คุ้มค่า เราเล็งเห็นถึงศักยภาพที่ดีเยี่ยมของฟาร์มกังหันลมลอยน้ำ ทั้งในเอเชีย, ฝั่งตะวันตกของอเมริกาเหนือ และในยุโรป” Irene Rummelhoff ผู้บริหารระดับสูงของ Statoil กล่าว “เรากำลังมองหาโอกาสใหม่ๆสำหรับเทคโนโลยีของเรา”
นอกจากนี้บริษัทยังเชื่อมั่นว่าต้นทุนของเทคโนโลยีจะลดลงอย่างรวดเร็ว ราคาฟาร์มกังหันลมนอกชายฝั่งจากการประมูลเมื่อเร็วๆนี้ลดต่ำลงเหลืออยู่ที่ 64.9 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมง หรือราวครึ่งหนึ่งของราคาเมื่อ 4 ปีก่อน แต่ Statoil ได้ตั้งเป้าหมายว่าราคาฟาร์มกังหันลมลอยน้ำจะลดเหลือ 40 – 60 ยูโรต่อเมกะวัตต์-ชั่วโมงภายในปี 2030 ซึ่งสามารถแข่งขันกับพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบ
“มันเป็นเป้าหมายที่ทะเยอทะยานแต่เป็นเป้าหมายที่เป็นจริงได้” Rummelhoff กล่าว “ด้วยการออกแบบที่เหมาะสม กังหันลมขนาดใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น การพัฒนาเทคโนโลยี และขนาดของฟาร์มกังหันลมที่ใหญ่ขึ้นจะช่วยขับเคลื่อนให้ราคาลดลงจนถึงเป้าหมาย”
ข้อมูลและภาพจาก businessgreen, treehugger