เยอรมันเปิดทางให้มีการห้ามใช้รถยนต์ดีเซลมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ปีนี้ เมื่ออนุญาตให้กลุ่มสิ่งแวดล้อมออกมาฟ้องร้องเมืองที่ไม่สามารถบังคับใช้กฎรักษาความสะอาดของอากาศของสหภาพยุโรป แม้ว่าจะมีการล็อบบี้อย่างหนักเพื่อคัดค้านการห้ามใช้จากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์
เมืองในเยอรมันจำนวนมาก รวมทั้งฮัมบูร์ก มิวนิค และสตุทท์การ์ท มีค่าไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) ในอากาศทำให้เกิดโรคทางเดินหายใจสูงเกินค่ามาตรฐานของสหภาพยุโรป ในแถลงการณ์เกี่ยวกับคำตัดสินศาลปกครองเยอรมันในเมืองไลพ์ซิกกล่าวว่าไม่ควรมีช่วงเวลาผ่อนผันสำหรับการขับรถต้องห้าม
ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปได้ลงทุนอย่างมากในเครื่องยนต์ดีเซลซึ่งปล่อยคาร์บอนที่มีผลกระทบต่อสภาวะโลกร้อนออกมาน้อยกว่าเครื่องยนต์เบนซิน แต่กลับปล่อยมลพิษอื่นที่ก่อให้เกิดโรคออกมามากกว่า
การที่เยอรมันอนุมัติให้เมืองต่างๆห้ามรถยนต์ดีเซลวิ่งบนถนนอาจสร้างความปั่นป่วนต่ออนาคตของอุตสหกรรมนี้
การห้ามใช้รถโดยทันทีบนถนนสายหลักตามกฏใหม่นี้จะมีผลกระทบต่อรถทุกรุ่นยกเว้นรุ่นที่ผ่านมาตรฐานการปล่อยมลพิษล่าสุด Euro-6 ซึ่งเริ่มใช้เมื่อปี 2014 ขณะที่ในบรรดารถยนต์ดีเซลทั้งหมด 15 ล้านคันผ่านมาตรฐาน Euro-6 เพียง 2.7 ล้านคันเท่านั้น
สำหรับบริเวณเมืองที่กว้างขึ้นซึ่งครอบคลุมถนนสายหลักและสายรองจำนวนมากนั้น ทางศาลได้ให้คำแนะนำว่าให้เริ่มห้ามจากรถรุ่นที่เก่ากว่ารุ่นที่ผ่านมาตรฐาน Euro-4 ตามด้วยมาตรฐาน Euro-5 ที่เริ่มใช้ในปี 2009 เป็นลำดับ
ล่าสุดเมื่อพุธที่ผ่านมาเมืองฮัมบูร์กที่มีประชากรมากเป็นอันดับสองของเยอรมันได้ประกาศห้ามรถยนต์ดีเซลบางรุ่นวิ่งในถนนสายหลัก 2 สาย ครอบคลุมรถจำนวน 214,000 คันซึ่งมากกว่าสองในสามของรถยนต์ดีเซลซึ่ง จดทะเบียนที่เมืองนี้ โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 31 พฤษภาคม 2018 และได้มีการติดตั้งป้ายห้ามรถยนต์ดีเซลที่ไม่ผ่านมาตรฐานวิ่งตามถนนในเมืองฮัมบูร์กแล้ว
ข้อมูลและภาพจาก reuters, theguardian