ด้วยคุณสมบัติที่สามารถดูดซึมและกักเก็บน้ำได้ดี ถ่านชีวภาพส่วนใหญ่จึงถูกใช้ในงานเกษตรกรรมเพื่อปรับปรุงคุณภาพของดิน ทีมวิจัยที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์นำโดยรองศาสตราจารย์ Kua Harn Wei และทีมงานได้เพิ่มช่องทางในการใช้งานถ่านชีวภาพด้วยการนำถ่านชีวภาพที่ผลิตจากขี้เลื่อยไปใช้ในการปรับปรุงคุณสมบัติเชิงกลและคุณสมบัติด้านการกันซึมของคอนกรีตและมอร์ตาร์
ด้วยการผสมผงถ่านชีวภาพลงไปในคอนกรีตหรือมอร์ตาร์จำนวนเล็กน้อย ผงถ่านชีวภาพจะเข้าไปปรับเปลี่ยนส่วนผสมและช่วยเพิ่มการบ่มตัวและแข็งตัวของส่วนผสมได้
ในการทดลองนักวิจัยพบว่าการผสมผงถ่านชีวภาพในสัดส่วนที่พอเหมาะช่วยทำให้กำลังอัดในระยะต้นของคอนกรีตหรือมอร์ตาร์สูงขึ้น 20% และความสามารถในการกันซึมเพิ่มขึ้น 50% สามารถทำการถอดแบบได้เร็วขึ้นซึ่งช่วยประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในงานก่อสร้าง
นอกจากนี้ตัวถ่านชีวภาพเองยังช่วยกักเก็บคาร์บอนเอาไว้ในโครงสร้างของมัน แทนที่จะถูกปล่อยออกสู่บรรยากาศหากมันอยู่ในรูปของเศษไม้หรือชีวมวลตามเดิม ชีวมวลส่วนใหญ่จะย่อยสลายไปภายใน 10 – 20 ปี และจะปล่อยคาร์บอนออกสู่บรรยากาศ แต่ถ่านชีวภาพเป็นวัสดุที่มีความเสถียรอย่างเหลือเชื่อ มันสามารถกักเก็บคาร์บอนเอาไว้ได้นานหลายพันปี
ดังนั้นการใช้เทคโนโลยีถ่านชีวภาพกับคอนกรีตในงานก่อสร้างจึงเป็นนวัตกรรมใหม่ในการเก็บคาร์บอนไว้ในโครงสร้างของอาคาร และเป็นการส่งเสริมการรีไซเคิลเศษไม้และยังทำให้โครงสร้างอาคารแข็งแรงขึ้นอีกด้วย
“นี่เป็นกลยุทธ์ที่เรียบง่ายและราคาไม่แพงในการส่งเสริมโครงสร้างอาคารของเรา โดยเฉพาะในสิงคโปร์ซึ่งมีปัญหาน้ำซึมจากฝนและท่อน้ำมากจนเป็นเรื่องปกติ ขณะเดียวกันก็สามารถนำเศษไม้จำนวนมากไปใช้ประโยชน์ได้เป็นอย่างดี” Kua กล่าว “เศษไม้เกือบ 50 กิโลกรัมสามารถนำไปใช้ในทุกๆตันของคอนกรีตที่ผลิตขึ้น เราใช้คอนกรีตราว 0.5 คิวสำหรับทุกตารางเมตรของพื้นที่สร้างในสิงคโปร์ นั่นหมายถึงเศษไม้ราว 6 ตันสามารถนำไปรีไซเคิลในการสร้างบ้านพักมาตรฐานสี่ห้องนอนพื้นที่ 100 ตารางเมตรจำนวนหนึ่งชุด”
ขณะนี้ทีมงานของมหาวิทยาลัยแห่งชาติสิงคโปร์กำลังเจรจากับบริษัทท้องถิ่นในการนำเอาเทคโนโลยีนี้ไปใช้งานเชิงพาณิชย์ และกำลังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนี้ในการพัฒนาส่วนประกอบคอนกรีตคุณภาพสูงสำหรับการใช้งานในหลากหลายรูปแบบ
ข้อมูลและภาพจาก nus.edu.sg, newatlas