เป็นศิลปินมีชื่อเสียงตั้งแต่อายุยังน้อย
แรมบรันต์เป็นชาวดัตช์เกิดเมื่อปี 1606 ที่เมืองไลเดน มีชื่อเต็มว่า แรมบรันต์ ฮาร์เมินส์โซน ฟัน ไรน์ (Rembrandt Harmenszoon van Rijn) พ่อเป็นเจ้าของโรงสี แม่เป็นลูกสาวเจ้าของร้านขนมปัง ตอนเป็นเด็กได้เรียนภาษาลาติน พออายุ 14 ปีลงทะเบียนเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยไลเดน แต่ตัวเขาสนใจในการเขียนภาพมากกว่า ดังนั้นไม่นานจึงไปเป็นลูกศิษย์ของ Jacob van Swanenburgh จิตรกรผู้เชี่ยวชาญการเขียนภาพประวัติศาสตร์ เรียนอยู่ 3 ปี จากนั้นจึงไปเรียนกับ Pieter Lastman จิตรกรภาพเขียนประวัติศาสตร์ชื่อดังที่กรุงอัมสเตอร์ดัมในช่วงเวลาสั้นๆเพียง 6 เดือน แต่มีความหมายต่อเขาอย่างยิ่ง
การเรียนเขียนภาพประวัติศาสตร์ซึ่งมีฉากจากคัมภีร์ไบเบิล ตำนาน ประวัติศาสตร์ และภาพเชิงเปรียบเทียบที่มีความซับซ้อน ต้องเขียนทั้งทิวทัศน์ สถาปัตยกรรม สิ่งของ สัตว์ และคนในหลายลักษณะท่าทางและการแสดงออก รวมทั้งเครื่องแต่งกาย ทำให้แรมบรันต์เรียนรู้เทคนิคการเขียนภาพในหลากหลายรูปแบบ แรมบรันต์กลับมาที่ไลเดนแล้วเปิดสตูดิโอของตัวเองเมื่อปี 1625 ขณะที่มีอายุเพียง 19 ปี เขาเริ่มสร้างผลงานไปพร้อมๆกับการพัฒนาสไตล์การเขียนภาพของตัวเอง แรมบรันต์เริ่มมีชื่อเสียงขจรขจาย เขารับลูกศิษย์คนแรกตอนอายุ 21 ปี
ราวปี 1626 แรมบรันต์เริ่มสร้างผลงานภาพพิมพ์ (Etching) ได้พัฒนาเทคนิคในการสร้างภาพพิมพ์จนมีผลงานที่ยอดเยี่ยม แรมบรันต์ทำภาพพิมพ์ต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตของเขา ชื่อเสียงในระดับนานาชาติของแรมบรันต์ส่วนใหญ่ก็มาจากภาพพิมพ์เพราะมันถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง
ผลงานเด่นของแรมบรันต์ในช่วงแรกของการเป็นศิลปินมืออาชีพได้แก่ภาพ Two Old Men Disputing ที่เริ่มฉายแววการเป็นปรมาจารย์ด้านเทคนิคแสงและเงา, ภาพ The Artist in his Studio, Tobit Accusing Anna of Stealing the Kid รวมทั้งภาพเหมือนตัวเองอีกหลายภาพ ความโดดเด่นในผลงานทำให้เขามีลูกค้าระดับวีไอพีอย่างเช่น Constantijn Huygens (พ่อของนักฟิสิกส์ชื่อดัง Christiaan Huygens) ที่เป็นขุนนางคนสำคัญ และเจ้าชาย Frederick Henry ที่ซื้อผลงานของแรมบรันต์อย่างต่อเนื่องหลายสิบปี
ก้าวเข้าสู่เวทีใหญ่ในเมืองหลวง
ปลายปี 1631 แรมบรันต์ย้ายไปปักหลักอยู่ที่กรุงอัมสเตอร์ดัมที่ซึ่งเขาได้สร้างผลงานจนกลายเป็นศิลปินอันดับหนึ่งแห่งยุค ช่วงแรกเขาไปพักกับ Hendrick Uylenburgh นักธุรกิจตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะคนสำคัญแห่งเมืองอัมสเตอร์ดัมซึ่งมีสตูดิโอเขียนภาพขนาดใหญ่ มีศิลปินในสังกัดหลายคน แรมบรันต์ทำงานในสตูดิโอของ Hendrick ราว 4 ปี เขียนภาพเหมือน (Portraits) เป็นหลัก และประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม
หลังมาอยู่ในเมืองกรุงได้ 3 ปี แรมบรันต์ก็กลายเป็นชาวเมืองอัมสเตอร์ดัมและเป็นสมาชิกของสมาคมจิตรกรแห่งอัมสเตอร์ดัม ซึ่งหมายถึงผลงานของเขาเป็นที่ยอมรับและตัวเขาก็มีชื่อเสียงในเมืองหลวงแล้ว ผลงานที่โดดเด่นในห้วงเวลานี้ได้แก่ภาพ The Anatomy Lesson of Dr. Nicolaes Tulp, Flora, Saskia in Red Hat และ ภาพ The Storm on the Sea of Galilee รวมทั้งภาพเหมือนบุคคลที่เขียนได้อย่างยอดเยี่ยมอีกจำนวนมาก
ชีวิตที่รุ่งโรจน์และผลงานชิ้นเอก
แรมบรันต์สร้างผลงานชั้นยอดออกมามายมาย ชื่อเสียงสั่งสมเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆที่มาพร้อมกับความร่ำรวยมั่งคั่ง เป็นช่วงชีวิตที่รุ่งโรจน์และเป็นศิลปินที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด แรมบรันต์ย้ายออกจากที่พักซึ่งอาศัยอยู่กับ Hendrick มาซื้อบ้านหลังใหญ่อยู่อย่างสุขสบาย เปิดสตูดิโอของตัวเองรับงานเขียนภาพ ทำภาพพิมพ์ และรับสอนลูกศิษย์เพิ่มอีกหลายคน
ปี 1642 แรมบรันต์ได้เขียนภาพ The Night Watch งานสำคัญชิ้นใหญ่ที่เขาได้รับค่าจ้างสูงมาก เป็นภาพเหมือนของกลุ่มอาสาสมัครพลเรือนชาวดัตช์ที่มารวมพลกันก่อนจะออกปฏิบัติหน้าที่เฝ้าเวรยามตอนกลางคืน แรมบรันต์จัดวางองค์ประกอบของภาพได้อย่างลงตัว มีการให้แสงและเงาที่โดดเด่นมาก และยังได้ซ่อนสัญลักษณ์สำคัญไว้ที่ผู้หญิงในชุดเหลืองที่เป็นมาสคอตของกองกำลังเพิ่มเสน่ห์ให้กับภาพ The Night Watch กลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแรมบรันต์ ช่วงแรกแขวนประดับที่ศาลากลางเมืองอัมเตอร์ดัม แต่ต่อมามีการเคลื่อนย้ายเปลี่ยนที่หลายครั้ง โดยเฉพาะตอนที่นโปเลียนบุกเข้ามายึดครองเนเธอร์แลนด์ ต้องย้ายภาพนี้ซึ่งเป็นสมบัติสำคัญของชาติไปซ่อนไว้ ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งอัมสเตอร์ดัม (Rijksmuseum)
สุดยอดเทคนิคแรมบรันต์ไลท์ติ้ง
ภาพเขียนของแรมบรันต์ไม่เพียงแต่ถ่ายทอดรายละเอียดของเรื่องราว รวมทั้งรูปร่างหน้าตาผิวพรรณและบุคลิกการแสดงออกของบุคคลในภาพได้อย่างสมจริง สิ่งที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือเทคนิคการให้แสงและเงาที่ขับเน้นจุดเด่นของภาพ และทำให้ภาพมีมิติมีความลึกเหมือนจริง การให้แสงและเงาของแรมบรันต์มีทั้งแบบที่มีแสงสาดเข้ามาด้านใดด้านหนึ่ง และแบบที่มีแสงสว่างส่องเฉพาะจุดตัดกับความมืดเหมือนไฟสปอตไลท์ที่ใช้กับละครเวที
ต่อมาเมื่อมีการผลิตกล้องถ่ายภาพได้แล้ว แต่ช่างภาพยังไม่สามารถถ่ายภาพบุคคลให้ออกมาสวยงามได้ จึงได้ย้อนกลับไปดูภาพเขียนของแรมบรันต์ว่าทำไมถึงสามารถทำให้ภาพเขียนนั้นสวยงาม ดูมีมิติ สามารถบอกระยะตื้นลึกของภาพได้เหมือนจริง แล้วจึงพบจุดเด่นในการให้แสงและเงาของแรมบรันต์นั่นเองที่ส่งผลต่อความงดงามของภาพ นักศิลปศาสตร์จึงได้ยอมรับและได้นำชื่อของเขามาเป็นชื่อของการจัดแสงเพื่อถ่ายภาพ จนเป็นที่มาของการจัดแสงแบบแรมบรันต์ หรือ Rembrandt Lighting
ชีวิตรักมีทั้งสมหวังระคนเศร้าหมอง
แรมบรันต์พบรักกับ Saskia van Uylenburgh หลานสาวของ Hendrick และได้แต่งงานกันในปี 1634 Saskia เป็นนางแบบในภาพเขียนของเขาหลายภาพ มีภาพชิ้นเยี่ยมที่เธอเป็นนางแบบให้อยู่ไม่น้อย ดูเหมือนทั้งคู่น่าจะครองรักกันอย่างสุขสม แรมบรันต์เองก็อยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ของอาชีพศิลปิน แต่ความเศร้ามาเยือนในปี 1635 ลูกชายคนแรกของเขาตายหลังคลอดได้ 2 เดือน ปี 1638 เขาต้องเสียลูกสาวซึ่งตายหลังคลอดได้เพียง 3 สัปดาห์ และในปี 1640 พวกเขาได้ลูกสาวอีกคนหนึ่งแต่ก็ไม่รอด เธอตายไปหลังจากอยู่ได้เกือบ 1 เดือน ยังดีที่ลูกคนที่สี่ Titus ซึ่งคลอดในปี 1641 รอดชีวิตมาได้จนโต แต่หลังจากคลอด Titus ได้ไม่นานนัก Saskia ก็เสียชีวิตด้วยวัณโรคในปี 1642
ระหว่างที่ Saskia นอนป่วยอยู่ Geertje Dircx ถูกจ้างให้มาเป็นแม่นมและดูแล Titus ต่อมาเธอมีสัมพันธ์กับแรมบรันต์และกลายเป็นชู้รักกัน Geertje อยู่กับแรมบรันต์นานหลายปี ภาพ Sarah Waiting for Tobias มีเธอผู้นี้เป็นนางแบบ ถึงปี 1649 ความสัมพันธ์ของทั้งคู่เริ่มร้าวฉานเมื่อแรมบรันต์เริ่มหันไปสนใจหญิงอื่นจนแตกหักแยกทางกัน Geertje ฟ้องแรมบรันต์ด้วยข้อหาให้สัญญาว่าจะแต่งงานด้วย เขาต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูแก่เธอจำนวนมาก
แรมบรันต์ในวัย 43 ปีมีสัมพันธ์รักกับ Hendrickje Stoffels สาวน้อยวัย 23 ปีที่มาเป็นแม่บ้านให้กับเขา และมีลูกสาวด้วยกันชื่อ Cornelia ในปี 1654 อันเป็นเหตุให้ Hendrickje ถูกกล่าวโทษจากคริสตจักรว่าเธอได้กระทำนอกรีตเป็นหญิงโสเภณีกับจิตรกรแรมบรันต์ เธอยอมรับเรื่องนี้และถูกสั่งห้ามเข้ารับศีลมหาสนิท ทั้งคู่เป็นสามีภรรยาแต่ไม่ได้แต่งงานกันเพราะแรมบรันต์ไม่อยากขัดความประสงค์ของ Saskia และความไว้วางใจของ Titus แรมบรันต์เขียนภาพเหมือนของเธอไว้อย่างงดงามในภาพชื่อ Hendrickje with Fur Wrap
ถึงชีวิตตกอับแต่ยังสู้ไม่ถอย
ในฐานะศิลปินชื่อดังแรมบรันต์มีรายได้มากมาย มีฐานะดีจัดอยู่ในขั้นร่ำรวย แต่เนื่องจากเขาเป็นคนที่ใช้จ่ายเงินเกินตัว โดยเฉพาะการสะสมชิ้นงานศิลปะราคาแพง มีทั้งโบราณวัตถุ และงานศิลปะเลื่องชื่อ นอกจากภาพเขียนของศิลปินเอกยุคก่อนหน้า ยังมีพวกหน้ากากจักรพรรดิโรมัน ชุดเกราะของญี่ปุ่น และของสะสมอื่นๆ รวมทั้งภาพเขียนผลงานของตัวเองด้วย บ้านหลังใหญ่ของเขา (ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์แรมบรันต์) ก็เป็นหนี้สินก้อนใหญ่ซึ่งเขาทำจำนองไว้ ปัญหาหนี้สินรุมเร้าเพิ่มมากขึ้นจนถึงปี 1656 เขาต้องกลายเป็นบุคคลล้มละลาย ศาลสั่งให้นำบ้าน ภาพเขียน ตลอดจนของสะสมต่างๆของเขาออกขายใช้หนี้จนหมด แม้กระทั่งแท่นสำหรับทำภาพพิมพ์ ตัวเขาและครอบครัวต้องย้ายออกไปพักอยู่แบบเจียมเนื้อเจียมตัว
ชีวิตแรมบรันต์ตกอับถึงที่สุด สมาคมจิตรกรแห่งอัมสเตอร์ดัมได้นำกฎใหม่มาใช้ บุคคลที่ตกอยู่ในสภาพแบบเดียวกับแรมบรันต์ไม่สามารถขายภาพเขียนได้ เป็นเหตุให้ Hendrickje กับ Titus ต้องเป็นผู้ทำธุรกิจตัวแทนจำหน่ายงานศิลปะโดยมีเขาเป็นลูกจ้าง แต่ถึงกระนั้นแรมบรันต์ก็มิได้ย่อท้อยังคงสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่อง ผลงานเด่นในช่วงหลังนี้มีมากมายเช่นภาพ Woman Bathing in a Stream, Bathsheba at Her Bath, The Apostle James the Greater, The Jewish Bride, The Return of the Prodigal Son รวมทั้งภาพ Self Portrait with Two Circles
แรมบรันต์ต้องอยู่อย่างเดียวดายอีกครั้งเมื่อ Hendrickje เสียชีวิตในปี 1663 ตามมาด้วยการเสียชีวิตของลูกชาย Titus ในปี 1668 เหลือเพียงลูกสาวคนเล็กคนเดียว ปี 1669 แรมบรันต์เสียชีวิตด้วยวัย 63 ปี ร่างของเขาถูกฝังแบบคนยากจนในสุสานที่โบสถ์แห่งหนึ่งในเมืองอัมสเตอร์ดัม
ผลงานสุดอลังการของศิลปินเอก
แรมบรันต์มีผลงานมากมายตลอด 45 ปีของการเป็นศิลปินอาชีพ ประกอบด้วยภาพเขียนเกือบ 300 ภาพ ภาพพิมพ์อีกเกือบ 300 ภาพ และภาพวาดมากถึง 2,000 ภาพแต่ยังหลงเหลืออยู่ไม่เท่าไร และต่อไปนี้เป็นส่วนหนึ่งของผลงานอันยอดเยี่ยมของแรมบรันต์ที่ทำให้ผู้คนหลงใหลมาแล้วทั่วโลก
Self-portraits
Portraits and Group Portraits
Religious Themes
Others Works
Etchings and Drawings
ศิลปินดัชต์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล
แม้ว่าตลอดชีวิตแรมบรันต์ไม่เคยออกนอกประเทศเนเธอร์แลนด์แม้แต่ครั้งเดียว แต่ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขจรขจายออกไปอย่างกว้างไกล ด้วยผลงานภาพเขียนที่งดงามและเทคนิคการให้แสงเงาที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ รวมทั้งผลงานภาพพิมพ์ในสไตล์ที่เด่นล้ำเหนือผู้อื่น เทคนิคและสไตล์การเขียนภาพของแรมบรันต์ได้เป็นแรงบันดาลใจแก่ศิลปินชื่อดังรุ่นหลังหลายต่อหลายคน รวมทั้ง Francisco Goya
Auguste Rodin ประติมากรคนสำคัญของฝรั่งเศสบอกว่า “แรมบรันต์คือยักษ์ใหญ่แห่งศิลปะที่เราต้องยอมศิโรราบ” ส่วน Vincent van Gogh ศิลปินที่โด่งดังที่สุดอีกคนของโลกบอกว่า “ไม่สามารถอธิบายความมหัศจรรย์ของแรมบรันต์เป็นภาษาใดได้ เขาคือพ่อมดแห่งศิลปะ” ขณะที่ Max Liebermann ศิลปินอิมเพรสชั่นนิสต์ชื่อดังของเยอรมันกล่าวว่า “เมื่อได้เห็นภาพของ Frans Hals ผมรู้สึกชอบการเขียนภาพ แต่เมื่อได้เห็นภาพของแรมบรันต์ ผมรู้สึกอยากเลิกเขียนภาพไปเลย” เหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของคำยกย่องชื่นชมที่มีต่อแรมบรันต์ แสดงถึงความยอดเยี่ยมของเขาที่แม้แต่ศิลปินชื่อดังยังให้การยกย่องอย่างสูง แรมบรันต์คือสุดยอดศิลปินผู้เป็นปรมาจารย์ด้านเทคนิคแสงและเงาที่โดดเด่นไร้เทียมทานโดยแท้
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, britannica, rembrandtonline