ซึมซับศิลปะจากอาชีพของพ่อ
เฟอร์เมร์เป็นชาวดัตช์ เกิดในปี 1632 ที่เมืองเดลฟท์ (Delft) ประเทศเนเธอร์แลนด์ พ่อของเฟอร์เมร์เป็นเจ้าของโรงแรมและพ่อค้างานศิลปะ ซึ่งต่อมาเขาได้สืบทอดงานทั้งสองอย่างหลังจากที่พ่อเสียชีวิตในปี 1652 พร้อมกับหนี้ก้อนโต การค้าขายชิ้นงานศิลปะของพ่อนี่เองที่ทำให้เขาได้ซึมซับและพัฒนาขีดความสามารถอันโดดเด่นด้านศิลปะจากศิลปินดังทั้งในอดีตและปัจจุบัน
ปี 1653 เฟอร์เมร์แต่งงานกับ Catherina Bolnes ลูกสาวของผู้มีอันจะกินซึ่งเป็นคาทอลิก ก่อนการแต่งงานเฟอร์เมร์เปลี่ยนจากโปรเตสแตนต์มาเป็นคาทอลิกเหมือนภรรยา (ตามความประสงค์ของแม่ยาย) แล้วย้ายมาอยู่ที่บ้านแม่ของ Catherina ที่ Oude Langendijk ซึ่งตั้งอยู่ใจกลางชุมชนคาทอลิกของเมืองเดลฟท์ เฟอร์เมร์และครอบครัวอาศัยอยู่ที่บ้านนี้ตลอดช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต สร้างภาพเขียนชั้นยอดที่นี่ เขาและภรรยามีลูกด้วยกันทั้งหมด 11 คน
เริ่มต้นด้วยการค้นหาแนวทางที่ใช่
ไม่เป็นที่แน่ชัดว่าเฟอร์เมร์เป็นลูกศิษย์ของใครหรือเรียนศิลปะกับผู้ใดบ้าง มีบันทึกที่ทำให้บางคนคิดว่า Carel Fabritius ซึ่งเป็นลูกศิษย์ของ Rembrandt เป็นผู้สอนการเขียนภาพให้แก่เฟอร์เมร์ แต่ไม่มีหลักฐานใดยืนยัน นักประวัติศาสตร์ศิลปะบางท่านเชื่อว่าเขาเรียนรู้ด้วยตัวเองผ่านทางภาพเขียนที่พ่อของเขาสะสมไว้ ขณะที่นักวิชาการบางคนคิดว่าเฟอร์เมร์น่าจะได้รับการฝึกฝนจาก Abraham Bloemaert จิตรกรและครูสอนศิลปะคนสำคัญในยุคนั้น เฟอร์เมร์เริ่มเป็นสมาชิกของสมาคมจิตรกรแห่งเมืองเดลฟท์ในปี 1653
อิทธิพลจากผลงานของศิลปินชั้นครูหลายคนปรากฏอยู่ในภาพเขียนช่วงแรกๆของเฟอร์เมร์ ภาพ Diana and Her Companions และ Christ in the House of Mary and Martha เห็นได้ชัดว่าได้รับอิทธิพลจาก Rembrandt ส่วนภาพ The Procuress ก็ได้รับอิทธิพลจาก Caravaggio นอกจากนี้ยังมีศิลปินอื่นอีกหลายคนที่เฟอร์เมร์ได้ศึกษาผลงานและเป็นแรงบันดาลใจในการเขียนภาพของเขา จนถึงปลายทศวรรษ 1650 เฟอร์เมร์จึงได้หล่อหลอมสิ่งที่ใช่และสิ่งที่เขาชอบมาเป็นสไตล์ของตัวเอง
สไตล์การเขียนภาพที่โดดเด่นเหนือใคร
ผลงานในระยะแรกของเฟอร์เมร์เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนา แต่พอถึงปลายทศวรรษ 1650 เฟอร์เมร์หันมาเขียนภาพชีวิตประจำวันของคนยุคนั้นและส่วนใหญ่เป็นฉากที่อยู่ภายในบ้าน ตำแหน่งที่เขาชอบเขียนที่สุดเป็นมุมห้องที่มีหน้าต่างอยู่ด้านซ้ายมือ องค์ประกอบในภาพที่เป็นเอกลักษณ์ได้แก่พื้นห้องหินอ่อนลวดลายสวยงาม ผ้าปูโต๊ะหรือผ้าม่านที่มองเห็นรายละเอียดลวดลายและสีสันที่วิจิตรชัดเจนมาก รวมถึงเครื่องดนตรี ข้าวของและอุปกรณ์ต่างๆที่อยู่ในภาพถูกเขียนเหมือนจริงที่สุด
นอกเหนือจากรายละเอียดของภาพที่เขียนอย่างประณีตละเมียดละไม สิ่งที่โดดเด่นเหนือใครในภาพของเฟอร์เมร์คือการให้แสงและเงาที่เหมือนธรรมชาติอย่างยิ่ง แสงที่สาดเข้ามาทางด้านซ้ายมือให้ความสว่างกับส่วนต่างๆตามมุมที่เป็นจริง เงาขององค์ประกอบในภาพทอดสั้นยาวเข้มจางตามทิศทางของแสงทำให้ภาพดูมีมิติเหมือนจริง คนที่เห็นภาพของเฟอร์เมร์เป็นครั้งแรกมักจะต้องมองซ้ำเพ่งพินิจดูหลายครั้งด้วยความไม่แน่ใจว่าเป็นภาพเขียนหรือภาพถ่าย ภาพ The Art of Painting, The Milkmaid, Woman Holding a Balance, Young Woman with a Water Pitcher และอีกหลายภาพล้วนงดงามสะกดผู้ชมให้ตราตรึงตะลึงงันด้วยรายละเอียดและแสงเงาที่สมจริงดังภาพถ่าย
ภาพเขียนของเฟอร์เมร์ที่มีรายละเอียดชัดมากและแสงเงาที่เหมือนธรรมชาติที่สุดนั้น มันเหนือความสามารถของมนุษย์ที่จะใช้เพียงสายตาแล้วถ่ายทอดออกมาได้เหมือนจริงเพียงนั้น ทำให้หลายคนเชื่อว่าเฟอร์เมร์จะต้องอาศัยกล้องทาบเงา (camera obscura) ช่วยในการเขียนภาพ ซึ่งก็มีเหตุผลทีเดียวเพราะในศตวรรษที่ 17 มีผู้นิยมใช้ประโยชน์จากกล้องทาบเงาอยู่ไม่น้อย แต่ผู้ใช้ในยุคนั้นต้องยุ่งยากเช่นกันเพราะภาพที่สะท้อนออกมาจากกล้องทาบเงาเป็นภาพกลับหัว ไม่ว่าเฟอร์เมร์จะใช้กล้องทาบเงาช่วยในการเขียนภาพหรือไม่ก็ตาม ผลงานของเขาก็มาจากเทคนิคและทักษะที่ยอดเยี่ยมเหนือใคร
เฟอร์เมร์เขียนภาพทิวทัศน์ไว้ค่อนข้างน้อยมีหลงเหลือเพียง 2 ภาพแต่เป็นผลงานชิ้นเยี่ยมทั้งคู่ ภาพ The Little Street แสดงถนนที่เงียบเชียบแห่งหนึ่ง สะท้อนวิถีชีวิตชาวเมืองในยุคนั้น หลังคามุมตรงสลับกับทรงสามเหลี่ยมตัดกับท้องฟ้าดูทรงพลัง กำแพงหินผนังอิฐสีหนาเข้มให้ความรู้สึกเหมือนจริงมาก อีกภาพหนึ่งคือภาพ View of Delft เฟอร์เมร์เขียนภาพทิวทัศน์ของเมืองเดลฟ์จากมุมมองด้านท่าเรือโดยใช้เทคนิคผสานจุดสี (pointillism) ออกมาได้สวยงามสมจริง เทคนิคการให้แสงและเงาสะท้อนในน้ำให้ความรู้สึกเหมือนกำลังยืนชมเมืองเดลฟ์อยู่จริงๆ
ตลอดชีวิตของเฟอร์เมร์เขาเขียนภาพอยู่ในห้องเล็กๆบนชั้นสองของบ้านซึ่งเป็นที่พักรวมของครอบครัวที่มีลูกหลายคน เนื่องจากมีพื้นที่จำกัดทำให้เขาไม่สามารถเขียนภาพขนาดใหญ่ได้ ถึงภาพจะมีขนาดค่อนข้างเล็กแต่มันถูกชดเชยด้วยความประณีตบรรจงในการเขียนภาพ เฟอร์เมร์ใช้เวลาอย่างมากสำหรับแต่ละภาพ ปีหนึ่งๆเขาเขียนภาพได้เฉลี่ยเพียง 3 ภาพเท่านั้น นอกจากนี้เฟอร์เมร์ยังเลือกใช้เฉพาะสีคุณภาพสูงราคาแพง ประกอบกับฝีมือและเทคนิคการเขียนภาพและการให้แสงเงาที่โดดเด่นเป็นเอก ภาพเขียนแต่ละภาพของเขาจึงทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
ผลงานชิ้นเอกงดงามยิ่งกว่าภาพถ่าย
ราวปี 1665 เฟอร์เมร์ได้เขียนภาพ Girl with a Pearl Earring ซึ่งต่อมากลายเป็นภาพที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดของเขา เป็นภาพหญิงสาวชาวยุโรปสวมชุดแปลกใหม่ โพกผ้าคลุมศีรษะแบบตะวันออก และใส่ตุ้มหูมุกเม็ดใหญ่ นอกจากหน้าตาท่าทีของเธอผู้นี้จะสวยงามน่ารักมีชีวิตชีวาอย่างยิ่งแล้ว สิ่งที่โดดเด่นมากคือการจัดท่วงท่าและแสงเงา สาวน้อยในภาพเหลียวหลังกลับมาในจังหวะที่แสงสาดมาตกกระทบทำมุมพอดีกับฉากหลังที่เป็นสีมืดทึบ ทำให้เธอโดดเด่นและเป็นที่ชื่นชอบลุ่มหลงของผู้คนทั่วโลก
ไม่มีใครทราบว่าสาวน้อยในภาพเป็นใคร บ้างก็ว่าเป็น Maria Vermeer ลูกสาวคนโตของเฟอร์เมร์ บางคนคิดว่าเป็น Magdalena van Ruijven ลูกสาวของ Pieter Van Ruijven ลูกค้าคนสำคัญของเฟอร์เมร์ อีกกระแสหนึ่งก็ว่าเป็น Griet สาวใช้ของเฟอร์เมร์ ความคลุมเครือในเรื่องนี้กลับเพิ่มเสน่ห์ให้กับภาพมากยิ่งขึ้น นำไปสู่จินตนาการ และนิยายเรื่อง Girl with a Pearl Earring ก็ถูกเขียนขึ้นในปี 1999 และกลายเป็นภาพยนตร์ฮอลลีวูดในปี 2003 นำแสดงโดย Scarlett Johansson ที่รับบทเป็น Griet
ภาพ Girl with a Pearl Earring ซึ่งมักถูกเรียกขานว่า “โมนาลิซาของชาวดัตช์ (Dutch Mona Lisa)” จัดแสดงอยู่พิพิธภัณฑ์ Mauritshuis ที่เมืองเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ มาตั้งแต่ปี 1902 และในปี 2006 ชาวดัตช์ได้เลือกภาพนี้เป็นภาพเขียนที่สวยที่สุดในเนเธอร์แลนด์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเพราะภาพเขียนที่งดงามยิ่งกว่าภาพถ่ายนี้คือหนึ่งในภาพเขียนที่สวยที่สุดในโลก
ศิลปินที่ไม่มีใครรู้จักนานเกือบ 200 ปี
ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่เฟอร์เมร์พอจะมีชื่อเสียงอยู่บ้าง แต่จำกัดอยู่เฉพาะภายในเมืองเดลฟ์เท่านั้น เฟอร์เมร์ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าสมาคมจิตรกรหลายสมัย นั่นแสดงว่าเขาเป็นที่ยอมรับในกลุ่มจิตรกรด้วยกันมากทีเดียว แต่เนื่องจากเขาทำงานประณีตและช้ามาก ประกอบกับเขาด่วนเสียชีวิตเมื่อปี 1675 ในวัยเพียง 43 ปี ผลงานของเขาจึงมีค่อนข้างน้อย อีกทั้งภาพเขียนของเขาส่วนใหญ่ถูก Pieter Van Ruijven ซื้อไปเพียงคนเดียวจึงขาดความแพร่หลาย ที่สำคัญเฟอร์เมร์ไม่นิยมลงชื่อตัวเองในภาพ ทำให้หลังจากเขาเสียชีวิตไปชื่อเสียงความทรงจำเกี่ยวกับเฟอร์เมร์จึงค่อยๆเลือนหายไป ภาพเขียนหลายๆภาพที่ไม่ได้ลงชื่อผู้เขียนไว้ถูกเข้าใจผิดคิดว่าเป็นผลงานของคนอื่น และในที่สุดโลกก็ลืมศิลปินผู้นี้ไปโดยสิ้นเชิง
ภาพเขียนผลงานของเฟอร์เมร์ถูกมองข้ามโดยนักประวัติศาสตร์ศิลปะนานเกือบ 200 ปีหลังจากเขาเสียชีวิต แม้จะมีคนกลุ่มหนึ่งที่ชื่นชอบในผลงานเหล่านั้นแต่พวกเขากลับเข้าใจว่าเป็นผลงานของศิลปินอื่น
จนถึงปี 1860 ชื่อของเฟอร์เมร์ถูกพูดถึงอีกครั้งหนึ่งเมื่อ Gustav Waagen ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์ในเยอรมันได้เห็นภาพ The Art of Painting ที่หอศิลป์ในกรุงเวียนนาแล้วจำได้ว่าเป็นผลงานของเฟอร์เมร์ แต่ตอนนั้นถูกระบุว่าเป็นผลงานของศิลปินอีกคนหนึ่ง ต่อมาในปี 1866 Thoré-Bürger นักวิจารณ์ศิลปะชาวฝรั่งเศสได้เผยแพร่งานวิจัยผลงานของเฟอร์เมร์ซึ่งดึงความสนใจจากทั่วโลกกลับมาที่เฟอร์เมร์อีกครั้ง พร้อมกับได้ลิสต์รายชื่อผลงานของเฟอร์เมร์กว่า 70 ภาพ แต่ในปัจจุบันเป็นที่ยอมรับว่าเป็นผลงานของเฟอร์เมร์แน่ๆ 34 ภาพ นับจากนั้นเป็นต้นมาชื่อเสียงของเฟอร์เมร์จึงขจรขจายโด่งดังไปทั่วโลก ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในจิตรกรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุคทองของเนเธอร์แลนด์ทัดเทียมกับ Rembrandt
ผลงานสุดประณีตของศิลปินที่โลกลืม
เฟอร์เมร์มีผลงานภาพเขียนไม่มากนักแต่ภาพเขียนทุกชิ้นประณีตบรรจงละเมียดละไมและคงเอกลักษณ์การให้แสงเงาที่เหมือนจริงดังภาพถ่ายอย่างที่ไม่มีผู้ใดเสมอเหมือน งานของเขาเป็นแรงบันดาลใจและได้รับการยกย่องจากศิลปินยุคต่อมามากมาย และต่อไปนี้คือผลงานภาพเขียนของเฟอร์เมร์ทั้ง 34 ภาพ กับอีก 3 ภาพที่น่าจะเป็นผลงานของเขาด้วยแต่ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่
3 ภาพที่ยังถกเถียงกัน
แม้ว่าช่วงที่ยังมีชีวิตเฟอร์เมร์ไม่ค่อยมีชื่อเสียงสักเท่าไหร่และดูเหมือนเขาก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ เฟอร์เมร์อาศัยอยู่อย่างเรียบง่ายในห้องเล็กๆกับครอบครัวในบ้านที่เมืองเดลฟท์ ทุ่มเทเวลาและอุทิศตนให้กับงานศิลปะของเขาเท่านั้น แต่ฉายา “The Sphinx of Delft” ที่บางคนเรียกขานบ่งบอกถึงความร้ายกาจของฝีมือได้เป็นอย่างดี หลังจากที่เขาเสียชีวิต 200 ปีเฟอร์เมร์กลับกลายเป็นศิลปินที่มีชื่อเสียงโด่งดังก้องโลกด้วยผลงานภาพเขียนสุดประณีตงดงามยิ่งกว่าภาพถ่าย เขาคือหนึ่งในสุดยอดจิตรกรเอกของโลกตลอดกาล
ข้อมูลและภาพจาก wikipedia, britannica, essentialvermeer